นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 8:01 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ไม่ประมาท
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 01 ส.ค. 2023 6:31 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
สมัยบวชใหม่ๆ เทียนเป็นของหายาก อาตมาจำได้ว่าบางทีต้องเดินออกไปยังลานโล่งๆ ในป่าแล้วอ่านพระสูตรด้วยแสงจันทร์ในช่วงคืนวันเพ็ญ ไม่น่าเชื่อว่าแสงจันทร์กระจ่างขนาดนั้นไม่ใช่แสงที่มาจากดวงจันทร์เลย หากแต่เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่เรามองไม่เห็น

ปีนี้อาตมาบวชมาได้สี่สิบพรรษา วันเวลาผ่านไปถึงวันนี้ พระฝรั่งเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสังคมไทยและบางครั้งก็ได้รับเกียรติยศอย่างเป็นทางการด้วย อาตมาคิดทบทวนว่าการที่ตัวเองได้รับเกียรติยศเช่นนี้เพราะมีหลวงพ่อชาเป็นครูบาอาจารย์ที่เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างในชีวิตพระของอาตมา

หากมีสิ่งใดในชีวิตของอาตมาที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ นั่นคือ การได้มีโอกาสสะท้อนแสงสว่างแห่งปัญญาและเมตตาของครูบาอาจารย์แม้เพียงน้อยนิด เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ






"..ในโลกนี้ไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรดี มีแต่ความเสื่อมไป ตัวเราก็เสื่อมไป กลับสู่ดินน้ำลมไฟ ทับถมไม่มีที่สิ้นสุด อย่ามัวแต่ยึดสิ่งจอมปลอม แต่สิ่งที่มาหลอกเราอยู่เลย ตัวของเรา มิตรของเรา ศัตรูของเรา ต่างก็แตกสลายดับไปทุกผู้ทุกนาม แล้วเราจะไปยึดเอาอะไร.."

#พระอริยแห่งป่าเขาลำเนาไพร
หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร
วัดป่าเขามโนราห์ ชายป่าห้วยขาแข้ง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี








"...ใครจะเจริญสมถะ หรือวิปัสสนาขั้นใดก็ตาม
ถ้าขาดสติแล้ว...
สมถะ และวิปัสสนานั้น ไม่มีทางเจริญได้เลย

นับแต่เริ่มแรกปฏิบัติมา
จนสุดทางเดิน ผมไม่มองเห็นธรรมใด ที่เด่น
และฝังลึกในใจเท่า สติ...นี่เลย

สติ...เป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งอาหาร
เป็นทั้งยารักษา ของสมาธิ และปัญญาทุกขั้น
ธรรม ดังกล่าวนี้...
จะเจริญได้ จนสุดขั้นของตน ล้วนขึ้น อยู่...
กับสติ...เป็นผู้บำรุงรักษา โดยจะขาดไม่ได้

ท่านจงฟังให้ถึงใจ
ยึดไว้อย่าหลงลืม สติ...นี่แล คือขุมกำลังใหญ่ แห่ง...ความเพียรทุกด้าน ต้องผ่านสติ...นี้ก่อน
จะเคลื่อนไหวโยกย้ายความคิดเห็น ไปในทางใด หยาบ หรือละเอียด ในธรรมขั้นใด
ต้องมีสติ...เป็นตัวการสำคัญ ในวงความเพียร..."
____________________________________________
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.







"ปัญญาสูงสุดคือ จิตเห็นจิต พอเรารู้จิตชัดแล้ว
หมดสัญญา ไม่ต้อง รู้...อะไรอีก ให้รู้จิต เห็นจิต ไม่ใช่ ของต่ำๆ เป็นอริยะมรรคสำหรับตัดสมุทัย
ทั้งหมด ดั่งที่พูด ว่า...
จิต ส่งออกนอก เป็นตัวสมุทัย
ผลของสมุทัย เป็นตัวทุกข์
จิต เห็น จิต เป็นตัวมรรค
ผลของมรรค เป็นตัวนิโรธ
เหตุของนิโรธ คือ ตัวอริยะมรรคนี้เอง
เหตุ ของทุกข์ก็คือ สมุทัย
ผลของสมุทัยเป็นตัวทุกข์
จิต ดูจิต ก็คือ... รู้...และก็ตั้งสติให้อยู่ในนั้น
ระลึกรู้ อยู่ในนั้น คือจิต กับ สตินี้เอง
จิตกับรู้เป็นของสิ่งเดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลย
การแตกต่างทั้งหลาย เกิดจากการคิดผิดๆ
ย่อม นำไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งปวงทุกชนิด ไม่มี...หยุด เนื่องจากเราเข้าใจผิด
ถ้าจิต เห็นจิตแล้ว...แล้วอะไรๆ
มันขาดหมด มันตัดขาดกิเลสตัณหา
อะไรมันหมด
จิต ตรงนั้นไม่มีปรุงแต่ง สัจธรรม ก็คือ...จิต."

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล






..ถ้าเราพูดถึงเว้นอบายมุข เรามีกายเราไม่เอาไปคบคนชั่ว คนที่ไม่ดี ไม่รู้จักบาปรู้จักคุณรู้จักโทษ รู้จักประโยชน์อะไร ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีบุญมีคุณ ไม่ไปคบคนที่ไม่ดี เราเว้น เราเอากายของเราไปคบนักปราชญ์ราชบัณฑิต ท่านจะพาเราประกอบแต่คุณงามความดี มีการทำบุญทำกุศล มีการรักษาศีล มีการเจริญเมตตาภาวนา ท่านจะแนะนำสั่งสอนให้ใช้กายของตนมีประโยชน์มีคุณค่า หาที่พึ่งเกิดขึ้นแก่ตนเอง เรียกว่าเป็นคนที่จะช่วยตนเองได้ มีแขนมีขา มีตัวมีตน มีกำลังพอจะประกอบกิจการงานหน้าที่ให้ตนเองอยู่ด้วยความผาสุกได้ นักปราชญ์ราชบัณฑิตก็จะแนะนำ
..พวกเราทั้งหลายดูการทำงานของคนอยู่ในโลกนี้ แม้เป็นภิกษุ สามเณร อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ส่วนมากแล้วเราจะไม่เข้าใจบริหาร การที่เรามีร่างกาย มักเอากายของตนเองไปทำในสิ่งที่ไม่ดีส่วนมาก ผลออกมามันมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่มีความสุข เหตุฉะนั้น ทุกคนก็ควรที่จะเข้าใจในการปฏิบัติฝึกหัดกายของตน เพื่อจะให้มีคุณค่า มีสาระมีประโยชน์เกิดขึ้น ให้การงานกระทำด้วยกายเป็นไปในทางที่ชอบ การงานทางวาจาก็เหมือนกัน ให้เป็นการงานทางพูดที่ถูกต้อง อยู่ในทำนองคลองธรรมอันจะนำผลประโยชน์มาให้แก่ตนเองและบุคคลอื่นนั้น ก็เป็นการงานทางพูด ทางวาจาของตน
..การงานทางใจ แม้เรามีความคิด แต่ก็ไม่คิดไปในทางที่ชั่วที่ต่ำ ไม่คิดอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มีการงดเว้น มีแค่คิดเมตตาอารีต่อกัน คิดให้เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แม้มีทุกข์ก็อยากให้พ้นทุกข์ สุขก็อยากให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไปให้อยู่มีความผาสุกเจริญรุ่งเรือง ทางคิดก็คิดไปทางที่ดีที่ชอบเช่นนี้ ถ้าสรุปรวมลงไปแล้วก็เป็นการงานที่ชอบ หรือตั้งตนไว้ชอบนั่นเอง เพื่อที่จะให้ตนเองมีศีล เพราะในที่นี้มันเป็นศีล..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







"..สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้ จริงๆข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาดและความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา จะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความืดมิดปิดตามาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้.."

พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร





“อย่าประมาท เวลานี้เป็นเวลาที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นทางสามแพร่งสี่แพร่งไปแดนไหนก็ได้ ไปทางนรกสร้างกรรมมาก ๆ ไปแดนสวรรค์ทำบุญให้ทานมาก ๆ เป็นกัลยานุปุถุชนก็ให้ทำความสงบเย็นใจ อย่าก่อกวนบรรดาญาติมิตรทั้งหลายเพื่อนฝูงทั้งหลาย ไปทางไหนแยกไหนได้ทั้งนั้นมนุษย์เรา เปลี่ยนชั่วเป็นดีก็ได้ เปลี่ยนดีเป็นชั่วก็ได้อยู่กับมนุษย์

ทีนี้ใครได้เคยทำความชั่วช้าลามกมามากน้อยเพียงไร ถ้ารู้ตัวแล้วให้รีบแก้ไข ไม่แก้ไขแล้วจะผูกมัดตัวเราให้หนักยิ่งกว่านี้ แล้วใครไปตามส่งข้าวล่ะ ไปติดต่อญาติวงศ์ไว้เสียก่อนเหรอ ก่อนที่จะไปตกนรกนี้ไปบอกแม่อีหนูพ่ออีหนูส่งอาหารให้ฉันด้วยนะ ฉันจะไปตกนรกลูกนั้นลูกนี้ แล้วเอาอาหารไปมาก ๆ นะ ถ้ามีน้ำพริกแล้วก็มีอะไรจิ้มหวานเอาไปให้ฉันบ้างนะ มันเคยมีที่ไหน

จะมาอวดดีอยู่เหรอเวลามีชีวิตอยู่ ตั้งแต่อยู่มนุษย์นี้ก็บางทีไม่มีน้ำพริกกินแม่อีหนูกับพ่ออีหนูทะเลาะกันยังมี แล้วจะไปว่าในแดนนรกพิจารณาสิ แล้วยังจะไปหวังกินน้ำพริกแดนนรกหวาน ๆ อยู่เหรอ ตั้งแต่อยู่ในครัวเรือนพ่ออีหนูกับแม่อีหนูยังทะเลาะกัน มากินข้าวไม่เห็นมีน้ำพริกว่ะ ก็แกไม่ไปหา นี่คนหนึ่งเถียงกันแล้ว เพียงเท่านี้ก็ยังได้เถียงกัน แล้วเมืองนรกจะเป็นยังไง

หลวงตานี่สงสารพี่น้องทั้งหลาย การเทศนาว่าการนี้สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เราไม่ได้สงสัยในเรื่องธรรมทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนี้ เรียกว่าผิดไป พระพุทธ เจ้าสอนผิดไป เราปฏิบัติรู้ผิดไปก็ไม่เคยปรากฏ มีแต่หมอบราบ ๆ พิจารณาตรงไหน ๆ พอรู้ตรงไหนเห็นตรงไหนมีพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วทั้งนั้นแล้วจะไปอวดดีได้ยังไง ก็ยอมรับ ๆ จนกระทั่งพุ่งถึงขีด”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมคณะวัดโพธิสมภรณ์และวัดต่าง ๆในเขตจังหวัดอุดรธานี ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
วันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO