นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 08 พ.ค. 2024 1:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องของจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 20 ก.ค. 2023 6:50 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4551
"คนมาบวชถ้าไม่มีความศรัทธา มันอยู่ไม่ได้ ลำบากใจ มันทุกข์ พอทุกข์แล้วก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีศรัทธา ไม่พร้อม มาด้วยความจำเป็น

หลวงปู่ฝั้นท่านเทศน์ ...
บวชเล่น บวชลอง บวชครองประเพณี บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกเฮฮา นอกจากบวชหนีสงสารแล้ว ไม่มีประโยชน์

ถ้าเข้าใจเรื่องโลก เราก็หนีจากโลกได้
ถ้าไม่เข้าใจโลก หนีจากโลกไม่ได้ ดีหมดทุกอย่าง
ถูกทุกอย่าง สบายทุกอย่าง ถ้าไม่เข้าใจโลก
ครูบาอาจารย์ท่านหนีจากโลก ท่านเข้าใจโลก
จึงไม่อยากเข้าไปหาโลก เรานี่อยากเข้าไปหา
ทุกข์เท่าไหร่ก็อยากเข้าไป ลำบากก็อยากไปโลก
นี่เรามาอย่างดีแล้ว ยังจะแขวไปทางโน้นอีก
ถ้าคิดเหมือนเดิมก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ
เหมือนไฟไหม้แกลบ ทุกข์ เพราะไม่ปล่อยวาง

ถ้าไม่ละทิฏฐิ มานะ ก็เหมือนไก่สับอึ่ง
ยิ่งสับเท่าไรก็ยิ่งพอง
ครูบาอาจารย์เทศน์ก็ยิ่งต่อต้านภายใน
ยิ่งเทศน์ก็ยิ่งพองขึ้น นี่ก็เหมือนกันถ้าภายใน
มันต่อต้านมันก็ไม่ลงทิฏฐิมานะ
เพราะสำคัญตัวเอง"

หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล

เทศน์สอนพระวัดป่าสมบูรณ์ธรรม
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙






มีคนถามท่านพ่อไพบูลย์ว่า

ท่านรู้ว่าคนเขาไม่ดี ทำไมยังเมตตาเขาอยู่

ท่านกล่าวว่า

เขาไม่ดีมันเป็นสิ่งที่เขากระทำ
เราไม่ได้มีหน้าที่ไปตัดสินใคร
เรารู้​ เราทำตามความเหมาะสม
อะไรที่ให้ได้ก็ให้เท่าที่ให้ได้ก็พอ

พระอาทิตย์เวลาให้แสงต่อต้นไม้ใบหญ้า
ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่ได้ให้ด้วยการเลือก
ต้นไหนมีพิษต้นไหนสูงใหญ่ คนไหนดำขาว
คนไหนดีหรือไม่ดี
พระอาทิตย์ก็ทำหน้าที่ให้แสงตามธรรมชาติ
ให้พลังงานที่ดีตามธรรมชาติที่ควรเป็น
.....
นี่แหละธรรมชาติเขาสอนให้เรามอง

#พระพรหมวชิรคุณ (ท่านพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล)
วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม​ อ.เชียงของ จ.เชียงราย






#กรรมของการไล่พระสงฆ์

เมื่อธุดงค์เข้าอุดรมาพักที่ป่าช้าบ้านข้าวสาร แถวๆเขตอำเภอเมือง ช่วงนั้นฝนเริ่มตกแล้ว เลยตั้งใจจะพัก ซักช่วงหลังสงกรานต์ จึงจะมุ่งเดินทางต่อไปอุบลราชธานี จึงได้หาที่ปักกลดในบริเวณป่าช้า พอตกกลางคืนมา ปรากฏว่าได้กิน หอมแป้งมาก่อน สักพัก ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางตามมา ได้แต่คิดในใจว่า “มันเหม็นอะไรมาแต่ทางไหนหนอ?” สักพักหนึ่ง จิตมันจะไปสัมผัสกันยังไงก็ไม่ทราบ ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “หนูก็อยู่ใกล้ๆอาจารย์นี่ล่ะ”
พระอาจารย์ “แล้วทำไม่มีทั้งกลิ่นหอม ทั้งกลิ่นเหม็นสาบ”
วิญญาณเด็ก “ ถ้ากลิ่นหอมก็แสดงว่าไม่ทำอะไร แต่กลิ่นสาบนี่เป็นกลิ่นของคนตายเฉยๆ”
พระอาจารย์ “เจ้าตายมานี่ดนแล้วบ่?” (ตายมานานหรือยัง)
วิญญาณเด็ก “ดนแล้ว จนพ่อแม่ลืมหมดแล้ว”
พระอาจารย์ “แล้วแปลงกายเป็นอีหยังได้แหน่?”
วิญญาณเด็ก “ได้หมดทุกอย่าง”
พระอาจารย์ “แล้วถ้าโยมมาสิมาเจ้าสิเฮ็ดจังได๋”
วิญญาณเด็ก “หนูกะสิเฮ็ดกลิ่นแป้งไปก่อน แล้วก็เอากลิ่นสาบตามไปอีก

ปกติตอนเย็น จะมีเถ้าแก่ ส. เจริญชัย มาเล่นด้วย เด็กน้อยคนนี้ มันก็จะเอากลิ่นไปรับพอเถ้าแก่ได้กลิ่น ก็จะพูดว่า “รู้แล้วล่ะ สิไปหาอาจารย์” แล้วกลิ่นนั้นก็หายไป พอมาถึงก็ไม่มีกลิ่น พอจะกลับ เขาก็ส่งกลิ่นอีก จะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดทุกครั้งที่มาหาและกลับ เถ้าแก่คนนี้จนได้คิดว่า พระองค์นี้ไม่ธรรมดา เพราะปกติ แกเป็นคนไม่ชอบพระอยู่แล้ว แกชอบพูดว่าพระ เป็นพวกขี้คร้านไม่ทำงาน พอเวลาเราจะไปบิณฑบาต เขาก็ส่งกลิ่นหอมมาหาเรา เลยได้แต่พูดลอยๆไปว่า “รักษาของเด้อสิไปบิณฑบาตมาสู่กิน” เขาก็คงจะรับทราบของเขาเหมือนกันแหละ เพราะกลับมากลิ่นมันก็ยังหอมอยู่ แต่เวลาจะเกิดเหตุไม่ดี เขาก็จะมาบอกเราก่อน คือเรานั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ เขาก็จะมากระซิบที่ข้างหูเรา “ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาหาอยู่นะ เยอะด้วย” เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาทำไม เราก็ฟังไว้ ดูไว้ แต่ไม่พูดอะไรว่าจะมีอะไรมาหรือเปล่า พอถึงเวลา ทางผู้ใหญ่บ้านกำนัน ชาวบ้านก็มาจริงๆ เยอะพอสมควร เดินเข้ามาหา มาสอบถาม “เป็นพระที่ไหน มายังไงมาทำไม วัดบ้านก็มีทำไมไม่ไปอยู่ ทำไมมาอยู่ตรงนี้” เราก็ว่า “มาพักภาวนา อีกสักพักก็จะกลับอุบลแล้ว” แต่ในใจเราก็อยากจะจำพรรษาอยู่ที่นี่ เราว่าที่นี่เหมาะแก่การภาวนาและมีงูใหญ่อยู่อีกด้วย แต่เขาก็ไม่เชื่อ อยู่มาตั้งนานไม่เห็นจะมีอะไร เราก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูในป่าข้างใน มีงูใหญ่อยู่นั่น ด้วยความอยากรู้ของพวกนั้น ก็รวมตัวกันเดินเข้าไป เมื่อเข้าไปถึง พบเห็นงูจงอางตัวใหญ่ ยกคอสูงท่วมหัว เขาก็พากันทั้งวิ่งทั้งร้องเสียงหลงออกมาเลย เราก็เลยทำท่าพูดว่า “ อย่าไปทำอะไรเขานะ ทำให้เขาดูเฉยๆ” กลับมาเขาเลยขู่ว่า ให้ออกจากที่นี่ ถ้าไม่ออกก็ให้ย้ายไปเข้าวัด ถ้าไม่ไปอาจจะมีอันตรายเป็นได้ ไม่รับรองความปลอดภัย อยู่ต่อมาโยมก็เลยทำกระต๊อบให้พักพอได้นั่งสมาธิสวดมนต์ อยู่อีกสักพัก ได้ความคิดใหม่คือต้องอยู่จำพรรษากับเขาสักพรรษาหนึ่ง จึงจะออกธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ เมื่อตกลงตามนั้น จึงได้พาเถ้าแก่ ส. เจริญชัย ลงมาที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะมาบอกหลวงพ่ออเนก ว่าจะไปจำพรรษาที่อุดรธานี มาถึงช่วงประมาณหัวค่ำ หลวงพ่ออเนกจึงบอกให้นำหมู่คณะทำวัตร ขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น รู้สึกว่าร่างกายมันร้อนรนเหมือนไฟไหม้ตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นดังนั้นจึงได้ลาหลวงพ่อเดินทางกลับอุดรเลย ยังไม่ได้ทันทำวัตรด้วยซ้ำ ไปถึงประมาณตี 4 กระต๊อบที่เขาทำให้พักเห็นแต่ควันไฟกับถ่านแดงๆ เหลืออย่างเดียวที่ยังไม่ไหม้ คือผ้านิสีทนะ เมื่อไฟไหม้หมดแล้วจึงได้หายร้อนเนื้อร้อนตัว สงสัยอาจเป็นเพราะผีเด็กคนนั้นมาทำให้รู้ เพราะเขาก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เหมือนกัน แต่มันก็อาฆาตแค้นไว้อยู่ โยมที่ดูแลก็เลยบอกว่าไม่ต้องอยู่ตรงนี้ก็ได้อาจารย์ขยับเข้าไปพักข้างในอีก แถวๆบริเวณที่เขาฝังคนตายโหง (คือคนที่ไม่ได้ตายโดยธรรมชาติ) พอก่อนจะย้ายเข้าไปเราก็สวดมนต์ภาวนาอย่างเดิม สักพักได้ยินเสียงเด็กคนนั้นแว่วมาอีก “ถึงสิเข้าไปมันกะนำไปคือเก่านั้นละ” พอเข้าไปอยู่ก็เป็นจริงดังที่เขามาเตือน เขาก็พยายามเข้ามาไล่ออกไปอยู่หลายครั้ง โยมแม่ขึ้นมาเยี่ยมแล้วเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่ออเนกฟังหรือยังไงก็ไม่ทราบ หลวงพ่ออเนกก็กลัวเราจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ เลยเอารถขึ้นมารับพร้อมกับหลวงพ่อมหาสุพงษ์ หลังจากกลับไปอุบลฯได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่าพวกที่มาไล่ถูกรถชนตาย โดยกำนันตายก่อนเพื่อน ตายทีละศพ สองศพ บางคนนั่งกินข้าวอยู่ดีๆก็เลือดออกปากออกจมูกตายคาที่ก็มี รวมๆแล้วเป็น 10 กว่าศพ เขากลัวตายหมด ก็เลยพากันไปนิมนต์พระวัดป่าโนนนิเวศน์มาสวดเจริญพุทธมนต์ไว้ ถึงไม่มีคนตายอีก (ผู้เรียบเรียงสอบถามว่า หลวงพ่อได้ไปอาฆาตเขาไว้ไหม?) ท่านตอบว่า ก็ไม่ได้คิดเคียดแค้นอะไร ส่วนที่แค้นก็คงจะเป็นวิญญาณเด็กที่พักอยู่กับเรา พอกลับมาอยู่อุบลฯสักช่วงก่อนเข้าพรรษาก็ลงไปอุดรฯอีก ไปบอกไปลาคณะที่อยากให้จำพรรษาที่อุดรฯ ปรากฏว่าวิญญาณเด็กคนนั้นก็มาลาเหมือนกัน จะลาไปเกิดแล้ว

#ชีวประวัติหลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม








ท่านเชอรี่ไปอีกแบบหนึ่ง

ไม่ค่อยเห็นมาฉันจังหันสักที ท่านฉันอะไรก็ไม่รู้ละ
เราก็ไม่ทราบจะปกครองอย่างไรต่ออย่างไร
องค์หนึ่งไปแบบหนึ่ง “เห็นว่าไม่ขัดต่อธรรมวินัย”
เราก็ปล่อย ถ้าอะไรที่ขัดต่อธรรมวินัยเราก็ห้าม
เราก็เตือน นี่ไม่เห็นขัดอะไรเราก็ปล่อยตามเรื่อง
ตามนิสัยที่ชอบทรมานตน

อย่างท่านเชอรี่นี่ไม่ค่อยชอบฉันจังหัน
เราเป็นแต่เพียงว่าเตือนให้รู้
เพราะเรื่องอดอาหารนี่เราทำมาแล้วจนท้องเสีย
คืออดอาหารมันดีจริงๆ สติดี
ถ้าสติดีงานก็ก้าวเดินถูกต้อง

ถ้าสติพลั้งๆ เผลอๆ เขียนหนังสือก็ผิดๆ ถูกๆ
ลบแล้วเขียน ถ้าสติไม่อยู่กับตัว
ถ้าสติอยู่กับตัวเขียนหนังสือก็เป็นตนเป็นตัว
เป็นเนื้อเป็นหนังได้ความ มันขึ้นอยู่กับสติ
สติจึงเป็นของสำคัญ

ท่านแสดงไว้ว่าสติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา
สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง
ไม่มีการยกเว้นที่จะไม่มีสติเข้าไปเกี่ยวข้อง
สติถือเป็นภาคพื้นสำคัญ
สตินี่เราฝึกตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน
ฝึกไม่หยุดไม่ถอย
สติกับจิตตภาวนาไปด้วยกันๆ
ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน

หลายวิธีที่ฝึก
เช่นอย่างอดอาหารหรืออดนอน ผ่อนอาหาร
เหล่านี้มีแต่อุปกรณ์เครื่องหนุนการภาวนา
ให้สะดวกทั้งนั้น ไม่ใช่เครื่องตรัสรู้นะ

ตรัสรู้เป็นเรื่องธรรมล้วนๆ ต่างหาก
แต่เป็นเครื่องหนุนกัน อดอาหารเป็นอย่างไร
ผ่อนอาหารเป็นอย่างไร อดนอนเป็นอย่างไร
นอนมากนอนน้อยเป็นอย่างไรท่านสังเกต
ถ้าอะไรมันดีก็มักจะหนักในทางนั้น
แต่เรานี่มันหนักทางเรื่องอดอาหาร
ถ้าอดอาหารนี่ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ
ไม่มีเผลอเลย
นั่นเห็นไหม มันก็ดีอย่างนั้น

พ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด







#อริโยปวาอันตราย

"อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล - ทรงธรรม"

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

#โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่?

ปีพ.ศ. 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อำเภอค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า
"เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"
ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว
แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โดนไล่ออกอีก นี่แหละ
กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรม เปลี่ยนพฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย

***นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่?

หนูอย่าเถียงพ่อเถียงแม่นะ เพียงแต่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ก็บาปนะ หนูจะเรียนหนังสือไม่เก่ง เพียงแค่คิดนะ -ไม่ใช่กฎหมาย อย่างกฎหมายต้องมีโจทก์ จำเลย มีผู้กระทำ มีคนฟ้อง และได้กระทำไปแล้วด้วย -กฎหมายจึงบังคับคดีนั้นได้

เรื่องธรรมะเรื่องกรรมนี้ ไม่มีใครบังคับ -ตัวเองมีเจตนาเป็นอกุศลกรรมเกิดขึ้น- แค่คิดไม่ดี ก็บังคับตัวเองมีเจตนาเป็นอกุศลกรรมเกิดขึ้น แค่คิดไม่ดีก็เป็นกรรมแก่ตัวเองแล้ว

***อริโยปวาอันตราย -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม?

เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้
จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน
ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย
ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร
แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว "ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา" เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย" ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ อริโยปวาอันตราย อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ

***สวดมนต์ไม่เป็นไม่ใช่ชาวพุทธ? และยังหลงทางไปนรกกันอีก ไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไหนเลยล่ะจะเป็นผลงานชีวิตของชาวพุทธได้ แล้วก็บอกว่าบุญไม่ช่วย

"โอ หลวงพ่อจ๊ะ ฉันทำบุญมากไม่เห็นบุญช่วยเลย"
ถามว่าทำอย่างไรล่ะ?
บอกวัดโน้น 10 บาท 20 บาท บางคนทำบุญน้อยแต่หวังผลมาก เขาเรียกว่าค้ากำไรเกินควร เวลาจะกำลังใจตก ลิ้นปี่นี่จะหายใจยาวๆ เดี๋ยวก็เพิ่มกำลังขึ้นมา คนไร้มารยาท ขาดสัญชาติผู้ดี -แล้วคนไหนจะมีศีลธรรม จะเป็นหลักแห่งกรรมเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางเลว ความดีมีไหม เข้าไม่ถึงความดี -ไม่ซึ้ง เข้าไม่ซึ้งใจ มันไม่ใฝ่ดีหรอก- มันจะไม่มีสัจจะ จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีกตัญญูรู้หน้าที่งาน จะไม่มีความจริงจัง -แล้วจะไป 2 ขั้น 3 ขั้นได้หรือ -ต้องดูกฎแห่งกรรม ชาวพุทธที่ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมหรือหลักกรรมนั้น หาใช่ชาวพุทธที่แท้จริงไม่

***ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงอด หมดไม่มา ?
เราไม่หวงกันเราก็ไม่อด หมดมาเรื่อยๆ ไม่เคยจน
"หลวงพ่อช่วยหนูหน่อย เขาจะยึดเดือนหน้าแล้ว วันที่ 15 มกรา เขาจะยึดแล้ว เป็นหนี้เขา 5 แสน"
แล้วจะให้อาตมาช่วยอย่างไร ให้อาตมาช่วยแผ่เมตตาเอาเงิน- แล้วแกนั่งเฉยๆ แล้วเงินลอยมาหรือ ก็คงไม่ได้ ก็โยมหมั่นสวดมนต์ไหว้พระไป แล้วพยายามตัดทอนขายที่ไปเสียบ้าง แล้วเอาเงินไปใช้หนี้ธนาคารก็หมดเรื่องไป จบด้วยรายการนั้น

- ผู้ใดรับประทาน ผู้นั้นก็เป็นผู้อิ่ม จะโอนกันอย่างไร -ให้เขารับประทานแล้วเราจะอิ่มเองนี่คงทำไม่ได้ จะทำได้ยาก เราจะเอาเงินไปให้ผู้อื่นซื้ออาหารรับประทาน แล้วจะโอนความอิ่มให้เรานั้น คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน หากเราต้องการความอิ่ม เราก็ต้องรับประทานอาหารเอง

***กรรมดีเปรียบเหมือนกัลยาณมิตรที่คอยให้ความอุปการะ และส่งเสริมให้เราประสบแต่ความสุขและความดีงาม
- ถ้าเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็คอยล้างผลาญให้เราประสบแต่ความทุกข์และความเสื่อมโทรม เหมือนกับเพื่อนชั่วที่มีแต่นำเราไปสู่ความหายนะ
- การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นนี้ ถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น
- ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนาคือ ใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรม
- คนเจ็บมีไข้สูงเกิดเพ้อคลั่ง -แม้จะพูดคำหยาบออกมา หรือเอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าบ้างก็ไม่เป็นกรรม -เพราะทางวินัยพระก็มีการยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาบทวินัย ไม่ต้องอาบัติโทษ -ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนากระทำแล้ว การกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม

***เพียงแค่คิดก็ถือว่าเป็นกรรม?
- เราคิดจะลักทรัพย์หรือทำร้ายคนอื่น -แม้จะยังไม่ลงมือทำก็ถือว่าเป็นกรรมชั่ว -คือจะต้องมีผลตอบแทนแล้ว
-หลักของกรรมได้ถือความคิดชั่วเป็นความผิด- ก็เนื่องจากว่าแม้คนอื่นไม่รู้ ผู้คิดก็รู้ -และแม้ผู้อื่นยังไม่เสียหาย ผู้คิดเองก็เสียหายแล้ว- ฉะนั้นจึงต้องมีวิบากติดตามมา
- การสนองผลของกรรม มีขอบเขตกว้างขวางกว่าการลงโทษของกฎหมายบ้านเมืองมากมาย

****อาตมาสอนเด็กเล็กๆ -วันเกิดของหนูนะ วันตายของแม่หนู -เอาขนมไปให้แม่สักอันหนึ่ง เอาไปให้พ่ออันหนึ่ง แล้วก็ปฏิญาณตนต่อพ่อแม่ว่า -ลูกจะเป็นลูกที่ดีของบิดามารดา- จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ -ลูกจะเป็นพลเมืองดีของชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อไปในอนาคตแน่นอนที่สุด

#วิธีขอขมาพ่อแม่

ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ

ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว








คนชอบว่าเขาไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่ที่จริงมักหมายถึงเขาไม่ได้เบียดเบียนใครที่อยู่ต่อหน้าเขา แต่ถ้าเบียดเบียนแบบหลับหูหลับตา หรือหันหลัง หรือทางอ้อม มันก็ยังเป็นบาปกรรมอยู่ดี

ในทางธรรม ต้องการให้เปิดใจรับรู้ต่อมิติแห่งศีลธรรม ไม่ให้จิตคิดคับแคบเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง อย่างเช่น ให้พิจารณาว่าที่จะทำนี้เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นใกล้หรือไกล ต่อหน้าหรือลับหลัง ในระยะสั้นหรือระยะยาว เพื่อจะเป็นคนไม่เบียดเบียนคนอื่นอย่างแท้จริง

พระอาจารย์ชยสาโร






"คนอื่นเขาดี ก็ดีเขา
เขาชั่ว ก็ชั่วเขา
จิตใจของเรา เป็นอย่างไร"

หลวงปู่ขาว อนาลโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO