นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 07 พ.ค. 2024 4:49 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เกรงกลัวต่อบาป
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 15 ก.ค. 2023 6:27 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4551
ของสด ทิ้งไว้ในที่ร้อนไม่นานมันจะเน่าหมด
ปล่อยจิตไว้อยู่กับความเร่าร้อนของกิเลส ไม่นานก็เน่าได้เหมือนกัน
ผู้ไม่ประมาทย่อมนำของสดมีค่าไว้ในตู้เย็น
ผู้ไม่ประมาทย่อมนำจิตใจของตนซึ่งมีค่ายิ่งไว้ในที่เยือกเย็นเหมือนกัน
แต่ที่เยือกเย็นของนักปฏิบัติธรรมไม่ใช่ตู้ที่ไหน
มันคือความรู้สึกของผู้มีความละอายต่อบาป
ความเกรงกลัวต่อบาป สติ และปัญญา คอยคุ้มครอง

พระอาจารย์ชยสาโร







“ ถ้าจิตเพิ่นบริสุทธิ์แล้ว มันบ่ได้ไปจัดพุทธาภิเษกอีหยังยากดอก บ่แม่นว่าเอาสายสิญจ์มาผูกแล้วมันสิแล่นคือสายไฟเด๊ ! เมื่อจิตบริสุทธิแล้วแค่เพิ่นแนมสื่อๆบ่ได้จับมันกะขลัง แม้แค่รูปถ่ายบ่ทันเพิ่นมันกะยังถึงอยู่คือเก่า “

หลวงปู่สาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม (สาขาวัดหนองป่าพงที่ 33) อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี







..ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนักปราชญ์ราชเมธีทั้งหลาย ชี้แจงแสดงแนะนำแนวทางให้ถูกต้อง เดินไปเรื่อยๆ เหมือนบุคคลฉลาด
..เมื่อเขาเดินไปเรื่อยๆเขาก็ไม่เหนื่อย ก้าวขาไปเรื่อยๆไม่หยุด มันก็จะถึงจุดหมายปลายทางที่ตนเองต้องการ เรียกว่าการทำความเพียรสืบเนื่องกันไม่มีขาดสาย..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






. . ความจริงการไปมีอาจารย์ ก็เพื่อจะได้ไปศึกษาคำสอนของท่าน ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ สอนให้เราสร้างที่พึ่งให้กับตัวเราเอง เพราะอาจารย์เดี๋ยวก็ต้องแก่เจ็บตาย ตั้งแต่องค์แรก คือ พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องแก่เจ็บตาย

ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ สร้างที่พึ่ง สร้างมรรคขึ้นมา สร้างสติสร้างปัญญา ถ้าเรามีที่พึ่งมีสติมีปัญญา ใจเราจะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เมื่อไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเวลาผู้อื่นเขาเป็นอะไรไป เราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเรายังพึ่งตัวเราไม่ได้ เรามัวแต่ไปพึ่งผู้อื่นที่เขาจะต้องมีวันจากเราไป พอเขาจากเราไปเราก็หวั่นไหว เพราะเราจะไม่มีที่พึ่ง เราหวั่นไหวเพราะเรากลัวว่า ต่อไปท่านไปแล้วเราจะไม่มีที่พึ่ง

นี่คือความประมาทของลูกศิษย์ลูกหาที่เข้าหาครูบาอาจารย์ แต่ไม่ได้เข้าหาเพื่อปฏิบัติ เข้าหาเพื่อเกาะท่าน

คำสอนหลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดสังวรารามฯ จ.ชลบุรี






ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งใน ขันธ์๕, แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท, หยุดการปรุงแต่ง, หยุดการแสวงหา, หยุดกริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์






#มีก็ทำเหมือนไม่มี

"...ปฏิบัติธรรมเราต้องฉลาด มีอุบายที่จะออกจากทุกข์
ไม่ใช่ให้ทุกข์ครอบงำย่ำยีใจเสียจนไม่เคยสบายใจสัก
วันเดียว กินนอนก็ไม่สบายใจ คุยก็ไม่สบายใจ เกิดมา
หาความสุขไม่ได้สักที ยิ่งมีพวกมากยิ่งทุกข์มาก
ยิ่งมีงานมากยิ่งทุกมาก มีมากกลับเป็นทุกข์เสียแล้ว
ไม่มีเสียดีกว่า

ไม่มีทำอย่างไรได้? เราไปคว้าเต็มหมดแล้ว อะไรๆ
ก็ของเรา ก็ต้องแก้ที่ใจซิ! #มันมีก็ทำใจเหมือนไม่มี
#ปล่อยวางให้เป็นมันก็เลยเย็นลง คนเรามีมากๆ
ก็เหมือนบ้าหอบฟาง

คนเราเมื่ออายุมากๆ เป็นบ้าหอบฟาง ตัวไม่หอบแต่ใจ
มันหอบ ไปทีไรก็แบกไปหมด อะไรต่ออะไรเก็บมาคิด
มานึกหมด สะสมอยู่คนเดียวนั่นแหละ ใครไม่ทุกข์
เราก็เก็บมาทุกข์คนเดียว บ้าหอบฟางมันไม่มีอะไร
มีแต่ฟางที่หอบไป มันหลงนึกว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
แต่ที่แท้ก็แค่ฟางเท่านั้นเอง..."

#ที่มา หนังสือ มุมมองส่องใจ หน้า ๕๑
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี






เกิดเป็นมนุษย์นี้ยาก
โดย พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ ท่านว่ายากเย็นเหลือเกิน เหมือนกับ เต่าตนุตาบอดซึ่งจมอยู่ในท้องมหาสมุทร กว่าจะโผล่ขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรนั้นมันแสนยากทั้งตาบอดเสียด้วย ไม่ทราบว่ากิ่งไม้หรือต้นขอนต่างๆ มันอยู่ที่ไหน เมื่อโผล่ขึ้นมาได้ ทั้งได้เกาะได้อาศัยไม้นับเป็นโชคลาภ

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกินเพราะกว่าจะเกิดได้ ภพชาติอื่นๆ มันมีมาก สัตว์น้ำก็นับอย่างไม่ได้ สัตว์บกก็นับอย่างไม่ได้และเกิดง่ายสะดวกสบาย ไม่เหมือนมนุษย์เรา

มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เหตุใดจึงว่าประเสริฐ
พระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระอรหันต์
ปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งนั้น
ไม่ใช่เกิดเป็นอันอื่น

ฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
ควรชำระจิตใจของตัวให้ประเสริฐ
ตามเยี่ยงอย่างที่พระพุทธเจ้าของเรา
เคยกระทำบำเพ็ญมา ไม่อย่างนั้นการเกิดของเรา
ก็จะเป็นหมัน เป็นโมฆะ หาสาระอะไรไม่ได้

สัตว์เขาเกิดเขาตายเหมือนกับเรา
แต่เขาไม่ประเสริฐก็เพราะเขาไม่ได้คิดในทางดีของเขา
ตื่นมาก็หากิน อิ่มแล้วก็หลับนอน นี่เรื่องของสัตว์

ไม่ว่าสัตว์บ้านสัตว์ป่าเป็นอย่างนั้น จะจำศีลอย่างไร
จะภาวนาอย่างไร จิตใจของสัตว์ไม่เคยนึกคิดเรื่องเหล่านี้

แต่มนุษย์เราคนที่ประมาทเมินเฉย ก็ทำนองเดียวกับสัตว์ เพียงแต่กินแต่อยู่เท่านั้น
ไม่ได้คิดกำจัดกิเลสตัณหา มานะ ทิฐิ ละชั่ว บำเพ็ญดี มีแต่แสวงหามาใส่ปากใส่ท้องของตัว
แล้วก็หลับนอน ก็เพลิดเพลินกันไปตามเรื่องของกิเลสตัณหา

ไม่ได้คิดว่าการเกิดของตัวมันยากมันลำบาก กว่าจะได้เกิดแต่ละครั้งแต่ละหน
เมื่อไม่คิดอย่างนี้ การสะสมคุณงามความดีอะไรมันก็ไม่อยากกระทำบำเพ็ญ
เพราะเห็นว่าการเกิดไม่ยุ่งยากลำบากอะไร เพราะไม่ได้คิดถึงเหตุผลต้นปลายอะไร
เพียงเกิดได้ก็ว่าตัวเกิด ตัวดีเท่านั้น ผลที่สุดตายไป

เมื่อไม่ได้ทำบุญสุนทาน เมื่อไม่ได้สร้างคุณงามความดีอะไรไว้ จิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา
เต็มไปด้วยมานะทิฐิต่างๆ ไม่มีบุญกุศลส่วนใดที่จะสนับสนุนให้ไปเกิดเป็นมนุษย์
เป็นเทพบุตร เทพธิดา หรืออินทร์พรหมได้

มันก็ไปสู่อบายคือทางชั่วทางเสีย อบายนั้นพวกเราท่านก็ได้ยินแต่ในตำรับตำราว่า
มันทุกข์ มันยาก มันลำบาก มันรำคาญขนาดไหน อบายนั้นไม่ได้หมายถึงนรกถ่ายเดียว
เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงอบายด้วย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Majestic-12 [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO