นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 07 พ.ค. 2024 8:10 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความทุกข์ในการแสวงหา
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 27 มิ.ย. 2023 5:20 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4551
"ทำกรรม อันใดไว้
เป็นบุญ หรือ เป็นบาป
ก็เห็นในชาตินี้...นี่แหละ
.....จงจำกันไว้"

ธรรมคำสอน
หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
วัดภูเขาดิน ผาผอด อ.เชียวคาน จ.เลย







..พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา จึงได้เทศนาแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา จนถึงพวกเราได้ยินได้ฟังดังก้องกังวานอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ คือให้พวกเราเหล่าท่านทั้งหลายมาพากันปฏิบัติเดินตามทางสายกลาง คือให้ปฏิบัติทำาความเพียร อย่าให้ตึงเกินไปและอย่าหย่อนเกินไป คือให้เดินตามสายกลางโดยสม่ำเสมอตลอดไป จิตใจของเราจึงจะสงบระงับเป็นสมาธิ เมื่อจิตใจของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วเราจึงจะได้เกิดปัญญาขึ้น ให้รู้แจ้งซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นสัจธรรม คือของจริงตั้งอยู่
..ฉะนั้น พระพุทธเจ้าของเราจึงอยากให้พวกเรามากำหนดดูว่า ถ้าหากร่างกายตัวตนคนเราไม่เกิดขึ้นมาแล้ว กองทุกข์ทั้งปวงจะเกิดขึ้นมาแต่ที่ไหน พวกเราทุกคนคิดดูให้ดีๆซิว่า กองทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าหากร่างกายไม่มีแล้วอย่างนี้ นี่เป็นหลักสำคัญมากทีเดียว อันนี้แหละเป็นข้อสำคัญมากจริงๆ ต่อไปให้พวกเรามาลองคิดดูเสียอีกว่า เมื่อทุกคนได้เกิดขึ้นมาเป็นรูปร่างกายตัวตนคนเราแล้วอย่างนี้ จะไม่ให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาแก่ตนนั้น เราจะไปหลบหลีกอยู่ที่ไหน บ้านใดเมืองใดประเทศใดแล้วจึงจะไม่มีความทุกข์เล่า พวกเราจะไปหาได้ที่ไหน ให้ลองคิดดูให้เข้าใจ ให้เห็นจริงเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของสังขารร่างกายนี้
..นี่แหละ เกิดมีร่างกายแล้วทุกข์ก็ย่อมเกิดติดตามเราทุกตัวสัตว์ แม้จะเกิดขึ้นมาแล้ว จะมีรูปร่างกายสวยสดงดงาม หรือรูปไม่สวยขี้ร้ายขี้เหร่ก็ดี และร่ำรวยมั่งมี ทุกข์จนเพียงใดก็ตาม ทุกคนที่เกิดมาแล้วก็ย่อมมีความทุกข์ความเดือดร้อนโศกเศร้าโศกาอาดูร แล้วในที่สุดก็มีความตายมาถึงตนเอง ทุกข์เองทุกตัวสัตว์ โดยจะหลบหลีกหนีไปไหนไม่พ้นแน่นอน ถ้าหากพวกเราทุกคนยังไม่รู้ทุกข์นั้น ให้พวกเรามาลองคิดดูดีๆ อีกทีหนึ่งว่า เมื่อคนเราทุกคนเกิดขึ้นมาแล้ว กล่าวว่าตนเองเป็นผู้มั่งมีเงิน สิ่งของ ร่ำรวยมากมาย ทั้งร่างกายก็สวยสดงดงามมาก และก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรเลยเกิดขึ้นแก่ตนเอง เรามีแต่ความสุขสบายใจเท่านั้น
..คำพูดคำกล่าวกันอย่างนี้มีบุคคลกล่าวกันที่ไหนให้พวกเราได้ยินไหม หรือหากได้มีคนเรากล่าวกันอยู่ที่ใดแล้ว ถ้าหากว่าทุกคนเกิดมาแล้วกล่าวว่าตนเองมีแต่ความสุขความสบายอย่างนี้แล้ว ก็ให้พากันไปเกิดอยู่ในเมืองนั้น ประเทศนั้นเสียจะไม่ดีหรือ ทุกคนก็จะไม่มีความทุกข์ ก็จะอยู่กันมีแต่ความสุขความสบายเท่านั้นเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







. สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

ผู้เรียงร้อยบทสวด " พาหุงมหาการุณิโก "
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้วฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า

“ฉันคือ สมเด็จพระพนรัตน์
วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา
ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล
เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติ
แก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้า
เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะ
เหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่า
และประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย
จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก
เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป
ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว ”

ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น

อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร. กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัว ไปอีกวันหนึ่ง เพื่อที่อาตมาจะได้นำ พระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวันซึ่งพังลงน้ำ ที่ ก๋งเหล็ง เป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ ๆ แต่แตกหักพังทั้งนั้นหลายสิบปี๊บ อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านไม้ก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๐๙.๐๐ น. อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริง ๆ

อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพร ก็คือบทสวดที่เรียกว่า “พาหุงมหาการุณิโก” ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า

“ เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ
คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่
มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ”

อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้สวดเป็นประจำ เวลาอยู่กับพระมหาราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคน ก็ทรงมีชัยเหนือกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถีมีชัยเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคีรี จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ


โยมช่วยบอกญาติโยมด้วยนะ ว่าสวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มาก ๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านให้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลชีวิต”

เรียบเรียงใหม่จาก : น.ส.พ.มหัศจรรย์
เขียนจากคำบอกเล่าของพระครูภาวนาวิสุทธิ์








. “….การที่มาขอฟังธรรมะจากพระนั้น พระก็ออกอุบายอันแยบคายให้ แต่นั่นก็เป็นธรรมะ ที่ออกมาจากจิตใจของพระท่าน หาเป็นธรรมะที่ออกจากจิตใจเราโดยแท้

แม้จะเอาของดีไปก็ไม่รักษาให้อยู่กับตัวได้ บางทีขอไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมวางไว้ที่ไหนก็ไม่รู้นะ ก็ไม่ใช่ของเรานั่นเอง ถ้าเป็นของเราแล้วจะอยู่กับเราตลอด จำได้แม่นยำ

..เราตื่นก็มีอยู่ เราหลับก็มีอยู่ เราตายไปธรรมะนั้นก็ตามไปกับจิตเราด้วยเสมอ

ฉะนั้นอย่าเที่ยววิ่งขอธรรมะ แต่ไม่ยอมปฏิบัติเลยสักที เหลาะๆ แหละๆ เดี๋ยวน้ำเดี๋ยวแห้งไม่เอาจริงเอาจังสักที ระวังเน้อ

..ความจริงธรรมะนั้นไม่มีใครเขาให้มากหรอก มันจะฟุ้งซ่านเกิดความสงสัย ต้องแสดงเลยความลังเลจึงจะหมดไป แล้วจะคลายความสงสัยได้เด็ดขาดเลย……”

คำสอนหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม
วัดสะพานสูง จ.นนทบุรี









ผมพูดว่า…

#ถ้าพอจิตว่างแล้วการงานเป็นสุข_ถ้าพอจิตวุ่นแล้วการงานเป็นทุกข์” ไม่ค่อยมีใครจะยอมฟัง.

.
ถ้าจิตเราวุ่นวายด้วยตัวกู – ของกูนี้
มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นสุขเลย
การงานก็เบื่อระอาไปหมด ;

ถึงทำงานก็ทำเพราะความจำเป็น
อย่างนี้มันก็ไม่มีความสุข ;
มันทำงานด้วยความโลภบังคับ
ชักชวนชักจูง มันก็ไม่มีความสุข ;

.
ต่อเมื่อทำงานด้วยจิตที่ว่าง
จากกิเลสนั่นแหละ ;
มันจึงจะมีความสุข

ใจคอสบาย, จิตใจโปร่ง จิตใจปกติ,
จึงจะทำการงานรู้สึกสนุก.

บางทีทำให้ผู้อื่น ไม่เอาเองเลย
ก็ยังสนุก ;หรือว่า... สิ่งที่มันไม่สนุก
สกปรกบ้าง ไม่สวยไม่งามอะไรบ้าง
มันก็ยังทำสนุก ขอให้จิตว่างโปร่ง
สบายทำอะไรได้ด้วยความรู้สึกพอใจ.

.
ฉะนั้น ฆราวาสที่มีความรู้เรื่องสุญญตา
คือความว่างนี้ ก็เป็นฆราวาสที่มีเครื่อง
รับประกัน ว่าจะไม่ตกนรกทั้งเป็น.

จะเป็นอยู่ด้วยใจคอที่สบาย,
ไม่มีความทุกข์ ทุกข์ไม่เป็น :
จะได้มาก็หัวเราะได้, จะเสียไป
ก็หัวเราะเยาะได้.

.
ถ้ามีความรู้เรื่องนี้จริง ๆ
งานที่ทำมานั้นมันได้กำไร
ก็หัวเราะเยาะได้,

หรืองานที่ทำนั้นขาดทุน
ก็หัวเราะเยาะได้,

มีแต่สติปัญญาอยู่เรื่อย ;
ไม่มีตัวกู – ของกู ที่จะไปเสียใจ
ที่จะไปโกรธหรือไปอะไร.

.
จะเจ็บไข้ก็หัวเราะเยาะได้
จะต้องตายก็หัวเราะเยาะได้,
จะร่ำรวยสบายก็ยังหัวเราะเยาะได้
คือไม่หลงใหล ;

เรียกว่า ไม่มีความหลงใหลเลย
สำหรับผู้ที่มีจิตว่างตามแบบที่
ถูกต้องของพระพุทธเจ้า.

#พุทธทาสภิกขุ
#ฆราวาสธรรม #หน้า_๒๓๔-๒๓๕







. ชีวิตทุกข์

การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ

จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ

เมื่อเราจะออกจากบ้าน ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

คำสอนของ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี







. “โยมไม่ต้องมาบริจาคเงินให้วัด โยมเอาเงินไปให้พ่อแม่ได้บุญมากกว่าเอามาให้วัด เรื่องเงินไม่สำคัญ ฆารวาสมีศีล 5 ก็พอ”

“โยมอย่าเอาไฟฟ้าเข้าวัด เพราะจะทำให้พระต้องมีค่าใช้จ่าย พระไม่มีรายได้ อยู่โดยไม่มีไฟฟ้าดีกว่า”

“โยมมาที่วัดขออย่าอึกทึกเสียงดัง มาอยู่วัดให้ทำสมาธิฝึกจิต ได้บุญกว่ามานั่งกราบพระ”

คำสอนหลวงปู่ทุย
วัดป่าดานวิเวก จ.บึงกาฬ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO