นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 6:09 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ขันธ์ 5
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 08 พ.ย. 2022 6:44 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
…คำว่า “กุสลา” นี้แปลว่า กุศลความฉลาด
“อกุสลา” แปลว่า ความโง่

.ตอนนี้พวกเราฉลาดหรือโง่
ถ้ายังคิดอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่
แสดงว่ายังโง่อยู่

.ถ้าคิดว่าพอแล้ว
ไม่มีอะไรต้องการมากไปกว่านี้
แสดงว่าฉลาดแล้ว

.เพราะได้อะไรมา
ก็ต้องกลายเป็นความทุกข์ไปในที่สุด
สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในวันนี้..
สักวันหนึ่งก็ต้องทิ้งมันไปอยู่ดี.

……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรม ๑๕ กัณฑ์ที่ ๓๘๗
๒๑ กันยายน ๒๕๕๑







"... ความเย็นของศีล​ ของธรรม
... นี่แหละจะเป็น​ เครื่องดับทุกข์
... ทั้งหลายได้ดีที่สุด ..."

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ





มนุษย์ส่วนใหญ่ มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ "ดวงจิตที่ผ่องใส"

โอวาทธรรม หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธัมโม





#นี่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน
#ส่วนใหญ่ยังมีความสงสัย
#ในการปฏิบัติ

คิดว่าการเจริญพระกรรมฐาน
นั้นจะไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเสียแล้ว
การปฏิบัติในสมาธิจิต
คิดว่าจิตจะทรงอยู่ในอารมณ์ใด
อารมณ์หนึ่งโดยเฉพาะ
ไม่มีการเคลื่อนไหว

ความเข้าใจอย่างนี้
ของบรรดาท่าน
พุทธบริษัทผิดหมด
ที่ใช้คำว่าผิดหมด
ก็เพราะว่าผิดไม่มี
การถูกเสียเลย

อารมณ์ฟุ้งซ่านจริง ๆ
นี่ก็จะตัดได้ก็แต่เฉพาะ
พระอรหันต์
เท่านั้น ท่านที่ปฏิบัติ
ในขั้นต้นก็ดี
ทรงฌานโลกีย์ก็ดี
เป็นพระอริยเจ้าขั้น
พระโสดาบัน
สกิทาคามี อนาคามีก็ดี
ยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
แต่ทว่ามันซ่านไม่เหมือนกัน

คนที่เริ่มฝึกหัดจิตยังไม่จับ
ฌานโลกีย์
อันนี้ส่วนมากมักจะซ่าน
ไปในด้านของอกุศล

สำหรับท่านที่ทรงฌานโลกีย์
เป็นปกติ
ยังมีอารมณ์เป็นทั้งด้าน
กุศลและอกุศลร่วมกัน
แต่ทว่าทางด้านของอกุศล
จะน้อยลงไป

เพราะว่าขณะใดถ้าจิตน้อม
ไปในด้านของอกุศล
วันนั้นทั้งวัน ฌานโลกีย์ของ
ท่านผู้นั้นจะมัวหรือว่าจะมืดไปเลย
ไม่สามารถจะทรงตัวไว้ได้
เพราะอารมณ์ชั่วอย่างหยาบของจิต
ถ้าขณะใดนิวรณ์ตัวใด
ตัวหนึ่งเข้ามาสิงจิต
ขณะนั้นฌานก็ถอยไป
ขณะใดที่ฌานทรงตัว
ขณะนั้นนิวรณ์ก็ถอยไป
ฌานไม่มีกำลังสามารถฆ่านิวรณ์ให้สลายตัว
เป็นแต่เพียงว่ากันนิวรณ์ให้ออกจากจิตเท่านั้น

#ที่มาจากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม๒ #หน้าที่๔๕
#โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
{หลวงพ่อฤาษีลิงดำ}
วัดท่าซุง
อ.เมือง
จ.อุทัยธานี







เรื่องการลอยกระทง

การลอยกระทงนี้เป็นการบูชารอยพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ที่ทรงแสดงรอยพระบาทให้ปรากฏ คือทรงอธิษฐานไว้ที่ แม่น้ำนัมมทานที ตามพระบาลีกล่าวไว้ว่าอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ในแม่น้ำ ถ้าในแม่น้ำพยานาคมายาก แต่ความเป็นจริงมันเป็นปากน้ำนัมมทานที เป็นจุดหนึ่งของทะเลหรืออยู่ในห้วงของทะเลที่องค์สมเด็จพระชินศรีรงแสดงรอยพระบาทไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามอัธยาศัยของพญานาคและสัตว์น้ำทั้งหลาย

แต่การลอยกระทงนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะปรารภแต่รอยพระพุทธบาทอย่างเดียวก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ความจริงแล้วขอให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นั่นก็คือบูชา พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร แล้วก็บูชาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างนี้เราจะมีบุญใหญ่ได้รัตนะถึง ๓ ประการ หรือว่าอนุสสติทั้ง ๓ ประการ

การลอยกระทงนี้ ตามโบราณเขาถือว่าเป็นการขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยเด็กๆ ท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่า เราเคยถ่ายอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี ลงในแม่น้ำ ถือว่าเป็นการไม่เคารพรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงเรื่องนี้เห็นว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่ว่าโบราณท่านตั้งใจทำก็เป็นความดี เพราะการขอขมากับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ หมดจากการปรามาสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แสดงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๗๖ หน้า ๓๖-๓๗ โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี





"... ความเย็นของศีล​ ของธรรม
... นี่แหละจะเป็น​ เครื่องดับทุกข์
... ทั้งหลายได้ดีที่สุด ..."

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ







"...เมื่อใจเบิกบานผ่องใสแล้ว มันก็เป็นบันไดก้าวไป
สู่สมาธิ มันเป็นอย่างงั้นเรื่องมันน่ะ เพราะว่า การที่
จิตใจจะเป็นสมาธินี่ มันก็ต้องใจเบิกใจบานไม่ได้ขุ่น
มัว ไม่ได้เศร้าหมองไม่ได้ทุกข์โศกอะไร เช่นนี้มันจึง
รวมลงเป็นหนึ่งได้ ถ้าหากว่ามันมีความทุกข์ความโศก
ความพิไรรำพัน วิตกวิจารณ์อะไรต่ออะไรอยู่ จิตใจนี่
มันจะสงบลงไม่ได้เลย มันเป็นอย่างงั้น ดังนั้นมันต้อง
ผ่านความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆ ไป ความทุกข์
ทางใจอันจะทำให้เกิดความเสียใจ ดีใจ กับเรื่องดี
เรื่องชั่วภายนอกก็ไม่มี ก็ระงับแล้วบัดนี้ ก็อดกลั้น
ทนทานต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นภายใน คือร่างกาย
สังขารนี้ ไม่หวั่นไหวไปตาม เพ่งให้รู้เท่าทุกขเวทนา
ในกายนี้ตามเป็นจริง รู้ว่าเมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเราแล้ว
ทุกข์มันก็ไม่ใช่ของเรา อย่างนี้นะ

ดังนั้น เราจึงไม่ต้องหวั่นไหวไปตามทุกขเวทนานี้
เมื่อรู้เท่าอย่างนี้จิตมันก็วาง จิตวางแล้วมันจึงรวมลง
เป็นหนึ่งได้ ขอให้เข้าใจ ถ้าหากว่ายังหวั่นไหวต่อ
ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในกายอย่างนี้แล้ว จิตจะรวมลง
เป็นหนึ่งไม่ได้เลย อย่างนั้นต้องอดต้องทน ก็เมื่อเรา
รู้ว่า ร่างกายขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่ของเรา เราจะไปเดือดร้อน
ทำไม ไอ้จิตที่มันเดือดร้อน เพราะมันถือว่าเป็นของเรา
ถือว่ากายของเราอย่างนี้น่ะ มันจึงได้เดือดร้อน

แต่ถ้ามันรู้แจ้งว่าไม่ใช่ของเราจริงๆ แล้วอย่างนี้ มันไม่
เดือดร้อนนะจิตน่ะ มันก็อดได้ทนได้ ถึงแม้ว่าจะรู้เท่า
ร่างกายนี้อย่างไรก็ตาม แล้วจะให้ความรู้สึกในความ
ทุกขเวทนาต่างๆ มันระงับไปอย่างนี้ไม่ใช่นะ รู้เท่า
อย่างไรมันก็ยังรู้จักอยู่นั่นแหละ รู้ทุกข์น่ะ เจ็บมันก็รู้
เจ็บ ปวดมันก็รู้ปวดอยู่นั่นแหละ ร้อนก็รู้ร้อนอยู่ หนาว
ก็รู้หนาวอยู่อย่างนี้นะ แต่ว่าเมื่อมันรู้แจ้งแล้วมันไม่
หวั่นไหว ขอให้เข้าใจอันนี้ขอย้ำแล้วย้ำอีก เพราะว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญน่ะ..."

#ที่มา หนังสือ วรลาโภวาท หน้า ๙๕ - ๙๖
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)






อย่าหลงระเริง อย่าไปคิดว่าโลกนี้จะอยู่นานเท่านาน ไม่ถึงร้อยปีนะต่างคนต่างตาย อย่างพวกเราท่านทั้งหลายได้เห็นนั่นนะ ครูบาอาจารย์หลวงพ่อนึกไปข้างหน้านึกไปข้างหลัง ที่หลวงพ่ออยู่กับใคร อยู่กับหลวงปู่หล้า หลวงปู่หล้าก็ไป หลวงปู่จามก็ไป หลวงตามหาบัวก็ไป หลวงปู่แหวนก็ไป

ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปกราบไปไหว้ ไล่เรียงกันไป หลวงปู่ขาวหลวงพ่อก็เคยไป หลวงปู่หนองแซง หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ฝั้น มีมากมายที่หลวงพ่อเข้าไปกราบไปไหว้ ทุกวันนี้เงียบไปหมดแล้ว หลวงปู่เหรียญอยู่ใกล้ๆ ของเรา หลวงปู่จันทร์โสม หลวงปู่เพียร หลวงปู่บุญมี หลวงปู่ลี ถ้าไล่ไปแล้วไหลร่นลงมาเรื่อยๆ ก็น่าใจหายเหมือนกัน มีแต่ยิ้มสู้เท่านั้น มาเลย ถึงคราวของท่าน ต่อไปเป็นคราวของข้า ข้าจะต้องได้รับมรณภัยในจุดนั้นไม่แพ้ครูบาอาจารย์ ถ้าว่าข้ายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อยู่ ข้าจะต้องตายอย่างนี้ตลอดไป

ถ้าหากว่าข้าเบื่อหน่ายคลาย ข้าจะต้องบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา ตัดกิเลสภายในจิตในใจ ข้าพเจ้าก็จะพ้นทุกข์จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเป็นอนันตกาล อย่างที่องค์หลวงตาได้พูดได้กล่าวว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเหยียบแผ่นดินนี้อีก

นี่แหละอันนี้ก็คือจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “ศาสนาพาสร้างจิตสร้างใจ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕






" บุญ ใครทำ ใครก็ได้ ใครกิน ใครก็อิ่ม "

... บุญนั้นเราสร้างเอง ทำเอง ไปวิงวอนขอจากใครนั้นไม่ได้ ขอให้ลูกหลานทุกคนอย่าอับอาย กับการที่จะสร้างคุณงามความดี แล้วดีนั้นจะปรากฏเอง เร็วช้าต่างกันตามวาระ แต่ถ้าไม่รู้จักการสร้างทำความดีไว้เลย ก็เหมือนบ่อที่ไม่มีน้ำ เมื่อถึงยามคับขันจะใช้สอยก็ดี หรือจะดับไฟก็ดี ไม่สามารถที่จะดับไฟได้ ถึงคราวอยากจะใช้ดื่มกินก็ไม่มีให้ดื่มให้กิน...

โอวาทธรรม..หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO