นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 8:14 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความมีเมตตา
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 30 ต.ค. 2022 6:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
ทำไมเราต้องทำบุญ?

ไม่ทำก็ได้ แล้วแต่...

การทำบุญคือการชำระจิตใจ การทำให้จิตใจสูงขึ้น แล้วเมื่อจิตใจสูงขึ้นก็ย่อมมีความสุข เพราะฉะนั้นบุญก็คือชื่อของความสุข แต่ในภาษาไทยคำว่า ‘ทำบุญ’ มักจะหมายถึงการไปถวายของที่วัด แต่ที่จริงบุญเกิดได้ด้วยการให้ทาน หนึ่ง ด้วยการรักษาศีล หนึ่ง และด้วยการภาวนา เพราะฉะนั้น การรักษาศีลห้าก็ถือว่าเป็นการทำบุญ เพราะเป็นการทำให้บุญเกิดขึ้น ทำให้จิตใจเป็นบุญ ทำให้จิตใจสะอาดขึ้น สูงขึ้น มีความสุขมากขึ้น และการภาวนาก็คือการฝึกเพื่อระงับสิ่งเศร้าหมองในจิตใจ เพื่อบำรุงสิ่งดีงามในจิตใจ และแน่นอนแล้วก็ต้องทำให้จิตใจสูงขึ้น สะอาดขึ้น มีความสุขมากขึ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราหวังความสุขความเจริญในชีวิต พระพุทธเจ้าสอนว่าการทำบุญ การทำจิตให้เป็นบุญ หรือการกระทำในสิ่งที่เป็นบุญ เป็นทางที่ดีที่สุด

พระอาจารย์ชยสาโร







...อย่าพากันประมาท
ให้รู้สึกว่าพวกเรากำลังถูกขับไล่ออกจากโลกอยู่ทุกวัน ๆ
คือความแก่มันก็กำเริบ
ความเจ็บมันก็คำราม
ความตายมันก็เข้ามาถาม
อย่ามัวไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกกองกิเลส
จงคลุกคลีอยู่กับ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
จนจิตใจเป็นสัมมาสมาธิ
เราจะได้ไม่หวั่นไหว ต่อภัยของโลก...
--------------
โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






ถ้าเราเห็นสิ่งใดสภาวะใดว่าเป็นสุข ให้เอาไตรลักษณ์เข้าไปจับ ว่ามันสุขจริงมั้ย?

พระอาจารย์. คมสันต์






.... จิต....
เป็นสมบัติสำคัญมาก
ในตัวเราที่ควรดูแลรักษาอย่างดี
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะ
คือการ... "ภาวนา"
ในโอกาสอันควร
เมื่อฝึกสติ ทำให้มีสมาธิ
และเพิ่มพูนปัญญา

หลวงปู่มั่น ภูริทัต​โต






#การพิจารณาความตาย

"...เราเห็นคนตายอยู่ที่ไหนก็พิจารณาได้ทันที หรือ
จดจำมาพิจารณาภายหลังก็ได้ การพิจารณาก็ต้อง
กำหนดจิตและตั้งใจพิจารณาอย่างจริงจัง และทำให้
จิตได้เกิดความสลดสังเวชต่อความตาย อย่าไปเอา
คำว่าธรรมดา เข้ามาตัดรอนให้ปัญญาหมดไป
โดยให้กิเลสตัดสินว่ารู้แล้ว ทั้งๆ ที่จิตยังไม่เกิดความ
กลัวและสลดใจ

การพิจารณาต้องพิจารณาให้ละเอียด ให้เข้าถึงจิต
ให้จิตได้รู้เห็นตามปัญญาอย่างชัดเจน การพิจารณา
ด้วยปัญญา ถ้าจิตไม่รู้เห็นตามปัญญาแล้ว ก็เหมือน
กันกับคนตาบอดฉายไฟ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่บอดชอบอวดฉลาด การจดจำเอาเรื่องของคนอื่น
มาเป็นของตัวนั้นเก่งมาก ว่าสิ่งนั้นเราก็รู้ สิ่งนั้นเราก็
เข้าใจ ทั้งๆ ที่ได้ยินจากคนอื่นเท่านั้น ฉันใด จิตเมื่อ
ไม่รู้เห็นตามปัญญาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้จริงเห็นจริง
ในสัจธรรมได้ ฉันนั้น

ถึงจะอ่านตำราจบตู้พระไตรปิฎก จิตก็ยังไม่ได้สัมผัส
ในสัจธรรมนั้นเลย ความรู้ที่เรียนรู้มาก็ยังเป็นภาค
ทฤษฎีไป ยังไม่เข้าใจในขอบข่ายแห่งความรู้จริงใน
สัจธรรมได้ เพียงเป็นหลักการวิชาการเท่านั้น เหมือน
กันกับไปเรียนหลักการวิธีการในการทำอาหาร เมื่อจบ
หลักสูตรมาแล้วไม่เคยปรุงอาหารรับประทานเองสักที
รสชาติของอาหารนั้นเป็นอย่างไรหารู้ไม่ ฉันใด
การพิจารณาด้วยปัญญา เมื่อจิตยังไม่รู้เห็นตามด้วย
ปัญญา ก็เป็นสัญญาไป ฉันนั้น

ถึงจะพิจารณาไปตามหลักความจริง ก็จริงเพียง
สัญญาเท่านั้น ถ้าเพียงเท่านี้ก็จะละกิเลสตัณหาไม่ได้
เลย เพราะการละกิเลสตัณหาเป็นเรื่องของจิต ปัญญา
เพียงเป็นแสงสว่างให้จิตได้รู้เห็นโทษภัยเท่านั้น
ถ้าปัญญามีความสว่าง จิตก็รู้เห็นในความเป็นจริง
เห็นโทษภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็จิตนั้นแล
จะหาทางให้พ้นไปจากการเกิดไปได้ ส่วนความแก่
ความเจ็บความตายเป็นผล และเป็นทั้งโทษภัยด้วย
ถ้าตัดรากแห่งความเกิดได้แล้ว ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย ก็หมดปัญหาไป..."

#ที่มา หนังสือ ตัดกระแส : หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ
วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี








ให้เอาชนะตนเอง
เวลามีความโกรธ จิตใจจะร้อนรน กระวนกระวาย เกิดความอาฆาต เกิดความพยาบาท เกิดความแค้นขึ้นมา อยากจะให้เขานั้นตายไปต่างๆ นาๆ อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องให้อภัย มีความเมตตา ให้อภัยอยู่เสมอ แล้วเราจะเอาชนะตัวเอง เวลาชนะผู้อื่น ก็จะสร้างความเคียดแค้นให้กับเขา เวลาผู้อื่นชนะ ก็จะทำให้เกิดความเคียดแค้นในตัวเรา แต่ถ้าชนะตัวเราเองได้ คือ ชนะความโกรธ จิตใจของเราก็จะเย็น จะสบาย อย่างในขณะนี้ ญาติโยมนั่งอยู่นี่ไม่มีความโกรธ มีแต่ความสบายใจ แต่ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้นมา จะรู้สึกอย่างไร มันก็จะร้อนรนกระวนกระวายใจ

ดังนั้น เวลามีความโกรธ ขอให้ตั้งสติไว้ให้มั่น แล้วบอกตัวเองว่า ปล่อยเขาไปเถิด สิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาทำไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ จะให้เขาทำให้ถูกใจเราเสียทุกเรื่องนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องที่ทำได้ก็คือ การให้อภัย เมื่อให้อภัยแล้วมันจะเย็น เพราะได้ขับสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ออกไปจากจิตจากใจ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าไปด่าเขา หรือไปคิดถึงเขาอยู่เรื่อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรุ่มร้อนใจ คิดโกรธ คิดแค้น คิดไปเรื่อยๆ

นี่คือความไม่สบายใจเวลาเราโกรธ ก็เหมือนกับเอาค้อนมาทุบหัวเรา อย่าคิดว่าเวลาเราโกรธแล้ว คนอื่นจะทุกข์ไปกับเราด้วย คนที่เราโกรธ เขาไม่รู้เรื่องหรอก เขาสบาย แต่ผู้ที่เดือดร้อน ก็คือใจเรานั้นเอง ฉะนั้น เวลาเราเกิดความโกรธ พยายามให้อภัย อย่าไปถือโทษโกรธเคืองเขา แล้วจิตใจเราจะเย็น

กำลังใจ ๑, กัณฑ์ที่ ๖
วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๓
หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน







..#จิตเกิดจิตดับ..
..ถาม : จิตเกิด จิตดับ นั้นเป็นจิตดวงเดียวหรือหลายดวงครับ..
..ตอบ : จิตเกิด จิตดับ ก็คือ การที่จิตได้รับอารมณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เรียกว่าจิตเกิด เกิดอยู่กับอารมณ์นั้น และที่ว่าจิตดับก็คือ จิตดับจากอารมณ์นั้นที่เขาคิดอยู่ ก็เรียกว่ามันดับ แต่จิตน่ะมันไม่ดับ มันแค่วางสิ่งนั้น มันปล่อยวางสิ่งนั้นเฉยๆ พอวางสิ่งนั้นจิตก็ดับเพราะมันไม่ปรุงไม่แต่งอยู่กับสิ่งนั้น อย่างนี้ก็เรียกว่า จิตดับ
..จิตเกิดจิตดับแท้ที่จริงก็คือ มันวางอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมา พอวางแล้วก็มีอารมณ์ใหม่เกิดขึ้นอีก มีอารมณ์ใหม่มันก็เกิดใหม่อีก เรียกว่ามันเกิดหลายชาติ วันหนึ่งมันเกิดตั้งหลายชาติเลย เกิดหลายชาติก็คือหลายอารมณ์ที่มันเกิด ก็จะเรียก อุทยัพพยญาณ มีความเกิดความดับของจิต ตัวจิตไม่ดับ มันวางเฉยๆ
..เหตุฉะนั้น เมื่อมันเกิดอารมณ์ขึ้นมา เขาเรียกว่าจิตเกิด จิตดับก็คือ มันวางอารมณ์วางอารมณ์ที่เขาคิด วางแล้วก็ไปคิดอารมณ์ใหม่ คิดอารมณ์ใหม่ไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วก็จะคิดมากมายหลายอารมณ์ ก็เลยนับว่าจิตมีหลายดวง ที่จริงมีดวงเดียวนี่ล่ะ คนๆ เดียวนั่นแหละ แต่มันทำงานหลายหน้าที่ ทำนี่เสร็จไปทำอันโน้นใหม่ถ้าคิดอารมณ์แล้วมันดับเร็ว มันก็ยิ่งถี่
..ถ้าคิดบางอารมณ์มันไม่วางง่ายๆ ช้า คิดเรื่องหนึ่งคิดไป ๓ - ๔ นาที ๕ นาทีเลยหรือ ๑๐ นาทีถึงจะวางอารมณ์นั้น ก็ดับจากอารมณ์นั้นไปคิดเรื่องใหม่ ไปคิดแป๊บเดียวไปคิดเรื่องใหม่อีก เช่น เรากำลังคิดเรื่องนี้อยู่มีคนพูดขึ้นมา จิตก็เลยวิ่งไปฟังคนนั้น มันก็เลยทิ้งเรื่องนี้ นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น ก็คือเรื่องจะดับตามขั้นตอนตามวาระของมันที่จะวางอารมณ์นั้น สั้นยาวแล้วแต่ ต่างเหตุผลของมัน ไม่ใช่ว่าจิตของเรามันดับไปโดยไม่มีจิต ไม่ใช่ จิตตัวนั้นมันมีอยู่ นี่..ตรงนี้เองคือเรียกว่า จิตเกิด จิตดับ ว่าอย่างนั้น แท้ที่จริงมันไม่ดับ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..จิตเกิดจิตดับ#1..


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO