นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 1:18 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สติปัฏฐาน 4
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 ต.ค. 2022 4:35 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4538
“ถ้าเราทำผิดศีลแล้ว
ใจของเรา
จะมีความรู้สึกไม่สบาย
แต่ถ้ารักษาศีลได้
ใจของเรา
จะมีความรู้สึกเย็นสบาย
ไม่หวาดหวั่นหวาดกลัว”

#คติธรรม
#พระจุลนายก
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






…หลักของสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ
ให้มีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของ
กาย เวทนา จิต ธรรม

.การพิจารณาธรรมในแง่ต่างๆ
เช่นพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เรียกว่ามีสติอยู่กับธรรม

.ถ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
เดิน ยืน นั่ง นอน ด้วยสติ
“ ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ..เรียกว่า มีสติอยู่กับกาย “

.ส่วนใหญ่เราจะทำหลายอย่างควบกันไป
เวลาจะลุกก็เพียงคิดว่าจะลุก
แล้วก็คิดเรื่องอื่นต่อ ในขณะที่กำลังลุก

.กำลังเดิน ก็รู้ว่ากำลังเดิน
แต่ในขณะเดียวกันก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย
“อย่างนี้ไม่ใช่สติปัฏฐาน”

. ถ้าสติปัฏฐานแล้ว ต้องอยู่กับ
การยืน การเดิน การนั่ง การนอนอย่างเดียว
ให้รู้อยู่ตรงนั้น ..
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๘ กัณฑ์ที่ ๒๙๘
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐






ครั้งหนึ่งแต่โบราณกาล เล่าลือกันว่ามีขุมทรัพย์ฝังอยู่ในถ้ำ มีชายคนหนึ่งอยากได้ขุมทรัพย์นี้ จึงออกจากบ้านเข้าป่าเพื่อหาขุมทรัพย์นี้ สุดท้ายหลังจากสมบุกสมบันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานาก็ได้พบถ้ำนี้ ในถ้ำมีหีบตั้งอยู่ อารามตื่นเต้นอยากได้สมบัติมากจึงรีบเปิดหีบสมบัติ พอเปิดหีบนั้นก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นหน้ายักษ์น่าสะพรึงกลัว จึงตกใจร้องลั่นแล้ววิ่งหนีออกมาจากถ้ำ

ที่จริงแล้วสิ่งที่เขาเจอที่น่ากลัวไม่ใช่ยักษ์เลย แต่เป็นหน้าของเขาที่สะท้อนจากกระจกที่เจ้าของสมบัติได้วางไว้เหนือสมบัตินั้นนั่นเอง

หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นได้ในโลกนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก แต่เป็นภาพสะท้อนของตัวเราเอง เช่น คนขี้โกรธไปไหนก็มองเห็นแต่คนขี้โกรธ คนเห็นแก่ตัวก็มองเห็นแต่คนเห็นแก่ตัว

พระอาจารย์ชยสาโร






#หนีของปลอมมาแสวงหาของจริง

ถาม :

ส่วนตัวพระอาจารย์ ทำไมถึง
หันมาในศาสนาเต็มที่ขนาดนี้ครับ

พระอาจารย์สิริปัญโญ :

เพราะว่าผมเห็นโทษ เห็นว่ากามมันจำกัด และก็เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับผมตอนเป็นวัยรุ่น เรื่องภาวะโลกจะต้องเจอวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ข้อมูลที่เพิ่งออกมาใหม่ ปัญหาที่ว่ามีร้อนมีน้ำท่วมอะไรเป็นของเก่ามีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าโดนปกปิด

ส่วนอาตมาสิ่งที่เกิดในชีวิตของอาตมาก็ พ่อแม่หย่ากัน ก็เลยเห็นตั้งแต่เด็กว่าแบบนี้ก็ไม่แน่นอน จึงคิดว่าต่อไปจะมีความอบอุ่น ความรักในชีวิต มีภรรยาเดี๋ยวมีลูก ทุกคนก็ Happy เรารู้ตั้งแต่เด็กว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ตามความเป็นจริงมันไม่ใช่

แล้วก็ดูวัตถุ ด้วยการอยู่ใกล้ ๆ กับคนมีวัตถุเยอะ มีเงินเยอะ แต่ไม่เห็นคนที่จะดีสักคนหนึ่ง พูดตรง ๆ นะ คนระดับสูงแค่เอาศีล 5 เป็นหลักแทบจะไม่มี ก็เลยเมื่อเรามีโอกาสมาบวชเรียนตอนอายุ 18 แล้วก็โชคดี ช่วงนั้นได้มาบวชที่วัดป่าสาละวัน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นพระอุปัชฌาย์ เขาส่งให้ไปศึกษาที่วัดป่านานาชาติ

อย่างที่ผมพูดแรก ๆ อย่างน้อยขอให้มีพระวินัยกับกิจวัตร 14 เพราะว่าอันนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏภายนอก จะเห็นได้ เห็นได้ชัด ภายในยังไม่รับรอง ยังพิสูจน์ไม่ได้ อารมณ์อะไรแปลก ๆ หลายอย่าง แต่อย่างน้อยมีการควบคุมภายนอก โดยกายและวาจาก็เลยเห็นแบบนี้แล้ว แค่นี้เรามีความรู้สึกสบาย เรารู้ว่าเราอยู่กับคนที่เราไปได้ถูกทาง

พออยู่ในวัดนี้ไม่นาน ก็เริ่มจะฟังเทศน์ฟังธรรม ก็มีอาจารย์ชยสาโร ซึ่งมีความสามารถในการอธิบายธรรมะให้คนฟัง ท่านเป็นคนอังกฤษผมก็เป็นคนอังกฤษ มีความรู้สึกว่าพี่คนนี้เขาเป็นอาจารย์ได้ เขามีปัญญาขนาดนี้ได้ ก็อยู่ 10 กว่าปีได้ ก็เราเคารพศรัทธาท่าน

แต่ในขณะเดียวกันเราคิดว่า ถ้าท่านทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ ใช่ไหม? ก็ท่านดีกว่า เก่งกว่าทุกคนที่เราเคยเห็นมาก่อน ไม่มีใครเทียบกับท่านได้ แล้วก็รู้จักกับครูบาอาจารย์องค์อื่น ก็เลยมีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง มันเป็นรสชาติอธิบายไม่ถูก เออ… ที่นี่ใช่ ข้างนอกไม่ใช่ ตอนนั้นผมก็ยังอายุน้อยก็เลยสึกไป ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย

แต่ไม่ลืมบรรยากาศที่นี่ ไม่ลืมรสชาติที่นี่ พอเรียนจบแล้วทำงานสักพักหนึ่งมีความรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้ว อย่างน้อยก็มาชั่วคราวเพื่อมาศึกษาต่อ ทำให้ธรรมะหรือศีลธรรมมั่นคงหน่อย พอที่จะสู้ในชีวิต พออยู่ไม่นานมีความรู้สึกว่า จริง ๆ ไม่ต้องเอาธรรมวินัยเพื่อใช้ในชีวิตฆราวาส เอาทำวินัยใช้ในเพศพรหมจรรย์ดีกว่า เพราะว่าดูแล้วมันไม่มีประโยชน์อย่างอื่น ก็เลยโชคดี

พูดง่าย ๆ ผมอาศัยกัลยาณมิตร เพื่อนที่จะเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะอยู่ไปเรื่อย ๆ ได้ แล้วอาจจะเป็นโชคดีที่ว่า เห็นว่าวัตถุมันจำกัด จะรวยแค่ไหนก็ไม่มีความสุข จะประสบความสำเร็จแค่ไหนมีแต่ปัญหาเพิ่มขึ้น ๆ ความเครียด ความฟุ้งซ่าน และก็คนที่เราต้องเกี่ยวข้อง ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องศีลเลย ก็เลยไม่น่าเข้าไปใกล้

พูดง่าย ๆ หนี!! หนีเข้าบวชหนีเข้าวัดปลอดภัยกว่า บางคนว่าพระนี่หนีในโลกนี้จากความเป็นจริง เพราะว่าโลกนี้มีภัยอันตราย มีไฟ แต่จะว่าหนีจากความเป็นจริงผมว่าไม่ใช่ มาหันหน้าจากความเป็นจริง ก็ดูตามความเป็นจริงว่าตัวเองมีอะไรบ้าง ก็เลยหนีของปลอม มาแสวงหาของจริง

แล้วจะไปให้ทุกคนเห็นด้วยก็ไม่ได้ คนที่เข้าใจก็โดยส่วนมากคนจะสนับสนุน แต่บางคนจะมองพระว่าเป็นคนไม่ทำงาน ไม่ช่วยสังคม อยู่ในโลกส่วนตัวก็แล้วแต่เขา ช่างมัน เราไม่ต้องไปพยายามพิสูจน์ หรือบังคับให้เขาเชื่อฟัง เราไม่สนใจ

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิริปัญโญ (Ajanh Siripannyo)







#พระเมตตาสงสารต่อสัตว์โลก

“... การทำบุญ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองข้าว
ของ ตั้งแสนตั้งล้านมาทำ เราทำด้วยน้ำใจ
เรามีมากน้อย ทำตามกำลังศรัทธา ความสามารถของเรา เช่น ให้ทาน เรามีอะไรเรา
ก็ทาน

... น้ำใจเป็นสำคัญมาก วัตถุเป็นเครื่องประกอบ ถ้าวัตถุของเราไม่ดีไม่เยี่ยมสมใจที่อยากมี เอ๊า เรามีอะไรก็ทานอันนั้น ด้วยน้ำใจที่รักบุญรักทาน ก็ได้บุญมากเช่นเดียวกัน

... ข้อสำคัญอยู่ที่น้ำใจ เอ้า วัตถุดีด้วย น้ำใจ
ดีด้วย ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกและภาวนาพุทฺโธ
ธมฺโม สงฺโฆ อย่าละอย่าวาง อยู่ที่ไหนก็นึก
พุทโธ ถึงองค์ศาสดาได้ ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็คือความรู้ได้แก่ใจของเรานี้เด่นดวง ...“

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน
#เทศน์อบรมฆราวาส_ณ_วัดป่าบ้านตาด
[เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๙]






ทำธุรกิจอย่างไรจึงถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ และการประกอบสัมมาอาชีวะรวยได้ไหม?

คือสัมมาอาชีวะ อันนี้เริ่มตั้งแต่มาตรฐานต่ำสุดคือ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ทำธุรกิจในทางที่เป็นผลร้ายต่อสังคม หรือธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ให้เป็นอาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ถ้าการประกอบอาชีพอย่างเป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นครู เป็นต้น ถือว่าเป็นสัมมาอาชีพ เพราะเป็นงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เพื่อระงับทุกข์ของประชาชนโดยตรง อาชีพอย่างอื่น อาจจะได้ผลในทางดีที่น่าชื่นชม แต่เหมือนจะเป็นผลพลอยได้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวอาชีพเอง

แต่โดยสรุปแล้วว่า ถ้าอาชีพใดที่ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียในสังคม แต่มันเป็นไปเพื่อการทำให้สังคมดีขึ้น อันนี้เราน่าจะยกย่องว่าเป็นสัมมาอาชีวะระดับยอด แต่ถ้าเป็นการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยเจ้านายให้ความเป็นธรรมกับลูกน้อง แล้วก็พยายามทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำงานด้วยการเสียสละ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมได้เหมือนกัน

เรื่องจะรวยหรือไม่รวยนี่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่อาจจะบอกได้ว่า ความรวย ถ้ามองทางเงินทางทอง ไม่ถือว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวพุทธ ชาวพุทธเราไม่รังเกียจนะ ความร่ำรวยนี่ไม่รังเกียจ แต่หมายถึงว่า เอาความร่ำรวยเอาเงินเอาทองเป็นเครื่องวัดความสำเร็จในอาชีพ รวยนี่ถือว่าผลพลอยได้มากกว่า

พระอาจารย์ชยสาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO