นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 1:54 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ทำบุญทำทาน การกุศล
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 19 ต.ค. 2022 8:24 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
เราท่านทั้งหลาย จงเตือนใจไว้เสมอนะว่า ถ้าประสงค์ความสุข ความเจริญ โภคสมบัติ จงหมั่นสร้างบุญ สร้างกุศลไว้อย่างสม่ำเสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังศรัทธา เพราะเราไม่อาจจะรู้ได้ว่า อดีตชาติเราได้สร้างบุญหรือสร้างบาปไว้มากน้อยเพียงใด และผลของกรรมใดจะส่งผลก่อนหรือหลัง
เพื่อความไม่ประมาท จึงควรจะสร้างบุญกุศลเป็นการเพิ่มเติมไว้เสมอ ถ้าอดีตทำไว้มากแล้ว ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ย่อมให้ผลก่อนที่มีกำลังน้อยกว่า อันเป็นกฎธรรมชาติของกรรม ฉะนั้น ด้วยความไม่ประมาท จงระลึกไว้ว่า ถ้าตนเองไม่สะสมบุญวาสไว้แล้ว ใครที่ไหนจะช่วยเราได้ ตัวของเราจะมีอะไรไว้เป็นทุนเดินทางเวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ที่ยังต้องผจญต่อไป ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่ กว่าจะรู้แจ้งพระสัทธรรม เข้าถึงบรมสุขคือพระนิพพาน

จงระลึกไว้เสมอว่า วันนี้เราสะสมบุญ ความดี เตรียมตัวไว้เดินทางแล้วหรือยัง จะรอให้คนอื่นทำไปให้นั้น จะมั่นใจดีเท่ากับเราเตรียมหาไปเองหรือ

ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
ได้เทศนา สอนไว้ให้จดจำไว้ว่า

“ลูกเอ๋ย..ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้าหมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง”

“เจ้าจงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้...ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่...จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า…”

ดังพุทธสุภาษิตท่านสอนไว้ว่า
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ – ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน”

สมเด็จโต พรหมรังสี







ทำดี ดีแล้วเป็นพร
ไม่ต้องอ้อนวอน
ขอพร กะใครให้กวน

พรที่ให้กัน ผันผวน
เป็นเหมือนลมหวน
อวลไปอวลมา อย่าหลง

#พรทำดีเอง มั่นคง
วันคืนยืนยง ซื่อตรง
ต่อผู้รู้ทำ

อยากรวยด้วยพร
#เพียรบำเพ็ญ
บุญกุศล นำให้ถูก
ให้พอ ต่อตน

ทุกคนเกิดมาเป็นคน
ชั่วดี มีจน เป็นผล
แห่งกรรม ที่ทำเอง

ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง
บาปชั่ว กลัวเกรง
ทำแต่กรรมดี ทวีพรฯ

คติธรรมคำสอน
ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ






..คนที่จะวางเฉยได้
"ต้องมีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา"
พิจารณาถึงบุญกรรมบาปเวรบุญวาสนาบารมีของมนุษย์สัตว์ทั่วไปว่า มนุษย์สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีกรรมเป็นของๆตน ตนนั่นแหละเป็นผู้ได้รับผลของกรรม คนอื่นจะรับแทนไม่ได้..

#โอวาทธรรมหลววปู่เทสก์ เทสรังสี..






ให้หมั่นสวดมนต์ ภาวนา
อย่างน้อย ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวไว้
ให้สติอยู่กับการสวดมนต์ มันก็เป็น...บุญ

หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชี
วัดหนองบัวคำแสน อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู






จะประพฤติปฏิบัติดีวิเศษขนาดไหน
คนที่ไม่ชอบใจเขาก็ตำหนิ
จะชั่วเสียขนาดไหน คนที่ชอบใจเขาก็สรรเสริญ
เรื่องของโลก เอาแน่นอนจริงจังไม่ได้
มันเป็นอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมา

แต่จิตของเรามันหวั่นไหวหรือไม่
ถูกเขาสรรเสริญเยินยอ
เราลุ่มหลงเพลิดเพลินไปตามลมปากของเขาไหม
ถูกเขาตำหนินินทา
เราเสียใจเหี่ยวแห้งเศร้าหมองไหม

เราตรวจตราพิจารณาภายในเรื่องของเรา
ถ้ารู้เท่า เรื่องสรรเสริญและเรื่องนินทา
มันมีมาแต่ไหนแต่ไร
จิตของเราไม่ลุ่มหลงเสียอย่าง มันก็สุขสบาย

โอวาทธรรมพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร






ให้สร้างตามธรรมตามพระวินัย อย่าสร้างตามความคิดตนเอง

องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน จังหวัดขอนแก่น







#กฐินบุญกฐินบาป

กฐินบาปคือ จ้างมหรสพครบงัน มาประโคมดีดสีตีเป่า เอาคนนุ่งน้อยห่มน้อยมารำมาเต้นในวัด วงดนตรี หมอลำ มาเล่นในวัด คนมาดูก็มาตีกันในวัด พระมาดูก็บาป หาความวุ่นวายความยุ่งยากเข้ามาวัด นี่กฐินบาป

กฐินบุญ คือนำมาแต่ผ้าและเครื่องกฐิน ญาติโยมพากันมาวัด พระสงฆ์ก็สวดฉลองกองกฐินให้ที่วัด พากันมาทำบุญดูใจ ทำสมาธิภาวนา อาหารทำเลี้ยงพระสงฆ์ ก็ข้าวหม้อแกงหม้อ ต่างคนต่างนำมา นี่กฐินบุญได้อานิสงค์เต็ม

โอวาทธรรม หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด






..พุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดเห็นร่างกายไม่เที่ยงแท้แน่นอน ผู้นั้นเห็นถูก ผู้ใดเห็นร่างกายเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาเห็นถูก เรารู้จักไหมว่าไม่เที่ยง เราควรรู้อยู่ทุกขณะ หลับจนใหญ่ขึ้นมาไม่รู้เลยว่าใหญ่เท่าไหร่ ไม่รู้จักเลย
..ความไม่เที่ยงของร่างกายต้องศึกษาให้รู้จัก สิ่งใดไม่เที่ยงถือว่าเป็นทุกข์ แปรปรวน เหมือนว่าพัดลมหมุนอยู่ ไม่เที่ยง ร่างกายก็เหมือนกัน เป็นไปตลอดก็ทุกข์ตลอด ร่างกายไม่อยากทุกข์แต่มันทุกข์ ไม่อยากเป็นโรคภัยไข้เจ็บสักอย่างก็ยังเป็น อนัตตานี้นะ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..









เรื่องที่ ๖๙ ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

“..อุปสรรคเป็นของธรรมดาๆ ท่านทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี แม้แต่การประกอบอาชีพต่างๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน เพราะอุปสรรคต้องมีกับทุกคน วันหนึ่งตั้งใจจะไปหาท่านพระยายมราช ก็ลุกจากที่นอนพอเคลื่อนออกจากที่ก็ปรากฏว่ามี หญิงแก่คนหนึ่งผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี นั่งขวางทาง จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “หญิงแก่ขวางทาง” หลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง จึงถามเธอว่า “เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน ฉันจะไปหาท่านพระยายมราชแล้วเธอมาขวางทำไม”

เธอก็ยิ้มบอกว่า “ที่ฉันมาขวางเพราะ ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาท่านลุง” ถามเธอว่า “เธอต้องการอะไร” เธอตอบว่า “ตามฉันมา” ก็เลยบอกว่า“ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้าฉันจะตามไป” เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไปๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็น เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไปไม่เหนื่อย พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุก็ไปถึงที่ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เมื่อไปถึงเธอก็นั่ง คิดว่าพาไปหาผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “หญิงคนนี้คือใคร” ท่านก็ตอบว่า “เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณที่ซอยสายลมว่า เธอตายแล้วไปไหน และคุณตอบสั้นๆ ว่า คิดว่าเธอมีความสุขเพราะว่าคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาเขาถามภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้นเธอทำไว้มากกว่านั้น เธอเป็นคนใจบุญ เรื่องบาปเป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอเป็นคนใจบุญหนัก เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ ถวายสังฆทานที่เป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ ทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริงๆ จับอยู่ที่พระพุทธรูปกับผ้าไตร”

อาตมาจึงหันมาถามเธอว่า “ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม” เธอก็ตอบว่า “เป็นความจริงเจ้าค่ะ” ถามเธอว่า “บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผู้หญิงแก่ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยหรือ เพราะนางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี” เธอก็ตอบว่า “เท่าที่ให้เห็นแก่จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร” ถามถึงอาการตายของเธอ เธอบอกว่า “มีอาการร้อนในท้องและก็แน่นในหน้าอกไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ไว้ในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง มีผ้าไตร ที่เป็นวัตถุแห้งก็มาก ที่เป็นอาหารก็มาก ภาพทั้งหมดปรากฏกับเธอ

และเวลานั้นก็ปรากฏ มีภาพแมวกับภาพสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ ให้ความเมตตาปรานี เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขที่มาหมอบอยู่ข้างๆ จิตเธอก็มีความรักในมัน อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไปเพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตรบ้าง การถวายสังฆทานบ้าง เวลานั้นอารมณ์เป็นสุข”
ต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมาสว่างใสสะอาดมาก รูปร่างลักษณะโปร่ง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง ริมฝีปากแดง สวยมาก ทรงแย้มพระโอษฐ์ จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า ต่อมาอีกนิดหน่อยก็เห็นเทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงามมากมาชวนเธอว่า “ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้นมีเฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจนางฟ้า ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้าสวยสดงดงาม”

เมื่อเธอพูดจบก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายเป็นนางฟ้าสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับ สวยมาก จึงถามว่า “เท่าที่บอกให้ตามมานี้ต้องการจะให้รู้อะไร” เธอก็ตอบว่า “อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องราวจริงๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไป” ก็เลยบอกว่า “ฉันกำลังป่วยมากและก็เหนื่อยมาก คอก็แห้งเสียงไม่ออก เห็นภาพชัดๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตรลอยอยู่ข้างหน้าเธอ” เธอก็บอกว่า “ต้องการให้ทราบตามนี้” จึงถามต่อไปว่า “ต้องการอะไรอีก” เธอถามว่า “อยากจะดูวิมานฉันไหม” ตอบเธอว่า “อยากจะดูและวิมานของเธอได้มาจากอะไร”เธอก็ตอบว่า “สังฆทานถังที่ถวายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินที่ถวายร่วม ท่านนำไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนในวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน”

ถามว่า “วิมานของเธออยู่ที่ไหน” เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานทองคำลอยมาแต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำสวยสดงดงามมาก มีนางฟ้า สวยสดงดงามประจำอยู่ ๓,๐๐๐ องค์ บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้าก็ลงมาไหว้ ถามเธอว่า “วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร” เธอตอบว่า “อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง แต่กำลังใจต่ำไปนิดจึงได้วิมานทองคำ” ถามว่า “ยอดวิมานของเธอแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ” เธอตอบว่า “ที่เป็นแก้วเพราะ ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป ตั้งแต่หลังคาขึ้นไปเบื้องบนของมณฑป แต่ความสนใจในตัวอาคารของมณฑปน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นเห็นพระก็มีจิตชุ่มชื่น ฉันพอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระตายแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้” ถามเธอว่า “นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม” เธอตอบว่า “ท่านจะไปเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานเขาจะได้ทราบ บอกเขาว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน เป็นจีนทั้งพ่อและแม่ เกิดมาในตระกูลของจีน แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธความไม่ชอบใจก็มีบ้างเป็นของธรรมดา ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็กๆ ก็ไปวัดกับแม่ แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไรก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้บุญ

ต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทานมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดก็คือ สังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งติดตาติดใจพระพุทธรูปกับผ้าไตร ตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ๆ ก็เลยทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไรๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริงเลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าฉันฉลาดฉันจะถวายพระ ๑๒ นิ้ว เป็นพระพุทธชินราชจะดีมาก เพราะสวยสดงดงามมาก แต่ทีนี้คนข้างๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าวถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น”

รวมความว่าน่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงความดี อย่างน้อยจิตใจตั้งอยู่ในทาน คิดว่าทานการให้จะมีในเรา

ประการที่สองศีลรักษาทุกวันไม่ได้ก็รักษาบ้างเป็นประจำวัน
ประการที่สามกิจที่ฉันทำคือ ฉันบูชาพระทุกวัน ตอนหัวค่ำกับตอนเช้าตรู่ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากแต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลัง ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก เวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏและในที่สุดพระพุทธเจ้าเสด็จมานี่เป็นปัจจัยให้ฉันเกิดความสุข ถ้าหากท่านไปพบลูกหลานของฉันบอกด้วยว่า “ฉันมีความสุข”

ต่อมาอาตมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตรถามว่า “หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน” ท่านตอบว่า “ท่านหมายถึงนิพพานใช่ไหม” ตอบว่า “ใช่” ท่านก็ตอบว่า “ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวรจะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงรักษาความดี ๔ ประการไว้คือ
๑) รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๒) พูดไพเราะ ใช้วาจาดีๆ
๓) ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน
๔) ไม่ถือตัว
คุณธรรม ๔ ประการนี้จะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน..”

โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ที่มา คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
หน้า ๑๖๔-๑๖๗






"...เมื่อเราเว้นส่วนที่ทำความเดือดร้อนกับผู้อื่น
สิ่งเดือดร้อนมันก็ไม่ตามมาสนองเรา ท่านผู้ที่มีศีล
จึงจะมีอานิสงส์ทำให้อายุยืน ไม่มีเวรภัย ไม่ค่อยที่จะ
มีศัตรูหมู่ร้าย หรือว่าไม่มีโทษมีภัย เว้นแต่ว่าเรื่อง
ของกรรมบางอย่างบันดาล ไม่ว่าคนเป็นคนดีมีศีล
ธรรม แต่มีเคราะห์ร้ายมีภัยพิบัติเกิดขึ้น บางทีอาจจะ
มีความสงสัยตนเองว่าคนมีศีลมีธรรม บางทีก็มี
เคราะห์ร้ายความทุกข์ยากเกิดขึ้น อันนี้ไม่เป็นเรื่อง
ผลของศีล แต่เป็นผลของอกุศลกรรมบางอย่างที่
แสดงตัวขึ้น ผลของศีลนั้นมีแต่ว่า เกิดความสงบ
เกิดความร่มเย็น เพราะเราไม่ได้ทำเหตุแห่งความ
เดือดร้อนขึ้น ผลที่ติดตามมาจึงไม่มีทางที่จะให้ผล
เป็นอื่น..."

#ที่มา หนังสือ อนุวัฑฒโนวาท หน้า ๑๘ - ๑๙
#โอวาทธรรม หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน








หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองพระนิพพาน

โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

“วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมานนิพพาน ที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะ นาน ๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ พุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า วันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดจากพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง

แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า “คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ”
เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม…?

วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า “คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่”
ท่านบอกว่า “มี ๓๗ สาย”
ถามว่า “สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร…?”
ท่านบอกว่า “สองแสนโยชน์ของนิพพาน”
แล้วก็ไปดู เห็นทั้งหมด ๓๗ สาย สองฝั่งของถนน วิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมด บอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป

ทางด้านของนิพพานนี่ เขาอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง
ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่

ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสสป และกลุ่มของพระสมณโคดม
เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่ มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฏที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้น

ยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป มันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี
ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็น

เรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริง ๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้
เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง

อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไร? เพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไป ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ
เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิ ย่อมไม่มี

ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่า จิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่า ช่างมัน ช่างมัน เอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา
คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น

สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า “การขึ้นคราวนี้ กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ.๔๕๐๐ ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปไม่ช้า คำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ”
ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒๐ ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น
และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒๐ ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสน ไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่ว ๆ ไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมา แต่มีหนังสือ มีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง

เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยาก ๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ
แล้วท่านก็บอกว่า “ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้”

ท่านก็บอกว่า “พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔๐ กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ถึงฌาน ๔ หมด”
บอก “ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย”

ท่านบอก “ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว”

ท่านบอกว่า “ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔๐ นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔๐ ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู”

ท่านก็ถามว่า “คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา”
ก็บอกว่า “เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท”

ท่านถามว่า “คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ…?”
เลยบอกท่านว่า “มี”

ท่านถามว่า “ทำไมว่ามี…?”
ก็เลยบอกว่า “ยังไม่รู้ตัวว่าดี”

ท่านบอกว่า “เออ ใช้ได้”
คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไร ก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้ว เราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดยังงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาเห็นว่า ร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า “งานสาธารณะประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรง

ให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่าง ๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่”
ต่อไปเรื่อง “สมเด็จองค์ปฐม” ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขี นี่องค์ปฐมจริงๆ วันนั้นพบท่านเข้า พบจริง ๆ สมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาต อยู่ที่นครราชสีมา

วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม… ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า “ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ”
องค์ปฐม หมายถึง องค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลาง พระพุทธเจ้ายืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด”

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๔๒-๔๗
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)







เราผ่านการเวียนว่ายตายเกิด
มาเนิ่นนานเกินกว่า
ที่จะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นในชีวิต

มีแต่สิ่งที่เป็นไป...
ตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่เรียกว่า ธรรมชาติจัดสรร
ก็จัดสรรตามเหตุตามปัจจัย

ไม่ได้มีใครมาบันดาล
มากำหนดชีวิตของเราหรอก
แต่มันเป็นผลสืบต่อจากเหตุจากปัจจัยนั่นเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรเรียนรู้
ก็คือ ยอมรับ..กฎของการกระทำ..กฎของธรรมชาติ
ที่เรียกว่า เคารพต่อวาระ นั่นเอง

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผุดตรงหน้าเรา
นั่นแหละคือสิ่งที่เรียก...วาระ
เพราะว่า มันเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

"เมื่อมีเหตุเกิด มันก็เกิด
เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัย มันก็ดับ
เรียนรู้ ยอมรับ ทุกสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง"

เมื่อใดที่ #อกุศลธรรม ให้ผล
ก็คือ การกระทำที่ไม่ดีที่เคยทำไว้ มันให้ผล
มันก็จะเกิดความไม่สบายกายบ้าง
เกิดความไม่สบายใจบ้าง
เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีต่าง ๆ บ้าง
เป็นแรงส่งให้เกิดการพูดที่ไม่ดีบ้าง
เกิดการกระทำที่ไม่ดีบ้าง
หลงไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ดีบ้าง
อันนี้มันขับเคลื่อนด้วยอกุศลธรรมนั่นเอง

เมื่อใดที่ #กุศลธรรม
คือ คุณงามความดีที่เคยบำเพ็ญไว้ส่งผล
มันก็จะเป็นแรงขับเคลื่อน
ให้เกิดความสบายกายบ้าง ความสบายใจบ้าง
เกิดความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่ดีบ้าง
เป็นแรงส่งให้เกิดคำพูดดี ๆ
เกิดการกระทำดี ๆ บ้าง

สังเกตบางครั้งชีวิตคนเราน่ะ
มันก็อยากจะทำสิ่งดี ๆ มีแรงขับอยู่
อยากจะปฏิบัติธรรม อยากจะพัฒนาตัวเอง
อยากจะทำสิ่งดี ๆ

แต่บางครั้งชีวิตคนเราเนี่ย กลับตรงกันข้าม
อยากจะหลงโลก อยากจะทำสิ่งที่มันไม่ดี
อย่างที่มันเป็นต่าง ๆ

บางครั้ง ก็รู้ว่ามันไม่ดี
แต่มันห้ามใจตัวเองไม่ได้
คนที่เขาติดการพนัน
เขาก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่เขาเลิกไม่ได้
แรงกรรมมันมีกำลังสูงกว่าที่เขาจะยับยั้งชั่งใจได้

ถ้าเราไม่เข้าใจ ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ยอมรับ
เราจะวางใจไม่ถูก แล้วเราจะติดข้อง
จมปลักไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

เวลามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น…
ก็จมไปกับความทุกข์ ความเจ็บปวด
ความทุกข์ทรมาน

เวลามีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น…
ก็จะหลงเพลิน มีความประสบความสำเร็จ ก็จะติดใจ
จมไปกับสิ่งที่มันประสบความสำเร็จต่าง ๆ

มันก็ติด ก็จมอยู่กับโลกทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง
แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นไป...ยอมรับ
มันก็จะไม่ไปติดข้องกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
วางใจได้ถูกนั่นเอง

แล้วแท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
มีสองด้านเสมอ มันเป็นสัจธรรมในวัฏสงสาร
สิ่งต่าง ๆ ล้วนมีสองด้านเสมอ
ก็คือ ด้านที่เป็นคุณประโยชน์
แล้วก็ด้านที่เป็นโทษนั่นเอง

ในขณะที่เราต้องเผชิญกับความผิดพลาด
ความไม่สมหวัง ความไม่ได้ดั่งใจ
ความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานต่าง ๆ
ความบีบคั้นของกายและใจต่าง ๆ

ที่เรารู้สึกว่า...มันทุกข์จริง ๆ เลย
มันเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน
ทำให้เราจมไปกับความทุกข์ทรมาน
แต่แท้ที่จริงแล้วเนี่ย ที่มันดูว่ามันเป็นโทษ
มันก็มีด้านที่มันเป็นคุณประโยชน์อยู่

ยาเนี่ย มักมีรสขมอยู่เสมอ
ความเจ็บปวดก็ดี ความขมขื่นก็ดี
และอีกด้านหนึ่งมันก็คือ...ยาชั้นดีเลย
ที่จะทำให้เราเพาะบ่มจิตวิญญาณของเราน่ะ
ว่า...ให้ตระหนักรู้ถึงโทษภัยในวัฏสงสาร

คนที่ล้มมามาก...เจ็บมามาก
มันจะวางลงได้โดยธรรมชาติเลย
เหมือนเรากำลังแบกของร้อน ของหนักไว้
ยังไงมันก็ต้องปล่อยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

มันทำให้เราคลาย...จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
มันทำให้เรา...ยอมรับ
มันทำให้เรา...ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต

เห็นโทษภัยของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
"ยามักมีรสขมเสมอ"

อย่าได้ท้อใจ เมื่อเราเผชิญกับ
ปัญหาอุปสรรค ความขมขื่นต่างๆ
ให้เรามองให้เห็นว่า...
อีกด้านหนึ่งมันก็คือยาขมนั่นเอง
เพื่อเพาะบ่มจิตวิญญาณนี้
ให้ตระหนักรู้ถึงโทษภัยในวัฏสงสาร

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือ...
เราได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า?

สิ่งที่เรียกว่า...วาระ
ก็คือ สิ่งที่ผุดขึ้นต่อหน้าของเรานั่นแหละ
ไม่มีอะไรบังเอิญ มันไม่เป็นไปตามใจของเราหรอก
มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั่นเอง

ในอีกด้านหนึ่ง...
บางคนอาจจะได้รับสิ่งดีๆ สบายกาย สบายใจ
มีแต่ความสบาย มีแต่ความสุข
มีแต่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

มันดูว่าเหมือนจะดีนะ ชีวิตมีแต่ความสบาย
มีแต่ความสุข มีแต่ความบันเทิง
เรียกว่า...เหมือนชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบเลย
อะไรอะไรมันก็ดูดีไปหมด โลกนี่สวยงามไปหมด

พอเราสัมผัสด้านเดียว
ด้านที่มันเป็นสิ่งที่ดีที่เรากำลังเสวยอยู่
เราก็มักจะเกิดความติดใจ
หลงเพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น
บางทีมันก็หลงระเริงบ้าง ตัวลอยเลยลิงโลดเลย
ทำอะไรก็เก่ง ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

ผลที่ตามมา ก็คือ...ใช้ชีวิตอย่างประมาท
ไม่ได้ตระหนักถึงโทษภัย
ของสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า..
"ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย" นั่นเอง
ก็มองให้เห็นว่า... ยาพิษมักแฝงมา
ในรูปของความหวานเสมอ

ความหอมหวานที่กำลังได้รับ มันมักบ่อนทำลาย
มันทำให้เราหลงระเริง ทำให้เราลืมเนื้อลืมตัว
ทำให้ใจเราพองฟู ทำให้เรา...หลงประมาท

" เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม "
หลายคนที่เข้าสู่การปฏิบัติธรรม เพราะอะไร?
...ก็เจอความทุกข์บีบเค้นทั้งนั้นส่วนใหญ่

เพราะฉะนั้นมองให้เห็นว่า
สิ่งต่าง ๆ มี 2 ด้านเสมอ
มันเป็นเรื่องสัจธรรมในวัฏสงสาร
จะได้ไม่ติดข้องกับสิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไป
ตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมดทั้งสิ้น
เรียนรู้ ยอมรับ ทุกสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง

เป็นผู้ที่เคารพต่อวาระของธรรมชาติ
เมื่อเราเคารพวาระของธรรมชาติ
เราจะปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ได้
.
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
19 กุมภาพันธ์ 2565






เราเกิดมาในพื้นแผ่นดิน เราได้กินได้อยู่กับพื้นแผ่นดินไทย สร้างฐานะสร้างการเป็นอยู่ ก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขจากพื้นแผ่นดินไทย แต่เราจากไปเราเอาแต่สิ่งเลวๆ สิ่งที่มันชั่วๆ เอาสิ่งที่อัปรีย์จัญไรไว้เบื้องหลังไว้กับประเทศชาติบ้านเมืองไว้กับแผ่นดินมันก็ไม่น่าจะถูกเหมือนกันนะ เราควรจะเอาคุณงามความดีคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรม อันไหนที่เป็นประโยชน์ สร้างให้เป็นประโยชน์ต่อสาธาณชนต่อไปภายภาคหน้า ให้เขาได้ใช้ร่วมกันได้ศึกษาร่วมกัน ได้เห็นได้อยู่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ควรจะทำสิ่งนั้นไว้ให้กับแผ่นดินบ้าง ไม่ใช่ว่ามีเท่าไรก็กินหมดโกงหมด ผลที่สุดกระดูกตัวเองก็เอาไปด้วยไม่ได้จะไปโลภอะไรมากมายหนักหนา

เห็นไหมเศรษฐีมหาเศรษฐีที่ตายแล้วกระดูกไปด้วยไม่เห็น เห็นแต่ทิ้งกองอะยะอยู่ในเมรุ หลวงพ่อก็เหมือนกันพูดอยู่นี่ก็เหมือนกัน หลวงพ่อก็ทิ้งในเมรุเหมือนกันเว้นเสียแต่เขาเอาไปฝังในฮวงซุ้ย ถ้าฝังในฮวงซุ้ย สักปีสองสามปีไปขุดดูสิ เห็นแต่ร่างกระดูกทิ้งไว้อยู่ในฮวงซุ้ย ไม่เห็นเอาอะไรไปด้วยได้สักอย่าง

เพราะฉะนั้นสิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธาณชน เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองควรจะคิดควรจะทำ เข้าข่ายหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

ประโยชน์ตนก็อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่าให้ขาดตกบกพร่อง เลี้ยงครอบครัว อย่าไปเสเพล สำมะเลเทเมา กินเหล้ามายา ลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป ให้สร้างฐานะให้อยู่ได้ ให้มีฐานะการเป็นอยู่เลี้ยงครอบครัวให้สมบูรณ์พอเป็นไปได้ จากนั้นก็เพ่งมองช่วยเหลือชุมชนและสังคมอันไหนที่จะเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ควรจะมอบคุณงามความดี ฝากฝีมือไว้ในแผ่นดิน

หลวงพ่อก็บอกว่าให้ช่วยๆ กันนะ การทำงานไม่ว่างานไหนล่ะ ถ้าทำงานเป็นทีมเหมือนทีมฟุตบอล จะว่าใครเก่งกว่ากัน ใครสำคัญกว่ากัน อย่าไปคิดอย่างนั้น การทำงานร่วมกัน สำคัญด้วยกันทุกคน คนหาเงินให้ก็สำคัญ คนลงไปเล่นฟุตบอลก็สำคัญ โกลก็สำคัญ ปีกซ้ายปีกขวาก็สำคัญ กองหน้าก็สำคัญ แบ็คก็สำคัญ มันสำคัญด้วยกัน ถ้าหากว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอ่อนแอในทีมนั้น ในทีมฟุตบอลเขาก็เตะทะลวงเข้ามา แพ้ตลอด

แต่ถ้าหากว่าทีมของเราเข้มแข็ง มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจร่วมกัน ความสำเร็จก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อุปนิสัยของผู้ที่จะได้เป็นใหญ่ในอนาคต”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฏาคม ๒๕๖๕





"เป็นมนุษย์ขอให้ทำดีเอาไว้ สร้างเจดีย์อะไรไว้ บุญกุศลจะรวมเป็นที่เดียวกัน สติปัญญามารวมกับุญกุศลจะได้ไปร่วมกันเป็นทุนมันจะช่วยให้ง่ายขึ้น"

โอวาทธรรมหลวงปู่หนูพิณ ฐานตตโม
25 สิงหาคม 2565
#วัดป่าโนนสีทอง #หลวงปู่หนูพิณ





......... #พระโสดาบัน​ นี่ง่าย​ ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก​ เพราะอะไร​ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า #เป็นผู้เข้าถึงกระแสของพระนิพพาน เพราะว่าผู้ตัดอบายภูมิเสียได้แล้ว ถ้าถึงพระโสดาบันแล้วก็ต้องไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน​ ความเกิดของเราวนไปเวียนมาระหว่างสวรรค์กับพรหมกับมนุษย์เท่านั้น​ ​มีขอบเขตจำกัด​ นี่การเป็นพระโสดาบันกล่าวโดยย่อ

ทำง่ายๆ​ คิดอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย​ คิดไว้ว่าเราจะต้องแก่​ เราจะต้องป่วย​ เราจะต้องถูกนินทาว่าร้าย​ หรือ​ถูกสรรเสริญเยินยอ​ ทรัพย์ที่มีไว้เฉพาะเพื่อตนมันจะต้องพลัดพรากจากไป​ เมื่อเราตายแล้วหรืออยู่ก็ตามสักวันหนึ่งข้างหน้ามันกับเราจะต้องพลัดพรากจากกัน​ รู้ตัวแบบนี้

เราคิดว่าเราต้องตายแน่​ และความตายนี้อย่าคิดว่ากี่ปีตาย​ ต้องคิดว่าตายเดี๋ยวนี้​ ต่อไปก็รวบรวมความดีเข้าไว้ว่า ร่างกายนี้จะพัง​ มันไม่เป็นเรื่องแล้วรอไม่ได้​ มันอาจจะพังเดี๋ยวนี้ได้​ รวบรัดตัดสินใจเข้ามานึกถึงความตายเป็นอารมณ์​ เกิดตายเมื่อไรก็ช่างมัน​ ตายเมื่อไรฉันจะเลิกเกิดเมื่อนั้น​ แต่ก่อนที่จะเลิกเกิด​ มันจะเลิกเกิดได้หรือไม่ก็ตาม​ ฉันจะยึดหัวหาดไว้ให้ได้เสียก่อน​ นั่นคือพระโสดาบัน.

จาก​หนังสือ​คำ​สอน​หลวงพ่อ​วัด​ท่า​ซุง​เล่มที่ ๕๔
หลวงพ่อ​พระราช​พรหมยาน​มหาเถระ​ (พระมหาวีระ
ถาวโร)​ วัด​จัน​ทา​รา​ม​ (ท่าซุง)​ จังหวัด​ อุทัยธานี
หน้า​ ๙๙






..ถ้าหากเราคิดมีความวุ่นวายเกิดความสับสนมีความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้น เราควรน้อมนึกระลึกถึงคุณงามความดีที่ตนเองได้กระทำเอาไว้ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แล้วเอามาเปลี่ยนความคิดจากที่มันมีความกังวลนั้น ให้ออกไปจากจิตใจให้จิตใจของเรานั้นมีความสุข มีอารมณ์ที่ได้ทำคุณงามความดีนั้นมาแทน เรียกว่าเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนอารมณ์
..ถ้าหากคนไหนมีความฉลาดอย่างนั้น ก็จะสามารถทำให้ตนเองนั้นได้รับความสุขอยู่บ่อยๆ เมื่อเกิดความคิดวุ่นวายมีความทุกข์เมื่อไร ก็ให้คิดถึงคุณงามความดีที่ได้สร้างเอาไว้ อันนั้นเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนความคิดให้เป็นความคิดใหม่ ใจก็จะมีความสุขเกิดขึ้น เพราะใจมีคุณงามความดีอยู่แล้ว
..เมื่อไหร่ที่มีการทำบุญทำทานการกุศลก็แล้วแต่ การรักษาศีลจะได้กี่ข้อก็แล้วแต่ เจริญภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบ จะได้มากน้อยเพียงใดก็ให้นึกถึงคุณงามความดีของตนเองที่ได้สร้างเอาไว้นั้น ก็จะทำให้ใจของเรานั้นมีความสุข
..ใจมีความสุขเรียกว่าใจเป็นบุญใจเป็นกุศล กุศลก็แปลว่าความฉลาด เป็นคนที่มีความฉลาดเกิดขึ้น บุญก็คือความสุข จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความฉลาดของบุคคลที่ได้ทำคุณงามความดีนั้นเอง เรียกว่าถ้าเราเป็นคนฉลาด เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขตนเอง คนอื่นนั้นแก้ไขให้เราไม่ได้
..ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ได้แต่บอกกล่าวให้เท่านั้น ชี้หนทางให้เดิน ชี้หนทางให้ปฏิบัติฝึกฝนอบรมแค่นั้น การแก้ไขจริงๆในการแก้ทุกข์นั้นก็เป็นหน้าที่ของเราเอง ที่เราจะดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO