นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 4:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ค่อยปล่อยค่อยวาง
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 13 ต.ค. 2022 5:29 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"..ปัจจุบันนี้มันวุ่นวาย มันลืมพ่อลืมแม่ ลืมบุคคลผู้มีพระคุณแก่ตนของตน ตัวอย่างพระเจ้าแผ่นดิน เขากำลังก่อกวน ล้มล้างจะไม่ให้มีพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ที่นี้ประชาชนทั้งหลายที่เกิดในผืนแผ่นดินเป็นสมบัติของท่านทั้งหมด เพราะว่าพวกเราเกิดขึ้นมาเพราะข้าวเพราะน้ำในผืนแผ่นดิน

ฉะนั้นสรุปแล้วว่า ก้อนสกลกายตนตัวของพวกเราเป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน ตอนนี้เขาไม่เรียกพระเจ้าแผ่นดิน เขาจะไม่ให้มี ถ้าไม่ให้มีแล้วก็แปลว่าถ้าจะเทียบต้นไม้ยอดไม้ มันจะไม่เหลือต้นไม้สูงๆ ยอดสูงๆ จะไม่มี คงจะให้มีแต่ยอดต่ำๆ ยอดต่ำๆคือยอดอะไร ยอดผักบุ้ง ยอดผักผีพวย ยอดผักกาด ผักชี ต้นไม้สูงๆ เขาไม่ให้มี จะเอาลงให้มันเสมอกันประชาธิปไตย

ที่นี่เขาพูดออกมาว่าให้มอบอำนาจให้ประชาชน ประชาชนก็เป็นลูกเป็นหลาน ถ้างั้นพ่อแม่ก็มอบอำนาจให้ลูกหลานที่เกิดมาใหม่มีอำนาจ พ่อแม่ไม่ต้องมีอำนาจ มันผิดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคนลืมพ่อลืมแม่ ลืมผู้มีบุญมีคุณต่อตนเอง.."

#โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







อยากได้บุญน่ะ เอาขาไปเดินจงกรม เอามือไปตีตาดปัดกวาดเช็ดถู ช่วยกันรักษาสมบัติขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ก็เหมือนเราได้บูชาองค์ท่าน เหมือนองค์ท่านยังอยู่กับเรา

สถานที่นี้บารมีธรรมขององค์ท่านยังอยู่คู่สวนแสงธรรม เหมือนน้ำอยู่ในบ่อ แล้วแต่ใครจะตักกิน ใครเข้ามาสวนแสงธรรมนับแต่ล้างห้องน้ำห้องท่าถูศาลา ถ้าจะเอาบุญเอาตรงไหนก็ได้หมด อย่างเราสวดมนต์เปล่งเสียงก็เป็นบุญ ดีกว่าเอาไปนินทาดุด่าว่ากล่าวใส่ร้ายป้ายสีกัน เอาเสียงมาแลกกับบุญ

ยิ่งนั่งภาวนานี่บุญยิ่งใหญ่ ที่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอน สอนแต่เรื่องนี้ เป็นบุญขาวสะอาด เป็นบุญไม่ให้หลงตกค้างอยู่ในวัฏสงสาร บุญอื่นยังวนยังเวียน ชาวพุทธ

ปัจจุบันเอาแต่การทำทานเป็นใหญ่ เลยลืมการรักษาศีลปฏิบัติ ยิ่งภาวนายิ่งไม่เอา เราไม่ภาวนาจิตเราจะได้ถึงธรรมได้ยังไง จะถึงมรรคถึงผลได้ยังไง มันจะไปแก้ความโลภความโกรธความหลงได้ยังไง เพราะมันอยู่ภายใน

การทำบุญภายนอกเดี๋ยวเดียวก็จบ ประเคนถวายแป๊บเดียวก็จบ แต่การรักษาใจเพื่อให้ใจอยู่กับความดีความสงบ บุญประเภทนี้เป็นเรื่องยาก

เพราะฉะนั้นบุญประเภทนี้คนกิเลสหนาจึงไม่อยากได้กัน พอจะนั่งหลับตาภาวนาก็ไม่เอาแล้ว เพราะมันเป็นการฝืนเจ้าของ เป็นการดัดกิเลส แล้วใครในโลกนี้อยากจะฝืนเจ้าของ เพราะมันปล่อยตามใจ มันเป็นเรื่องของกิเลส ความวุ่นวายที่มันขยำย่ำยีหัวใจมันมาจากไหน ก็มาจากกิเลส

หัวใจดวงนี้ถ้าเราไม่มีสติไม่มีปัญญารักษา ใจดวงนี้ล่ะจะถูกกิเลสขยำย่ำยี ความดีที่ปรากฏในใจแทบจะไม่มีเลย ถูกกิเลสเอาไปทำร้ายทำลายหมด การนั่งสมาธิภาวนา นี่ล่ะจะกวาดเอาสิ่งที่ไม่ดีออก มีสติระวังรักษาจิตใจของเจ้าของให้อยู่กันปัจจุบัน ถ้าไม่อย่างนั้นกิเลสก็จะเอาไปครอง

พระอาจารย์โสภา สมโณ
เทศน์ ณ สวนแสงธรรม
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐







..ความโกรธนี้เป็นของไม่ดี เราก็ค่อยละค่อยปล่อยค่อยวางลงไปเรื่อยๆ ก็จะเรียกว่าเป็นคนฉลาด ถ้าคนอื่นมาว่าให้เราไม่ดี เรากลับไปโกรธตอบเขา ซึ่งก็ไม่น่าจะโกรธ ถ้าเรามีสติปัญญาก็จะมาดูที่ตนเอง ว่าทำไมเขาถึงว่าให้เรา ว่าเราไม่ดี เรานั้นไม่ดีจริงๆหรือเป็นอย่างไร เราก็ลองพิจารณาเข้ามา โอปะนะยิโกน้อมธรรมเข้ามาสู่ตน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญญาปทีโป..







#การฝึกซ้อมสติปัญญากับความเจ็บป่วย

"... การฝึกซ้อมสติปัญญากับความเจ็บป่วย
คือต้องพิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ด้วยสติปัญญาอย่างเข้มแข็งและแหลมคม
ไม่เช่นนั้นก็แก้ทุกขเวทนาไม่ได้ ไข้ไม่สร่างไม่หายได้เร็วกว่าธรรมดาที่ควรเป็นได้

... ผู้ที่สติปัญญาผ่านทุกขเวทนาในเวลาเป็นไข้ไปได้อย่างอาจหาญ ย่อมได้หลักยึดทั้งเวลาปกติและเวลาเจ็บไข้ได้ทุกข์ ตลอดเวลาจวนตัวจริงๆ ไม่ท้อแท้อ่อนแอและเสียทีในวาระสุดท้าย เป็นผู้กำชัยชนะในทุกขสัจไว้ได้อย่างประจักษ์ใจ และอาจหาญต่อคติธรรมดาคือ ความตาย

... การรู้ทุกขสัจด้วยสติปัญญาจริงๆ ไม่มีการอาลัยในเวลาต่อไป จิตยึดความจริงที่เคยพิจารณารู้แล้วเป็นหลักในใจตลอดไป
เมื่อถึงคราวจวนตัวเข้ามา สติปัญญาประเภทนั้นจะเข้ามาเทียมแอก เพื่อลากค้นทุกข์ด้วยการพิจารณาให้ถึง ความปลอดภัยทันที
ไม่ยอมทอดธุระนอนจมทุกข์อยู่ดังแต่ก่อนที่ยังไม่เคยกำหนดรู้ทุกข์เลย

... แต่สติปัญญาประเภทนี้จะเข้าประชิดข้าศึกทันที กิริยาท่าทางภายนอกก็เป็นเหมือนคนไข้ทั่วไป คือมีการอิดโหยโรยแรงเป็นธรรมดา แต่กิริยาภายในคือใจกับสติปัญญาจะเป็ ลักษณะทหารเตรียมออกแนวรบ

... ไม่มีการสะท้านหวั่นไหวต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมากน้อยในขณะนั้น มีแต่การค้นหามูลความจริงของ กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งเป็นที่รวมแห่งทุกข์ในขณะนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่กลัวว่าตนสู้หรือทนทุกข์ไม่ไหว กลัวแต่สติปัญญาจะไม่รู้รอบทันกับเวลาที่ต้องการเท่านั้น
การพิจารณาธรรมของจริงมีทุกขสัจเป็นต้น

... กับผู้ต้องการรู้ความจริงอยู่อย่างเต็มใจที่เคยรู้เห็นมาแล้วนั้น ท่านไม่ถือเอาความลำบากมาเป็นเครื่องกีดขวางทางเดินให้เสียเวลา และทำความ อ่อนแอแก่ตนอย่างไร้ประโยชน์ที่ควรจะได้เลย

... มีแต่คิดว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ประจักษ์ขึ้นมาในปัจจุบัน ไม่พ้นสติปัญญาศรัทธาความเพียรไปได้ เมื่อรู้ความจริงแล้ว ทุกข์ก็จริง กายก็จริง ใจก็จริง ต่างอันต่างจริงไม่มีอะไรรังควานรังแกบีบคั้นกัน

... สมุทัยที่ก่อเหตุให้เกิดทุกข์ก็สงบลง ไม่คิดปรุงว่ากลัวตายหรือไข้ไม่หาย อันเป็นอารมณ์เขย่าใจให้ว้าวุ่นขุ่นมัวไป เปล่าๆ เมื่อสติปัญญารู้รอบแล้ว ไข้ก็สงบลงในขณะนั้น หรือแม้ไข้ยังไม่สงบลงในขณะนั้น แต่ไม่กำเริบรุนแรงต่อไป และไม่ให้ใจให้เกิดทุกขเวทนาไปด้วย...
ที่เรียกว่าป่วยกายป่วยใจกลายเป็นไข้สองซ้อน ... "

#เพราะคำว่าธรรมแล้วเหตุกับผลลงกันได้
#จึงจะเรียกว่า_สวากขาตธรรม_ตามที่ประทานไว้ "

*​*​*​*​*​*​*​*​*​*​*​
#พระธรรมวิสุทธิมงคลหลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโน
[วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี]​






#ความสงบ_ไม่ใช่ความสุข_ไม่ใช่ความทุกข์

"... แต่สงบจากความสุข สงบจากความทุกข์
สงบจากความดีใจ เสียใจ ได้มาก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ มันเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เกิดและทั้งไม่ตาย
... หมายถึง "อารมณ์ความรู้สึก" ที่มันไม่มีแล้ว หมดแล้ว
... สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงบอกว่า ภพสิ้นแล้ว
... พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว...
... ท่่านก็รู้สิ่งที่มันไม่เกิดไม่ตาย ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง ... "

#หลวงปู่ชา_สุภัทโท






"ถ้าเรามาพิจารณา ถึงเรื่องความตาย
เห็นอายุมันสั้นไป ไม่ยืดยาวอีกแล้ว
คราวนี้ จะได้รีบเตรียมเนื้อ เตรียมตัว
จะได้รีบขวนขวาย หาสิ่งที่เป็นสาระ
สร้างคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตน
ทันกับกาลเวลา ซึ่งเรายังมีชีวิตอยู่

เพราะฉะนั้น มรณสติ ระลึกถึงความตาย
จึงเป็นของมีคุณค่ามาก แต่คนทั้งหลาย
ถ้าพูดถึงเรื่องความตายแล้ว ไม่ชอบ
กลับกลัว

แต่ความดี อยู่ที่ความตาย
ถ้าคนเราพิจารณาถึงความตายแล้ว
ทำดีได้ง่าย"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี





“สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว
เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดี มันก็ดีไปแล้ว
ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่ว มันก็ชั่วไปแล้ว
ผ่านไปแล้ว เช่นกัน

อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง
เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่างมาก
ก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง ว่าควรเป็นยังงั้น
เป็นยังงี้ ซึ่งมันอาจจะเป็น ไม่เป็นไปอย่างที่เรา
คาดคะเนก็ได้

ปัจจุบัน คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง
ได้สัมผัสจริง เพราะฉะนั้น ความดีต้องทำในปัจจุบัน
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบัน
ที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องการความดี ก็ต้องทำให้
เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข
ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







"ให้ปรับปรุงตัวเอง ทำตัวเองให้ดีก่อน
เมื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีแล้ว
เท่ากับปรับปรุงคนอื่นพร้อมกันไปด้วย
เพราะการสอนที่ดี คือ การทำให้ดู
เป็นตัวอย่าง นั่นเอง"

หลวงปู่จันทร์ กุสโล


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO