นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 2:37 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความยึดถือ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 11 ก.ย. 2022 9:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
บุญเกิดจากการกระทำด้วยกาย วาจา ใจที่ชำระจิตใจ คือการกระทำที่ขัดเกลากิเลสและเสริมพลังความดีภายในใจเรา การรักษาศีลถือว่าเป็นที่มาของบุญ เพราะผู้รักษาศีลต้องรู้จักปล่อยวางเจตนาเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ทุกครั้งที่เราฝืนความเคยชินที่ไม่ดีไม่งาม ความเศร้าหมองของจิตย่อมน้อยลง ความตั้งมั่นในสิ่งดีงามย่อมเพิ่มมากขึ้น ตัวบุญเกิดขึ้นตรงนี้

พระอาจารย์ชยสาโร







กายเราป่วย ใจเราไม่ป่วย
เราจะเอาใจเป็นอันเดียวกับกายไม่ได้
เราจะเอาใจเป็นความแก่ความเจ็บไม่ได้

เท่ากับเราขับเครื่องบิน คนขับเครื่องบินต้องบินระดับสูง ระดับ ๓๕,๐๐๐ ฟุตน่ะ มันถึงไม่ชนกับต้นไม้ไม่ชนกับอะไร
ใจของเราเหมือนกัน จิตใจของเราเอาไว้กับเวทนา เอาไว้กับความเจ็บป่วย เอาไว้กับความแก่มันก็จะตกลงไปตาม อาการอย่างนี้มันเป็นอาการของการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นสัญชาตญาณน่ะ รักสุขเกลียดทุกข์ โตมาก็อยากมีผัวอยากได้เมีย ต้องยกระดับจิตใจเราสู่ธรรมะ สู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง สู่พรหมจรรย์

หลวงพ่อบอก ... อย่าไปป่วยนะ อย่าไปเจ็บ อย่าไปแก่ไปอะไรน่ะ เพราะว่าอันนี้มันแยกกันได้น่ะ

ไปเข้ากรรมฐานหลายวันน่ะ ถ้าไม่เข้าใจทีนี้ก็คางเหลืองนะ ต้องเข้มแข็งต้องสง่างาม

เราเป็นนักมวยอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ต่อย
ถ้าอย่างนั้นให้แต่อวิชชาต่อยเรา
ให้แต่ความง่วงเหงาหาวนอนต่อยเรา
ให้แต่ลาภยศสรรเสริญต่อยเรา
ให้ความแก่ ความเจ็บ ความตายต่อยเรา . . . ไม่ได้
เพราะโอกาสอย่างนี้เค้าเรียกว่าโอกาสที่จะแยกกายแยกจิต โยมจะได้เป็นพระอริยเจ้า

หมอน่ะช่วยเราได้นิดหน่อย หมอก็ตายเหมือนกัน...ใช่มั้ย
จิตใจต้องสง่างาม อย่าไปจมกับทุกขเวทนา หรืออย่าไปจมกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เอาใจไปไว้อยู่กับสิ่งไหนก็อยู่ตรงนั้น ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เฉยๆ

เจ้านี้เอาใจไปไว้กับลูก เค้าก็ทุกข์กับลูก
ร่างกายเรายังบอกสอนมันไม่ได้เลย จะไปบอกสอนอะไรกับลูก

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันเสาร์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๑






"มองโลกในแง่ดี ก็หลอกตัวเอง
มองโลกในแง่ร้าย ก็หลอกตัวเอง
แท้จริง โลกไม่มีความดี และความเลวโดยตัวมันเอง

ความดี และความเลวของสิ่งใดๆ
อยู่ที่ใจไปแยกแยะ กำหนดนิยามตามความนิยม
แล้วสร้างความยึดถือไว้ โลกกลางๆ เลยถูกเหมา
เอาเป็นโลกที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง
โดยที่มันไม่ได้รู้เรื่องใดๆ ด้วยเลย

เมื่อใดที่จิตว่าง มันจึงจะเห็นโลกทั้งหลาย
ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง”

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






“ขอให้ทุกท่าน กลับมาดูตัวเอง
ดูความบกพร่อง ของตัวเอง
เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุง
อันไหนมันไม่ดี ก็แก้ไข
สิ่งไหนมันดีแล้ว ก็ให้มันดียิ่งๆขึ้นไป
จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่ผู้ที่ทำตามหัวใจตัวเอง”

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม







ปัจฉิมโอวาท_หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

“ป่วยคราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา จะไม่มีวันหาย ยาจากเทวดามาก็ไม่หาย ถึงวาระของมันแล้ว มันจะค่อยเป็นค่อยไปของมันอย่างนี้ ไม่ตายง่ายนะ เป็นโรคทรมาน เขาเรียกว่าโรคคนแก่ จะเอายาเทวดามาใส่ก็ไม่หาย ตายโดยถ่ายเดียว”

องค์หลวงตาเมตตานำธาตุขันธ์ขององค์ท่านออกแสดงธรรมเป็นเทศน์กัณฑ์สำคัญที่สุด เข้มข้นที่สุดและวิกฤตที่สุด เทศน์กัณฑ์นี้จะติดหูติดตาและสะเทือนจิตสะเทือนใจแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาตลอดไป ท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์และความโศกเศร้าสุดพรรณนาถึงความสูญเสียพระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรม ทรงคุณูปการใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ท่านได้มอบมรดกธรรมล้ำค่าที่สำคัญยิ่ง อันได้แก่ปฏิปทาเครื่องดำเนินไปสู่ความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น สืบสานอริยประเพณีอริยวงศ์ได้อย่างหมดจดงดงามตั้งแต่เบื้องต้นจวบจนวาระสุดท้าย การเกิดในคราวนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย การบวชคราวนี้ก็เป็นการบวชครั้งสุดท้าย การตายในคราวนี้ก็เป็นการตายครั้งสุดท้ายเช่นกัน องค์ท่านกล่าวยืนยันในเรื่องนี้ด้วยความอาจหาญว่า

“...เราจะทำประโยชน์ให้โลกเต็มกำลังความสามารถของเรา

จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งการตายของเรา

เพราะการตายของเรานั้น

จะเป็นการตายในครั้งสุดท้ายครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น

เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านแสดงไว้ว่า

ญาณัญจ ปนเม ทัสสนัง อุทปาทิอกุปปา เม วิมุตติ

อยมันติมา ชาตินัตถิทานิ ปุนัพภโว

ความรู้ความเห็นอันล้ำเลิศประเสริฐสุดได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว

ความหลุดพ้นจากกิเลสวัฏวนความเกิดตายนี้ไม่มีการกำเริบแล้ว

ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา

ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปอีกเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว..."

จึงเป็นการสมควรที่พุทธศาสนิกชนและอนุชนรุ่นหลัง จักภาคภูมิใจและน้อมนำองค์ท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แสดงการเทิดทูนบูชาตอบแทนพระคุณอย่างไม่มีวันจืดจางด้วยการปฏิบัติฝึกหัดตนให้อยู่ในโอวาทคำสอน จึงจะสมเจตนาขององค์หลวงตาที่ตั้งใจมอบมรดกธรรมอันทรงค่าทั้งหลายไว้เป็นเข็มทิศทางเดินที่ถูกต้องแก่โลกให้ก้าวเดินตามเพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงตลอดกาล

ลวดลายนิพพาน

“...สอุปาทิเสสนิพพาน ใจเป็นนิพพานแล้ว แต่ยังครองธาตุครองขันธ์อยู่ นี่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ยังรับผิดชอบในธาตุในขันธ์อยู่

อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุขันธ์สลายไปแล้วนั้นเป็นธรรมธาตุ คือ นิพพานล้วนๆ สมมุติไม่มีเลย ให้รับผิดชอบไม่มี ขันธ์เป็นสมมุติให้รับผิดชอบ ถึงท่านไม่ติดก็ตามก็รับผิดชอบเป็นสัญชาตญาณอันหนึ่ง ..

จะตายแบบไหนท่าไหน จะยืนตาย เดินตาย นั่งตาย นอนตายไม่มีปัญหา เพราะเป็นเรื่องอาการของสมมุติต่างหาก เพราะฉะนั้นเราจึงได้เชื่อที่ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านว่าท่านพิจารณาเห็นพระอรหันต์มาแสดงท่านิพพานให้ดู บางองค์เดินจงกรมนิพพานให้ดู บางองค์นั่งนิพพานให้ดู บางองค์นอนนิพพานให้ดู บางองค์ยืนนิพพานให้ดู ท่านว่าทำ อะไรก็จะเป็นอะไร เมื่อผ่านจากสมมุติไปหมดแล้ว อยู่เหนือสมมุติแล้ว ทุกขเวทนาเหนือจิตดวงบริสุทธิ์นั้นได้ยังไง ความบริสุทธิ์ของจิตเหนือสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงอาการของขันธ์ที่แสดงต่อกัน คือ ทุกขเวทนากับขันธ์เป็นสมมุติด้วยกันมันแสดงต่อกัน

ท่านจึงสามารถเดินจงกรมนิพพานได้อย่างสบาย เมื่อหมดกำลังแล้วก็ยุบยอบลงตรงนั้นเลย ยืนก็เหมือนกัน เมื่อหมดกำลังแล้วก็ยุบยอบลงตรงนั้น ไม่ได้ล้มแบบทั้งหงายทั้งอะไรอย่างนี้ให้ดู ยอบลงอย่างนี้เลย นั่งก็เหมือนกัน เอนแล้วก็ค่อยๆ ลง ค่อยอ่อนลงไป นั่งนิพพาน แล้วเวลายืนนิพพานก็เหมือนกัน ยอบลงไปแล้วก็ค่อยล้มไปธรรมดาๆ เดินก็เหมือนกัน พอถึงที่นั้นแล้วก็หยุดกึ๊กก็นั่ง คือเหมือนปุยนุ่น ท่านว่าอย่างนั้นนะ อ่อนนิ่ม อาการของท่านขณะที่ท่านปลงขันธ์นิพพานในท่าต่างๆ นั้นเหมือนปุยนุ่น อ่อนนิ่มไปเลย ไม่มีอากัปกิริยาที่เป็นเหมือนโลก ที่ว่าทุรนทุรายหรือระส่ำระสาย จะเอาอะไรมาระส่ำระสายลงจิตขนาดนั้นแล้ว เราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์นั้นได้ ..

อย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก่อนจะเข้าปรินิพพานทรงเข้าสมาธิสมาบัติมีปฐมฌานเป็นต้น นั้นท่านทรงแสดงลวดลายให้สมกับความเป็นศาสดาของโลกต่างหาก ตามพระอัธยาศัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำเพื่อจะแก้กิเลสหรือชำระกิเลส หรือจะต่อสู้กิเลสในขณะตายหรือในขณะนิพพาน หาไม่ ขนาดเป็นศาสดาเอกของโลก ทำไมขณะที่จะนิพพานจะไม่วางลวดลายของศาสดาไว้เป็นวาระสุดท้ายมีอย่างเหรอ ต้องวาง เราเห็นอย่างนั้นเราเชื่ออย่างนั้น

ส่วนพระอรหันต์ทั้งหลายท่านถนัดทางใดท่านก็นิพพานของท่าน ตามแบบหรือตามความถนัดของท่าน คำว่าสมาธิสมาบัติเป็นไปตามรายของบุคคลแต่ละบุคคล เป็นไปตามพระอรหันต์แต่ละประเภท ไม่ว่าเป็นประเภทใดมีความถนัดอย่างไหน ก็นิพพานในท่าถนัดของท่านสะดวกสบาย

พระพุทธเจ้าทรงเสด็จเข้าฌานสมาธิสมาบัติ แล้วปรินิพพานไปในท่าสมาธิสมาบัตินั้น นั่นเป็นลวดลายของศาสดาผู้เป็นครูเอกของโลกไม่ทิ้งลวดลาย ตั้งแต่ขณะตรัสรู้แล้วสั่งสอนโลกจะด้วยพระอาการใดที่แสดงออก ไม่เคยลดละแห่งความเป็นศาสดาเลย สัตวโลกจะยึดได้ทุกพระอาการที่ทรงเคลื่อนไหว เพราะเป็นศาสดาโดยสมบูรณ์ทุกๆ อาการ เพราะฉะนั้นวาระสุดท้ายที่พระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ต้องแสดงให้เต็มลวดลายของศาสดาเอกในวาระสุดท้าย…”

การปฏิบัติต่อพระสรีระสังขารองค์หลวงตา

ภายหลังองค์หลวงตาดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงโทรศัพท์กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงทราบในขณะนั้นทันที เพราะทรงคอยติดตามสอบถามอาการอาพาธองค์หลวงตาจากทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ อย่างต่อเนื่องตลอดมา

จากนั้นแพทย์และบุรุษพยาบาลได้ช่วยกันถอดที่ช่วยหายใจออกจากองค์ท่าน เสียงเครื่องช่วยหายใจดับลง พระอาจารย์สุชินเปิดประตูบอกญาติโยมที่อยู่ด้านนอกว่า "หลวงตาเสด็จสู่พระนิพพานแล้ว" ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก จากครูบาอาจารย์ผู้เป็นที่พึ่ง และจากสมณะผู้เป็นเนื้อนาบุญสูงสุดของเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างไหลนองหน้า เสียงร้องไห้แม้ไม่ดังหากได้ยินชัดเจนกระจายทั่วบริเวณ หัวใจทุกดวงทุกข์ระทมด้วยความอาลัยอาวรณ์สงสารตนเองต้องกลายเป็นศิษย์กำพร้าไร้ที่พึ่งพิงอันอบอุ่น บัดนี้องค์หลวงตาผู้เป็นทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่แก่วงกรรมฐานได้ถึงกาลจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมา.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






ความเป็นอยู่ของเรา

ให้มันมีส่วนแห่งความพอดี

สัมมาปฏิปทา ทางสายกลาง

ไม่รัก ไม่ชัง ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย

หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม วัดหนองป่าพง







ขอให้ทุกท่านมีความสุขในธรรม

เรื่อง..พิสูจน์คำสอน

พิสูจน์คำสอนของท่าน คำว่า "พิสูจน์คำสอน" ก็หมายถึงว่า ปฏิบัติตาม ใช่ไหม ถ้าปฏิบัติตามแบบสุกขวิปัสสโกก็รู้ยาก ใช่ไหม หมอ!..พระท่านเทศน์ ใส่บาตรก็ไปสวรรค์ สร้างโบสถ์ก็ไปสวรรค์ สร้างศาลาก็ไปสวรรค์ ไม่รู้เรื่องเลย ดีไม่ดีก็ไปเจอะอีกพวกหนึ่ง โอ๊ย!..ไม่จริงหรอกตายแล้วสูญ อ้าว! ชักเป๋แล้วเรา ใช่ไหม ถ้าเราพิสูจน์ด้วยวิชชาสามหรืออภิญญา นี่เราแน่นอน ด้านวิชชาสามเราเห็นได้แต่ไปไม่ได้ นั่นไม่เป็นไร นรกมีจริง!
คนนี้ตายแล้วไปไหน ฟังข่าวคนตายปั๊บตามไปดูเลย อ้อ..ลงนรกไปแล้ว ลงนรกเพราะกรรมอะไรขอทวนดู คนนี้ตายแล้วไปสวรรค์ ไปเพราะอะไร ใช่ไหม แล้วก็ตามดู ก็เอาอย่างเขา ถ้าเราเคยทำบาปอย่างเขา เขาลงนรกเราก็เลิก ใช่ไหม เราเกาะบุญก็ต้องไปดูตัวอย่างเทวดา นางฟ้าหรือพรหม ต้องไปถามท่านว่า ที่ท่านอยู่บนสวรรค์น่ะยังมีบาปไหม ขอดูภาพหลังของท่าน ทุกองค์ท่านมีบาปหมด แล้วทำไมท่านไม่ลงนรก อีตอนหลังท่านดีหนีบาป ต้องซ้อมกำลังไว้นะ ระวังถอยนะ ถ้าหมดแรงเมื่อไรลงเมื่อนั้น
แล้ววิธีที่เราหนีเวลานี้ก็ง่าย เราก็ทำบุญอย่างคนโง่ เราทำบุญอย่างคนโง่ซิ! พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรเราเชื่อตามท่านซะ ใช่ไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ากัปนี้ยังมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งคือ พระศรีอาริย์ จะมา
ทีนี้การทำบุญทุกครั้งเราก็ไม่ตั้งเขตไปไหน เราตั้งเขตไปนิพพานจุดเดียว เราตั้งจุดไว้ให้สูง...
อย่าง หลวงพ่อวัดปากนํ้าภาษีเจริญ หลวงพ่อสด เคยไปอบรมกับท่าน เคยไปอยู่กับท่านมาเดือนหนึ่ง ท่านบอกว่า "ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานเราต้องหวังนิพพาน" เคยถาม "หลวงพ่อครับ! ถ้ามันไปไม่ถึงนิพพาน?" "เฮ้ย! ไปไม่ถึงนิพพานก็ค้างพรหมซิโว้ย!..กำลังอ่อนหน่อยก็ค้างสวรรค์ อ่อนมากเกินไปค้างมนุษย์ยังไม่ลงนรก" ท่านพูดของท่านถูกนะ ท่านบอก "เราต้องหวังนิพพาน"
ทีนี้มานั่งใคร่ครวญดูก็จริงของท่าน ให้ตั้งใจไปนิพพานตรงไม่ไปไหนล่ะ! ทีนี้ถ้าบังเอิญบุญวาสนาบารมีของเรายังไม่ถึงนิพพาน มันก็ไปค้างสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง ใช่ไหม ถ้าไปค้างสวรรค์ค้างพรหมก็ทัน พระศรีอาริย์ แหงๆ ทันกันแน่นอน พระศรีอาริย์ เทศน์จบเดียวไปนิพพาน
ทีนี้การตั้งเขตต้องตั้งยันนิพพานสุดไว้ก่อน อย่าถอยหลัง ถ้าหากว่าบังเอิญมันไม่ถึงนิพพาน ไปค้างที่สวรรค์ก็ดี ที่พรหมก็ดี ไอ้จิตดวงเดิมมันไป ที่เราไปจิตมันไป จิตมันก็อยากไปนิพพานต่อไป ทีนี้เมื่อจิตมันอยากไปนิพพานต่อไป ถ้าฟังเทศน์จาก พระศรีอาริย์ จบ พระพุทธเจ้าเทศน์ท่านจะจี้จุดบุญเก่าเรา บุญเก่าเรามีความเข้มข้นตรงไหน ท่านจะจี้จุดนั้นก็ถึงนิพพานทันที ก็เท่านี้ไม่ยาก
ก็รวมความว่าเราทำบุญอย่างคนโง่ ยอมโง่กว่าพระพุทธเจ้า ฮึหมอ!..อาจจะไม่ยอมโง่คนอื่นก็ได้นะ (หัวเราะ) ใช่ไหม เรายอมโง่พระพุทธเจ้าองค์เดียว พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เรายอมโง่กับท่าน แต่คนอื่นไม่แน่ ใช่ไหม เดี๋ยวบอกตายแล้วสูญ ข้าไม่เอากับแกหรอกโว้ย!...ไอ้พวกตายแล้วสูญ พวกนี้สูญหมด ลง โลกันต์ หมด!
เอานักบาปนะ อย่าง สุปติฏฐิตเทพบุตร นักบาปตัวยง นี่นักบาปตัวยงเลย เพราะบาปของพวกเราทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่รวมกันนี่ รวมกันหมดแล้วยังไม่เท่าคนนี้คนเดียว แต่ว่าท่านยังไม่ได้ทำแค่ "อนันตริยกรรม" เท่านั้นเอง ใช่ไหม นั่นแหละบาปเต็มอัตรา มารู้สึกตัวเมื่อจะตาย ไปนึกถึงพระพุทธเจ้าขอให้ช่วยหายโรค ตายแล้วก็เป็นเทวดา แล้วฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระโสดาบัน อันนี้ไม่ต้องลงแล้ว โสดาบันล่ะนะ มีทางอย่างเดียวก้าวไปหานิพพานง่ายนิดเดียว
เอาอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านบอกว่าขึ้นชื่อว่าความชั่วคือบาปที่ทำมาแล้วแต่หนหลังอย่าตามนึกถึง ปล่อยลอยทิ้งไปเลย นึกถึงอย่างเดียวคือบุญ แต่ก็มีจุดอยู่จุดหนึ่งกำลังใจของเราอาจจะห่วงบาป บางครั้งนะ เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลอะไรก็ตามอุทิศให้แก่พวกบาปที่เราทำมาแล้วทั้งหมด เจ้ากรรมนายเวรให้มาโมทนา และขอให้อโหสิกรรมตั้งแต่บัดนี้ไป จนกว่าจะเข้านิพพานทำอย่างนี้ทุกวันใจจะเบา ใจเราคิดไม่ผูกพันแล้วใช่ไหม จิตก็ไม่ติดอยู่เท่านั้นก็ไปได้ทันที
โยม! นรกมีจริงไหม? (มีครับ) เคยไปมาแล้วหรือ? (หัวเราะ) เมืองนรกเขาว่ามันดีกว่าเมืองเรา ค่ากระแสไฟฟ้าไม่ต้องเสีย (หัวเราะ) ของเขาร้อนตลอดวัน สว่างจ๊าด! ไฟพุ่งมาจาก ๔ ทิศ ใช่ไหม เราเดินไปไหนไฟพุ่งถึงตัว ตัวแดงฉาน โอ๊ย! มันสวยมากไปฉันเลยไม่อยากไป พูดถึงนรกฉันพบนรกครั้งแรก เอาครั้งแรกเลยนะ ตอนบวชใหม่ๆ ไม่กี่วัน พอเริ่มบวชก็เจริญกรรมฐานกับ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปาน สอนแต่วันแรกให้อยู่ป่าช้าเลย
ก็มีอยู่วันหนึ่งชาวบ้านเขานิมนต์ไปสวดมนต์เย็น ฉันเช้าที่จังหวัดสมุทรสาคร ทีนี้เมื่อสวดมนต์เย็นเสร็จและชาวบ้านเขาต้องค้างคืน เวลาเขาคุยกันเขาไม่คุยเรื่องบุญ คุยอะไรๆ ก็ตามเรื่องตามราวก็ขี้เมาด้วย ใช่ไหม เมาบ้างไม่เมาบ้าง ไอ้เราก็จะว่ารำคาญก็ไม่แน่ เห็นเขาพูดกันคนละเรื่อง พระก็ขอตัว ไปนั่งเพิงหลังบ้าน
บังเอิญบ้านหลังนี้มีเพิงด้านหลัง พอมีเพิงด้านหลังก็ไปนั่งลมพัดเย็นสบาย นั่งห้อยขาพิงเสาก็นั่งภาวนา พอจับลมหายใจเข้าออกสัก ๓-๔ ครั้งได้มั้ง ไม่นานเลย จิตมันตกวูบลงไปเลย ไปอีกแดนหนึ่ง คิดว่ามันเป็นแผ่นดินๆ หนึ่ง ก็เดินเรื่อยๆ เป็นที่โล่งบ้านช่องไม่มี ก็เดินๆ ไป มีปล่องอยู่ปล่องหนึ่ง ปล่องดินลงไป เข้าถึงปล่องดินนั่นปล่องไม่โตนักหรอก เขาบอกว่า ปล่องนี้ลงอเวจี
แหม..ถ้าหมอจะลงไหม เสียงบอกปล่องนี้ลงอเวจี ก็เลยลงไปนึกๆ ในใจว่า อเวจีปล่องเล็กนิดเดียวจะจุคนได้กี่คน พอลงไปแล้วที่ไหนได้ โอ้โฮ! มันกว้างยาวใหญ่ไม่รู้ที่สุดๆ ที่ไหน เดินไปพักใหญ่ยังไม่ถึงที่สุด ก็ไอ้จิตดวงแรกของเราที่เราเคยได้ยินอเวจีคือ พระเทวทัต ใช่ไหม มันก็อยากเห็น พระเทวทัต ไปจุดเดียวไปจุด พระเทวทัต ก่อนเลย แต่ว่าตามหนังสือเขาเขียนว่า ในอเวจีนั่นเป็น "อจลัง" คำว่า "อจลัง" นี่แปลว่า ไม่มีการเคลื่อนไหว
ก็สงสัยว่าอเวจีมหานรกมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหว ไปดูแล้วหอกเสียบหมด มันคล้ายมันมีห้องสี่เหลี่ยมนี่นะ ไฟพุ่งไปหน้าออกทิศทั้ง ๔ ด้าน ๔ ด้านก็พุ่ง ด้านบนก็พุ่งแต่ไอ้ไฟนี่มันไม่มีเปลว หมอสังเกตเตาสูบ เตาสูบถ้าเราสูบลมอ่อนๆ มันร้อนน้อยใช่ไหม มีเปลวใช่ไหม ถ้ายิ่งแรงเท่าไหร่จะไม่มีเปลว นั่นแหละแบบนั้นแหละมันมหาเปลว เกือบจะไม่เห็นแสงเลย มันละเอียดมาก ร้อนจัด กระดูกนี่แดงฉาน แดงเหมือนกับเหล็กสุก แต่หอกนี่มันเสียบมาทุกด้านเลย ขยับตัวไม่ได้ นั่นคือ เทวทัต
นี่เคยอ่านหนังสือถึง โกกาลิกะ นั่นเพื่อนกัน เพื่อน เทวทัต นะ ท่านพระเทวทัต น่ะยืน ไปห้อง โกกาลิกะ นี่นั่ง นั่งเหยียดขาและชันเข่าหน่อยนะ นั่นเสียบหมดเหมือนกัน แล้วก็เดินดูเรื่อยๆ ไป เอ๊ะ! ก็ไม่นานรู้สึกตัวอีกทีตี ๕ แล้วนั่งไม่หล่นใต้ถุนก็บุญตัวล่ะนะ ความจริงมันเป็นฌานก็ไม่เคลื่อนไหวนะ ไปดู โอ๊ย! มันมีทั้งผู้หญิงผู้ชายมันมีเยอะแยะ
บาปมันมีหลายประเภท บาปประเภทนั่ง ประเภทนอน ประเภทยืน ประเภทเดิน ประเภทเดินก็หมายความทำร้ายเขาเวลาเดิน นั่นทำท่าเหมือนเดินแต่ตัวเขาเสียบหมดนะ ถ้าหากเขานั่งทำร้ายเขาเวลานั่งก็ลงโทษแบบนั่ง พอมีความรู้สึกตัวขึ้นมาก็คิดว่า โอ้! อเวจีหนึ่งขุมล่ะเราเพิ่งฝึกกรรมฐานไม่กี่วัน เรารู้จักอเวจีแล้วนั้น ถ้าอเวจีมีขุมอื่นก็ต้องมีความเชื่อก็เกิดนะ
ทีนี้ต่อมาทำไงจะไปได้ล่ะ และตอนเมื่ออายุ ๑๒ ตายไปแล้ว ลุงท่านบอกว่า "ถ้าต้องการรู้จักอะไรมาตรงนี้นะ ลุงจะบอกให้ จะหามาให้" แล้วต่อมาก็อยากจะดูนรกขุมไหน ก็ไปพบลุงท่านมันมีเขาอยู่ลูกหนึ่ง ท่านบอกว่า "ถ้าคุณอยากจะรู้อะไร มาตรงนี้แล้วลุงจะบอกให้" ก็ไปที่ภูเขาลูกนั้น อยากจะดูนรกขุมไหนมันอยู่ข้างหน้าหมด เหมือนเรายืนอยู่ข้างหน้าทุกๆ ขุม
ทีนี้อยากจะรู้บาปของเขาทำบาปอะไร ขอภาพถอยหลัง เห็นภาพ หมอจะลองดูไหม (กลัวจะไม่ฟื้นครับ) กลัวไม่ฟื้นไม่ใช่อะไร กลัวเจอะนางฟ้ามากๆ เข้า ชักเอ๊ไม่กลับดีกว่า (หัวเราะ) อาตมาโชคดีหลายครั้งทีเดียวคิดเฉลี่ยแล้วถ้าเอาใหญ่นะ ใหญ่นี่ประมาณ ๗ ครั้ง คำว่าใหญ่หมายความว่า เดินทางไปนานหน่อยใช่ไหม ไอ้ประเดี๋ยวเดียวนั่นไม่เกี่ยวกัน หลายครั้ง ก็เป็นเหตุให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าท่าน เป็นแต่เพียงว่าถ้าเราฟังเขาพูดก็ไม่แน่ใจ ต่อมาภายหลังใครเจริญกรรมฐานง่ายนะ เพราะไปเจอะมาแล้วนี่ ไปเจอะมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ไปแล้วเขาไล่กลับ แต่ก็น่าแปลกไปแล้วถูกไล่กลับทุกที ถ้าไม่ไล่กลับน่ากลัวนั่งยิ้ม นั่งยิ้มเห็น หมอพิเชษฐ์ เอ๊ย! เอ็งเดินไปเดินมาเถอะฉันนอนสบายแล้ว (หัวเราะ) นี่สงสัยจริงๆ นะ
ความจริงถ้าว่าตามอายุขัยจริงๆ อายุขัยแค่ ๒๗ ปีนะ นี่ไม่ใช่อายุขัย ที่อยู่นี่อายุต่อ ทีนี้อายุต่อมันมีความสำคัญ ถ้าเข้าช่วงต่อจะต่อใหม่นี่ โดยมากท่านต่อให้นะ มันจะต้องป่วย ป่วยมากทุกที เหมือนกับดินที่พอกไว้มันเริ่มละลายต้องพอกกันใหม่ นึกไม่ถึงหรอก พยายามหนี ไอ้ที่มาปรากฏอยู่อยุธยาแล้วอยู่กรุงเทพฯ ใช่ไหม แล้วกลับไปอยู่อยุธยา แล้วเบื่องานก่อสร้าง ที่มานี่หนีงานก่อสร้างนะหมอนา โบราณท่านว่าไงรู้ไหม เกลียดขี้ขี้มันตาม อื้อฮือ..ขี้ก้อนใหญ่เลย
แล้วเวลานั้นไปสร้างภายนอกมากนะ ส่วนใหญ่สร้างนอกวัดนะ ก็ชักเริ่มเบื่อ เบื่อคน คือเบื่อคนที่วัดบ้าง เบื่อคนที่บ้านบ้าง บางวัดไปทำให้เจ้าอาวาสองค์ก่อนดี พอเปลี่ยนเจ้าอาวาสปั๊บไปอีกรูปเลย เรียกว่าพระไปเปรตมา พอเปรตมาเราก็เสื่อมศรัทธาแล้ว ใช่ไหม แล้วส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นเกือบทุกแห่งเลย เวลาไปสร้างให้ก็พระนะ พอสร้างเสร็จเปรตมาเลย
ทีนี้ก็นึกในใจว่า เอ..ต่อๆ มาเราหนีการก่อสร้างดีกว่า มาอยู่ที่นี่ก็ดีอย่างไม่มีใครเขากวน แต่เพียงว่าไปช่วยภายนอกอยู่พักหนึ่ง ต่อมามันเริ่มป่วยเมื่อปี ๒๕ และปี ๒๕ นี่ไม่ไหวแล้วช่วยใครไม่ได้แล้วมันไปไม่ไหว มันป่วย เอาในวัดนี่ล่ะวะ เท่าที่จะทำได้ เอ๊ะ! ชักไปไกลตั้งแต่ปี ๒๕ นะหมอนะ ไอ้ตอนก่อนหน้า ๒๕ ไม่มีอะไรมาก สวัสดี*

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ







“ขอให้ทุกท่าน กลับมาดูตัวเอง
ดูความบกพร่อง ของตัวเอง
เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุง
อันไหนมันไม่ดี ก็แก้ไข
สิ่งไหนมันดีแล้ว ก็ให้มันดียิ่งๆขึ้นไป
จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่ผู้ที่ทำตามหัวใจตัวเอง”

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม





#คนฉลาดย่อมไม่กลืนกินอารมณ์ชั่ว

คนที่จิตยังไม่สูงเต็มที่ เมื่อใครเขาด่าว่าอะไรก็มักเก็บไปคิด
คนเราโดยมากสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด แต่ชอบกลืนกินอารมณ์ที่ชั่ว

อารมณ์ชั่วเปรียบเหมือนกับเศษอาหารที่เขาคายออกแล้ว
ถ้าเป็นคนอดอยากยากจนจริงๆ จำเป็นจะต้องขอเขากิน
ก็ควรกลืนกินแต่อารมณ์ที่ดี
เปรียบเหมือนอาหารที่ไม่เป็นเศษของใคร

แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในลักษณะที่ยากจน
นี่เป็นลักษณะของคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาด
เพราะความดีอยู่กับตัวเองแท้ๆ
แต่ไพล่ไปเก็บเอาความชั่วที่คนอื่นเขามา
เช่นนี้ก็ย่อมเป็นการผิดทาง

ที่ถูกนั้น...ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา
ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา
ส่วนความดีที่เราทำก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา
ให้คิดเหมือนมะม่วงที่เป็นหนอน คนฉลาดเขาก็เลือกกินแต่ตรงเนื้อที่ดีๆ
ส่วนที่เน่าที่เสียก็ปล่อยให้บุ้งหนอนมันกินของมันไปเพราะเป็นวิสัยของมัน
ส่วนเราก็อย่าไปอยู่จำพวกบุ้งหนอนด้วย

อย่างนี้เรียกว่า ผู้นั้นเป็น “มนุสฺโส” คือ มีใจสูงขึ้น
เหมือนกับเราอยู่บนศาลาก็ย่อมพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน
เช่น แมว สุนัข ที่จะมารบกวน มันจะกระโดดขึ้นมาตะครุบเราก็ไม่ได้
ถ้าเราอยู่บนพื้นดินเราก็จะต้องถูกแดดบ้าง ฝนบ้าง
และอันตรายต่างๆ ก็มารบกวนได้
คือ ยังปนเปกับคนพาลบ้าง บัณฑิตบ้าง ฉันใดก็ดี

การประพฤติปฏิบัติธรรมของนักปราชญ์
ท่านจึงต้องรู้จักเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดี
ท่านไม่ยอมเก็บของเสียมาบริโภค
เพราะของเสียนั้นเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว
ก็เกิดพิษเน่าบูดให้โทษแก่ร่างกาย

ส่วนของดีเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ไม่มีโทษ
มีแต่จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเดียว

(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)








ความแก่มีทุกวินาที

“แก่” มันอยู่ตรงไหน แก่ที่วันเวลามันสิ้นไป ๑ วินาที เกิดแก่ ๑ วินาทีผ่านไป ๑ นาที แก่ไป ๑ นาที มันเดินเข้าไปหาความตาย แก่ไปเสื่อมไปทุกวันทุกเวลา ทุกวันเวลาเคลื่อนไป มันเสื่อมตัวไปตามทุกขณะ เวลาล่วงไปเท่าไหร่ แก่ลงไปเท่านั้น สร้างความรู้สึกให้เป็นสภาพอย่างนี้เป็นปกติ

เมื่อเรารู้จักแก่ คนอื่นเขาแก่ไหมล่ะ โดยมากปุถุชนคนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ตนเองจะแก่หงำเหงือกเท่าไร ก็มองไม่เห็นแก่ แก่บน แก่ล่าง กลางไม่แก่ คือ #ใจไม่แก่ บางทีไอ้ล่างไอ้บนน่ะมันก็แก่ แต่ไม่ยอมเห็นว่าแก่ นึกว่าหนุ่มว่าสาวอยู่เสมอ ไอ้นี่มันจอมบรมโง่นี่ จึงเรียกว่าปุถุชนคนที่หนาไปด้วยความโง่ นี่ดีมัย สัญญามันก็ไม่มีอย่าว่ามีแต่ปัญญาเลย คนประเภทนี้เกิดอีกหลายแสนชาติก็ไม่พ้นอบายภูมิ และก็ไม่พ้นจากความทุกข์ ปัญญาไม่มีไม่ว่า แถมสัญญาคือความจำยังไม่มี

ควรจะจำว่าเกิดมาใหม่ ๆ น่ะ ตัวมันโตเท่าไร มีสภาพและสภาวะเป็น อย่างไร เป็นเด็กขึ้นมาหน่อย เด็กใหญ่วิ่งได้ ต่อมาก็เป็นหนุ่มเป็นสาว คลายจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เริ่มทรุดโทรม ถ้าไม่เห็นตัวเราก็ควรจะมองคนอื่นเป็นครู นี่มันตัวสัญญาความจำ

ถ้าความรู้สึกอย่างนี้ไม่มีมันยังจำไม่ได้ละก็ แสดงว่าบรมไง่แล้ว จอมโง่ ยอดโง่เป็นแชมป์โง่แล้ว ไอ้แชมป์นี่เขาแปลว่าอะไรหนอ ก็สมัยพระพุทธเจ้าตามบาลีว่า “เอตะทักคะ” เป็นผู้เลิศในทางความไง่ สมัยนี้เห็นว่าเป็นแชมป์ มวย แชมป์นั่นแชมป์นี่ ได้แชมป์ผมไม่รู้แปลว่าอะไร ภาษาอะไรก็ไม่รู้ เขาแชมป์ก็แชมป์กันส่ง ถ้าผมไม่รู้เดี๋ยวผมแปลงจากแชมป์กลายเป็น “แช่ง” แช่งว่าร่างกายมันจะแก่ไปทุกวัน ๆ

ไอ้คำแช่งอย่างนี้ของผมศักดิ์สิทธิ์นะ ผมเป็นคนมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งโลกนี่ผมแช่งให้มันแก่ไปทุกวันๆ มันจะต้องแก่ตามปากผมพูด เพราะอะไร เพราะว่ามันแก่ของมันเองอยู่แล้ว ว่าอะไรก็ต้องตามใจปากผมนะ ผมจะว่ามันแก่หรือไม่แก่ มันก็แก่ นี่นึกได้ตั้งแต่เช้ามืดนี่ว่าเราแก่ไปทุกวัน ๆ ไอ้แก่นี่เขาแก่ทำไมล่ะนี่

พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
คัดลอกจากหนังสือ พ่อสอนลูก หน้าที่ ๓๖๗~๓๖๘






เรื่องทางโลกมันเป็นของชั่วคราว
ตายไป มีใครเอาอะไรไปได้บ้าง?

ที่ทำมาทั้งชีวิต
มีอะไร เอาไปได้บ้าง?

แต่การปฏิบัติธรรม
เพื่อ ชำระตนเอง
เพื่อ การหลุดพ้น
เราจะแจ้งแก่ใจ.. ด้วยตัวของเราเอง

ใจที่ อิสระ
ใจที่ หลุดพ้น
ใจที่ เข้าถึงความบริสุทธิ์
มันแจ้งแก่ใจ.. ด้วยตัวของเราเอง

การสร้างอาณาจักรต่างๆ ทางโลก
ตายไป สุดท้ายมันก็ตายเปล่า

ในสมัยพุทธกาล
ครั้งหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่ง
เจริญสมณธรรม

แล้วก็มีโจรมาทำร้าย
ถูกจ้างมาเพื่อทำลายฆ่าให้ตาย
เพราะว่าพระรูปนี้ จริงๆ แล้วมีมรดก รวย

แต่ว่าญาติหวังฮุบมรดก
ก็เลยจ้างโจรมาเพื่อฆ่า

พระท่านก็บอกว่า ขอสักคืนหนึ่ง
ให้เราได้เจริญสมณธรรม
เพื่อการพ้นทุกข์

โจรก็ไม่เชื่อ ก็ว่าจะฆ่าให้ตาย
ท่านก็ทุบขาตัวเอง แล้วบอกว่า
“ขาเราหักแล้ว เราไปไหนไม่ได้แล้ว
ขอเถิดคืนหนึ่ง ให้เราได้เจริญสมณธรรม”

โจรเห็นอย่างนั้น ก็เลยยอม
ท่านก็ทำความเพียรคืนนั้น
จนสามารถหลุดพ้น
บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้

จากนั้นท่านก็ปรินิพพาน
ไม่ต้องกลับมาเจอ
กับการทนทุกข์ในวัฏสงสารอีก

ในแต่ละวัน วันคืนล่วงเลยไป
เรากำลังทำอะไรอยู่?

เราไม่รู้หรอกว่า
เราจะมีโอกาสกี่วัน กี่เดือน กี่ปี

แต่ปัจจุบันเรายังมีโอกาสอยู่
รักษาโอกาสของตนเองให้ดี
ทำในทุกๆ วันให้มีคุณค่า

เจริญสมณธรรม
เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

เมื่อปัจจุบันเราทำดีแล้ว
อนาคตมันก็ดี เป็นเรื่องธรรมชาติ
อนาคตมันก็คือ ผลของปัจจุบัน
เราไม่รู้หรอกว่า อนาคตเป็นอย่างไร

เราก็อยู่กับปัจจุบัน
ทำปัจจุบันในทุกๆวัน
ให้มันมีคุณค่าที่แท้จริง

โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
11 กรกฎาคม 2563








"..ใครอยากรวยให้พากันตักบาตรทุกๆ วัน ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเป็นพระเก๊พระปลอม จะเป็นพระที่ไม่บริสุทธิ์ก็อย่าไปสนใจ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เมื่อเราตั้งใจอธิษฐานจิตแล้ว ตักบาตรข้าวที่หลุดจากทัพพีเรา ลงก้นบาตรพระเราก็ได้บุญแล้ว"
เราตั้งใจทำดี เราก็ได้ดีของเราเอง ส่วนใครจะทำผิดคิดชั่วนั้นก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา...

"..คนที่มีจิตใจดีต้องมีมาร ต้องใช้หนี้สินเวรกรรม ชีวิตมักจะต้องมีอุปสรรค อยู่ตลอดเวลากาล คนที่มีความดีต้องมีอุปสรรคแน่นอน ไม่ใช่ดีไปตลอด เราเข้าใจผิดคิดกันว่า เราสร้างแต่กรรมดี แต่ทำไมเหมือนมีกรรมไม่ดีมาบัง ข้อเท็จจริงก็คือ เรากำลังชดใช้หนี้สินเวรกรรมเก่าอยู่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
การเป็นหนี้ไม่ดีแน่ แต่ถ้าเราได้ใช้หนี้เขาไปหมดแล้ว เราก็จะรู้สึกว่า มันโล่งเบาตัวเบาใจ ไม่เหมือนตอนเป็นหนี้ ที่มีแต่ความเครียด มีแต่ความทุกข์ใจ"

กิเลส..หมายถึง ความเศร้าหมองใจ
ความเศร้าหมองใจมาจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจะตัดออกได้ก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา การปฏิบัติกรรมฐานเนกขัมมะปฏิบัติ ศีล คือ ตัวสติ
สมาธิ คือ การกำหนดจิตให้สติอยู่กับจิต
ปัญญา คือการแก้ไขปัญหารอบรู้เหตุการณ์ได้ด้วย สติ ทั้งสามอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อรวมตัวกันแล้วทำ "สติ" ธรรมดาให้เป็น "มหาสติ" ได้นะ ..

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม






"มองโลกในแง่ดี ก็หลอกตัวเอง
มองโลกในแง่ร้าย ก็หลอกตัวเอง
แท้จริง โลกไม่มีความดี และความเลวโดยตัวมันเอง

ความดี และความเลวของสิ่งใดๆ
อยู่ที่ใจไปแยกแยะ กำหนดนิยามตามความนิยม
แล้วสร้างความยึดถือไว้ โลกกลางๆ เลยถูกเหมา
เอาเป็นโลกที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง
โดยที่มันไม่ได้รู้เรื่องใดๆ ด้วยเลย

เมื่อใดที่จิตว่าง มันจึงจะเห็นโลกทั้งหลาย
ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง”

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO