นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 5:53 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เจริญสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 09 ก.ย. 2022 7:52 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4541
บุคคลที่ทนในสิ่งที่ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก
บุคคลนั้น จะเข้าถึงความสำเร็จของชีวิต
ความอดทน ความขมขื่นจะเกิดขึ้นในเบื้องต้น
ของการทำความดี แต่จะได้รับความชื่นชมในบั้นปลาย..

หลักธรรมคำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา
ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ

1.ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น
2.ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
3.ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง
โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
4. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์
5. ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์
6. มรณธ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์
7. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก
8. ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน
9. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
10.โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ
11.อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ
ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ

: องค์หลวงปู่แหวน สุจิณฺณมหาเถระ
: วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่







-สัมมาทิฐิที่เยือกเย็น :
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
------------------------------------------------------------------------
"การปฏิบัตินี้
มันตรงกันข้าม กับจิตของเรา
จิต ของเรา
มันมีกิเลสตัณหาอยู่นั้น...มันตรงกันข้าม
กับความเป็นจริง

ฉะนั้น...
การปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องยุ่งยากสักนิด
บางที...
สิ่งที่เราเข้าใจว่าผิด แต่...มันถูก ก็มี
สิ่งที่เรา...
เข้าใจว่าถูก แต่...มันอาจจะผิด ก็มี

เพราะอะไร ?
เพราะ จิตของเรามันมืด ไม่รู้แจ้งตามความ
เป็นจริง ในสภาวธรรม ทั้งหลายนั้น
จิต ของเรา...เอาเป็นประมาณ มิได้
เพราะจิตของเรา ไม่รู้...ตามเป็นจริง

ความคิดของเรานั้น...
ก็เอาประมาณ ไม่ได้ เดี๋ยวชอบอย่างนั้น
เดี๋ยวชอบอย่างนี้
บางที...
ก็เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทุกสิ่ง ทุกอย่าง
พอถูกโกหก ก็เชื่อเขาหมด
เพราะเรามันโง่ เรายังไม่เป็นตัว ของตัวเอง
ไม่รู้...ตามความเป็นจริง

จิต ของเรานี้...
ถูกอารมณ์โกหก อยู่เรื่อย
บางที ก็ชอบอย่างนั้น
บางที ก็ไม่ชอบอย่างนี้ ถูกโกหกอยู่เรื่อย
เพราะ เราไม่รู้ตามความเป็นจริง ของมัน
ถ้าหากเราฟังธรรม ก็ฟังธรรมไปเถิด
ธรรมนั้น...
จะชอบใจ หรือไม่ชอบใจเรา ก็...ควรฟัง

ฅนที่ฟังธรรมอย่างนี้ ได้ประโยชน์
เราจะเชื่อ ก็ไม่ได้ ไม่เชื่อ ก็ไม่ได้
ฟังแล้วนำไปพิจารณา...
ให้มันเกิดเหตุผล ในทางที่ชอบขึ้นมา
นักปราชญ์ทั้งหลาย ไม่เชื่อง่าย ๆ
ต้องเอาไปพิจารณา ตริตรองดูเหตุผลก่อน
จึงค่อยเชื่อ

แม้...จะพูดความจริงให้ฟัง ก็อย่าพึ่งเชื่อ
เพราะอะไร ?
เพราะเรายังไม่รู้ความจริงนั้น ด้วยตนเอง
พวกนักปฏิบัติ ทั้งหลาย
มีจิตกระสับกระส่าย อยู่...เรื่อยไป
เพราะมีความเห็นผิด ไปยึดธรรมที่เป็นพิษไว้
มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย
แล้วไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่อง...ของเจ้าของ

เหมือนกับหมาขี้เรื้อน
อยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ไม่เป็นสุข ถ้าไม่เห็นโทษ
ทั้งหลาย ในสิ่งเหล่านั้น...
มันก็ออก ไม่ได้ ปฏิบัติมัน ก็ยากลำบาก
การปฏิบัติ...
ถ้าเรามีความเห็น ที่ถูกต้องดีแล้ว
อยู่ที่ไหน ก็สบาย
เพราะ...เป็นสัมมาทิฐิ มีความสงบเยือกเย็น

ฉะนั้น
ถึงแม้มันจะมีทุกข์ ก็ช่างมันเถอะ
ทุกข์ มันไม่แน่นอน
ทุกข์ มันก็คือ...
ความรู้สึกวูบเดียว แล้วมันก็หายไป
แล้วสุข ก็เหมือนกัน

ฉันนั้น ตัวสุข-ทุกข์จริง ๆ
มันมีให้เห็นไหม ? ของจริงไหม ?
มันสักแต่ว่า...
ความรู้สึกวูบหนึ่ง แล้วมันก็หายไป
เกิดแล้ว ก็...ดับไป

ตัวรัก ตัวเกลียด ตัวชังจริง ๆ ก็เหมือนกัน
อารมณ์ เกิดขึ้นวูบหนึ่ง...แล้วมันก็หายไป
มันหลอกลวงเรา อยู่...อย่างนี้ เรื่อย ๆไป
เอาแน่ตรงไหนไม่ได้...ไม่มี

สมดังคำ ที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่า...
นอกจากทุกข์นี้ เกิด
นอกจากทุกข์นี้ ตั้งอยู่
นอกจากทุกข์นี้ ดับไปแล้ว
ไม่มีอะไร...มีแต่เท่านี้
ไม่มี อะไรอื่นนอกจากนี้ มัน มีเท่านี้ ๆ

ถ้าเราหลง...
วิ่งตะครุบมันเรื่อย ๆ ก็ไม่พบความจริง
มันเปลี่ยน...เปลี่ยน...เปลี่ยน...
มันก็เป็นของมัน อยู่...อย่างนั้น
ถ้าพิจารณาแล้ว...ไม่ควรไปวิ่งตะครุบมัน
ถ้าเราเห็นโทษจริง ๆแล้ว
เราจึงจะถอนตัว ออกมาได้
ถ้าไม่เห็นโทษจริง ๆแล้ว
เราจะถอนตัวออกมา ไม่ได้

ไม่ติด ในความรัก
ไม่ติด ในความชัง
ไม่ติด ในความสุข
ไม่ติด ในความทุกข์ เท่านั้น
ก็เรียกว่า...
เราเดินตามกระแสธรรมของสมณะ เป็นสัมมาปฏิบัติถูกทาง แห่งการ...พ้นทุกข์."
--------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.







#คนมีศิลมีธรรม
ไปที่ไหนก็มีสิ่งคอยรองรับ ถึงมีกรรมอยู่แต่ผลบุญก็จะตามช่วย บุญนี้มองไม่เห็นหรอก พอจวนเจียนจะตกทุกข์ได้ยากจริงๆ
#บุญกุศลก็จะเข้ามาคุ้มคริงทันที

หลวงปู่อินทร์ถวาย สันตุสสโก






"...ชีวิตนี้ประกอบด้วยบุญและบาป คือการลงทุน
เมื่อลงทุนแล้วจะต้องมีขาดทุนและมีกำไร
เมื่อใจเป็นศีลเป็นธรรม ใจก็จะละเอียด
ขึ้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่นิ่งดูดาย
แต่แสดงออกถึงความมีน้ำใจ

ธรรมของใจ อาศัยธรรมครองใจ
อาศัยที่จิตใจมีศีลมีธรรม ธรรมจึงทรงเหตุทรงผล
ธรรมจึงทรงไว้ซึ่งความหลุดพ้นของจิตใจ
ใจที่ละเอียดแล้วเป็นฐิติภูตัง ฐิติธรรมก็ปรากฏในใจ
ความละเอียดของศีลของธรรม..."

#ที่มา หนังสือ คำสอนหลวงพ่อถาวร หน้า ๖๗
พระเทพวิมลญาณ (หลวงพ่อถาวร จิตฺตถาวโร)
วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร







เรื่องที่ ๕๘ ตั้งใจถวายดอกบวบขมตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

“..พูดถึงอานิสงส์การถวายดอกไม้บูชาด้วยศรัทธาแท้ ดังตัวอย่างท่านหนึ่งคือ ท่านสาตกีเทพธิดา “สาตกี” แปลว่า “ดอกบวบขม” เทพธิดาองค์นี้ทำบุญด้วยดอกบวบขม ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านเจริญพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ท่านใช้กำลังฤทธิ์ของท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ไปเห็นวิมานของท่านสาตกีเทพธิดาเข้าก็แปลกใจเพราะ เมื่อคืนที่แล้วไม่มีวิมานนี้ จึงเข้าไปใกล้ถามท่านเจ้าของวิมานว่า “เธอเพิ่งตายจากความเป็นคนขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรือ” ท่านก็ตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าค่ะ” และท่านพระโมคคัลลาน์ก็ถามต่อไปว่า “เธอทำบุญอะไรจึงมีวิมานทองคำ เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกาย มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด” ท่านก็ตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์เป็นคนยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวเสร็จก็เข้าป่าไปตัดฟืนด้วยกำลังกายก็ไม่ได้มากนัก ตอนเย็นหอบฟืนกลับมาเอาไปขาย ได้เงินบ้างก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าทำมื้อกินมื้อ ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดมาเป็นปกติ ไม่มีโอกาสที่จะไปทำบุญ ไม่เคยทำบุญสุนทาน พระจะมาบิณฑบาตหรือมาบอกบุญบอกทานก็ไม่มีโอกาสได้พบ ไม่ใช่ไม่ศรัทธาแต่ไม่มีเวลาจะทำบุญเพราะความยากจน

วันสุดท้ายก่อนที่จะตาย ตอนเช้าเข้าป่าจะไปตัดฟืนตามปกติ เห็นดอกบวบขมเข้าก็คิดว่า ดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกถึงพระขึ้นมาตั้งใจว่าตอนเย็นกลับบ้านวันนี้จะตัดดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ใกล้ๆ บ้าน อย่างนี้จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน

พอตกเย็นขากลับบ้านแบกฟืนออกมาพอถึงที่ตรงนั้นก็วางฟืนลง ไปตัดดอกบวบขม มือหนึ่งแบกฟืน อีกมือหนึ่งถือดอกบวบขม เมื่อขายฟืนเสร็จพอกลับถึงบ้านก็หุงข้าวกิน แล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำดอกบวบขมตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุกระดูกพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นปลากดว่านางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดล้มลงถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะตาย จิตใจก็นึกถึงว่าเราตั้งใจจะเอาดอกบวบขมไปถวายบูชากระดูกพระอรหันต์ (จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน) พอตายจากที่ตรงนั้นจิตก็ออกจากร่างมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช มีนางฟ้าหนึ่งพัน เป็นบริวาร มีวิมานสีเหลือง เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกายที่เป็นทิพย์ มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด เพราะก่อนจะตายปรารภสีเหลือง คือดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขจริงๆ เมื่อตายแล้ว ก็ให้ท่านยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีการรักษาศีล และมีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริงๆ ยอมรับนับถือจริงๆ อย่างนี้ตายเมื่อไร ทุกท่านก็ได้รับผลมีความสุขอย่างท่านสาตกีเทพธิดาแน่นอน ถึงแม้ว่าบางคนตอนต้นจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่ถ้าเวลาจะตายมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปพระนิพพานตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช..”

โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
หน้า ๑๕๔-๑๕๕






“#ทางของบุคคลผู้เดียว”

ความจริงในพระพุทธศาสนานี่ก็สอนให้เข้ามาหาตัวอย่างเดียว ตัดภายนอกออกไปให้หมดเหลือแต่กาย

" เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา "
ทางของบุคคลผู้เดียว
เป็นทางสายเดียว เป็นทางเอก
เป็นทางหมดทุกข์
เป็นทางเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เราคนเดียวนี่เราไม่มีใครในโลกนี้
ถ้าเราบอกว่า มีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง มีผัวมีเมีย มีลูกมีหลาน มันจริงตามสมมุติ

แต่เนื้อแท้จริง ๆ เราคนเดียว เราหิวหิวคนเดียว ไม่มีใครเขามาหิวด้วย
บางทีเราหิวเกือบตายชาวบ้านเขายังไม่หิว เขานั่งคุยหัวเราะกัน เราไปไม่ไหวแล้วหิวจัด
นี่แสดงว่าโลกนี้มีเราคนเดียว

ป่วยก็ป่วยคนเดียว พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้อง ข้าทาสหญิงชาย เพื่อนฝูงมาเยี่ยมกันเป็นกลุ่ม เขาไม่ยอมป่วยกับเราด้วย
นี่เราเป็นผู้เดียวป่วยเราก็ป่วยคนเดียว

เวลาตายเราก็ตายคนเดียว คนที่เรารักหรือหวงแหนถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ไม่ยอมมาป่วยด้วย
ถ้าเราทำความชั่วเราก็ตกนรกคนเดียว
ทำความดีไปสวรรค์ไปพรหมโลก ไปนิพพานคนเดียว

พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2562),464,34-35






..บางคนให้ทานได้อย่างเดียว แต่เป็นทานขั้นสูง ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ให้ด้วยจิตว่าง โดยไม่หวังอะไรตอบแทน บางคนเจริญสติภาวนาได้ในขั้นต้น ทำทานไม่เป็น รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง คนมีหลายจำพวกหลายจริต เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่เรารู้ว่าเราเป็นเรา..
..เราเป็นเราในที่นี้ คือ เราอยากมีความสงบสุข ความสงบสุขสบายใจ ก็ไม่ได้เกิดที่ไหนได้เลยนอกจากที่ใจ จะทำให้ใจมันเย็นได้ ก็ต้องรู้จักปล่อยวาง ละ รู้จักให้อภัยกัน อย่างเช่น เมื่อถูกยุงกัด แทนที่จะตบมัน เพราะโกรธที่มาทำให้เราเจ็บ คนที่ให้ทานเป็นก็น้อมนำว่ายุงมันหิว ให้มันกินเลือดนิดเดียว ยอมทนเจ็บอภัยให้มัน คือรู้จักให้อภัยทานแบบคนทำทานเป็น คนที่รักษาศีลเป็น เค้าก็จะรู้ว่าถ้าตบมันเป็นปาณาติปาต เค้าก็จะไม่ทำ คนที่เจริญสติเป็นอาจจะให้อภัยได้ โดยการน้อมนำว่าเรามีจิตที่เจริญแล้ว ย่อมมีความยับยั้ง มีความเมตตาต่อสัตว์ ที่ไม่มีโอกาสได้เจริญสติ อภัยทานให้
..เหล่านี้เป็นการชำระความโกรธ ด้วยธรรมข้ออภัยทาน เมื่อเห็นคนที่ให้ทานไม่เป็น เช่น วิทยาทาน ไม่ยอมสอนการบ้านเพื่อน ทั้งๆที่ไม่ได้เสียอะไรเลย คนที่ทำทานเป็นก็ควรมีอภัยทาน ให้อภัยเค้า เพราะถ้าเค้ารู้จักให้ทาน เค้าคงไม่ทำแบบนี้ เราก็สอนซะเองเลย
..เมื่อคนที่ทำทานเป็นพูดเรื่องศีล แต่พูดถูกๆผิดๆ เพราะเขาเพิ่งจะหัดรักษาศีล คนที่รักษาเป็นแล้วย่อมมีความเมตตาว่า เราจะไม่โต้ตอบด้วยคำพูดที่ส่อเสียด เพราะเราเป็นผู้ที่รักษาศีลเป็นแล้ว ย่อมให้อภัยแก่ผู้ที่รักษาศีลไม่เป็น จะช่วยเมตตาแนะนำตามภูมิของเรา
..คนที่เจริญสติเป็นแล้ว เห็นความไม่พอใจเกิดได้แล้ว สามารถระงับความไม่พอใจที่เกิดขึ้น หากมีผู้ใดแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ ให้ความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะระงับใจว่าเพราะเขาไม่มีสติ เจริญสติไม่เป็น ไม่สามารถยับยั้งการพูด การแสดงออก ไม่สามารถดูแลจิตใจตัวเองได้ เราย่อมให้อภัยทานแก่ผู้ที่ปฏิบัติได้น้อยกว่าด้วยความเมตตา ผู้มีสติปัญญามากกว่า ย่อมหาความสงบสุขให้แก่ใจ ด้วยอภัยทาน
..ดังนั้นผู้ที่มีปัญญาแล้ว ย่อมอย่าให้ความโกรธ อย่าให้กิเลสควบคุมจิตใจ หากมีการพลั้งเผลอ เราก็ให้อภัยตัวเอง ยกโทษให้ตัวเอง เอาความผิดครั้งนี้ไปปรับปรุง ด้วยว่ากำลังสติยังน้อย ไม่ต่อเนื่อง รู้จักดูแลไม่ให้จิตเจือด้วยความทุกข์ ด้วยกิเลส โดยอภัยทาน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO