นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 3:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีสติประคับประคอง
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 23 ส.ค. 2022 5:30 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
สตินี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้วจิตมันจึงจะล่วง
เพราะสติคุ้มครองจิต ตัวสติก็คือจิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนขั้นจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลง พบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ

ครั้นมีสติคุ้มครองหัดไปจนแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำ ให้มันสำเหนียกแล้ว มันจะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง สติแก่กล้าจิตย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้ก็สงบลงครั้นสงบลงแล้วมันก็รู้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมา เพราะมันไปหลายทาง จิตไปหลายทางเพราะเป็นอาการของมัน

เมื่อผู้วางภาระ คือว่าง ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้เป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ยึดถือแล้วปลงเป็นผู้วางภาระก็มีความสุข จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข ไม่ยึดถือ เพราะรู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย






“จงคิดอยู่เสมอว่าเรามีเวลา
เหลืออยู่แค่วันนี้ หรือชั่วโมงนี้
จะได้รีบกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
มิใช่มานั่งโกรธ นั่งเกลียด นั่งคิดริษยากัน
เสียเวลาโดยเปล่าประโยขน์”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม






"ต้นเหตุของความทุกข์
ที่บังเกิดขึ้นในชีวิต
ล้วนเกิดจากการตั้ง
ทิฐิไว้บนหนทางที่ผิด
ถ้าเริ่มต้นแก้ไขปัญหา
ด้วยการทำความเห็น
ให้ถูกต้อง โดยยึดมั่น
“ขันติธรรม” คือความ
อดทนอดกลั้นเป็น
พื้นฐาน เป็นเครื่องยับยั้ง
ไม่ให้พูด และไม่ให้ทำ
สิ่งใดๆ อย่างหุนหัน
พลันแล่น ท่านย่อม
สามารถผ่านพ้นปัญหา
และอุปสรรคไปได้เสมอ

ขันติจึงเป็นตบะ
ซึ่งช่วยบรรเทากิเลส
ให้เบาบางลง เป็นการ
เปิดโอกาสให้คุณ
ธรรมอื่นๆ เช่น ความ
จริงใจ ความเมตตา
ความเสียสละ และ
ความสามัคคี สามารถ
งอกงามขึ้น เป็นดั่งพร
ที่ทุกคนพึงหยิบยื่นแบ่ง
ปันให้กัน ในที่ทุกสถาน
และในกาลทุกเมื่อ "

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก







อยากให้ทุกคนมีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ ต่อเพื่อนมนุษย์

“... ครั้งหนึ่งคราวธุดงค์ในป่าลึก ปรากฏว่ามีชาวบ้านขึ้นไปเป็นเด็กวัยรุ่น ขึ้นไปขอดูดวง หลวงพ่อก็ไม่ดูให้ บอกอาตมาเป็นพระธุดงค์ไม่ดูดวงหรอก ขอของดี บอกอาตมาก็ไม่มี อาตมามาธุดงค์จะพกอะไรของดี ของดีก็คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เขาก็โวยวาย วัยรุ่นกลุ่มสิบกว่าคน โวยวายด่าหลวงพ่อนะว่า “ไอ้เหี้ย เดี๋ยวมึงเจอกูคืนนี้ เจอกูแน่คืนนี้!” ว่างั้น แล้วก็เดินจากไป สักพักหนึ่งก็เย็นมากแล้ว เราก็เดินจงกรม เดินจงกรมเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิพอเป็นวิสัย ว่าเออเดี๋ยวซักพักวันนี้อ่อนเพลียเดินทางมาไกล ว่าคืนนี้ไม่เอาดึกภาวนาเนี่ย ก็ปรากฏว่าประมาณสองทุ่มกว่าๆ ล่ะ ก็พอจะดึก ดึกอยู่พอสมควรนะ ... ได้ยินเสียงว่า “ไอ้เหี้ย มึงแน่นักเหรอ มึงแน่นักเหรอน่ะ” ชี้หน้าด่าเรา เรามองไม่เห็นเขาเห็นแต่เงาตะคุ่มๆ “อย่างนี้มึงก็ตายในป่านี้แหละ” ว่างั้น ถึงปั๊ปก็ได้ยินเสียง ตุ๊บๆ ตั๊บๆ ตุ๊บๆ ตั๊บๆ เราก็ไม่ทราบว่าอะไรหรอก เราก็ไม่ลืมตาดู ภาวนาอย่างเดียว อีกคนหนี่งก็บอก “เฮ้ยพอแล้วๆ มันตายแล้ว ดูดิเลือดเต็มไปหมดเลย กลดพังหมดแล้ว” เราก็ ฮึ! ทำไมตาย ทำไมกูไม่รู้สึกเจ็บตัวซักหน่อยเลยวะ เอ้อตายแบบนี้ดีเว้ย ถ้าตายแบบนี้ก็ดีว่างั้น ก็นั่งภาวนาไปเรื่อย พุทโธๆๆๆ ซักพักมันก็รีบหนีกันไป คราวนี้ไปเสร็จ นั่งตั้งนานซักพัก ไม่เห็นมีใครมาสะกิดกูวะ ท่านๆ มานั่งทำไม? ไปอยู่เทวดาชั้นนั้นเถอะ ไปเป็นพรหมชั้นนู้นก็ว่านะ ไม่มีมาสะกิด มันก็ยังมีเสียงจั๊กจั่นเรไรนะ ยังได้ยินเสียงอยู่ เสียงนกเค้าแมวกลางคืนก็ได้ยินอยู่ เอ้ เหมือนอยู่ที่เดิมเว้ย หรือว่าจะเป็นสัมภเวสีไม่ไปผุดไปเกิดซะมั้งเรานี่ ก็กำหนดจิตเราว่า เราก็ไม่ได้ห่วงอะไรนะ แล้วเราก็ไม่ได้กลัวตาย จิตก็สงบอยู่ในสมาธิ พุทโธอยู่ตลอด มันจะเป็นสัมภเวสีไปไม่ได้นะ เราว่างั้น ...

ก็ลืมตาขึ้นมา พอลืมตาขึ้นมาแล้วมันตกใจเจ้าของ เข้าใจไหม? ... เอาไฟฉายส่องแล้ว หินน่ะเป็นหินก้อนใหญ่ๆ เล็กๆ สลับกันไป เรียงเป็นกำแพงอยู่ข้างหน้าหลวงพ่อนะ แล้วไม้เนี่ยเป็นดุ้นๆๆ วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ข้างหน้าของเรา แล้วมันว่าเราตายยังไงวะ เราว่า ... กลดกูก็ยังอยู่ครบสมบูรณ์หมดเลย มุ้งก็ยังอยู่ เลือดซักหยดนึงก็ไม่ออก เลยเดินออกไปนอกกลดแล้วไปยืนดู เอามือไขว้หลังดูนะ ไอ้ห่านี่มันเรียงเป็นกำแพงเลยเนี่ย นี่ถ้าเอามาเรียงเป็นกำแพงที่วัด โห อัศจรรย์สวยมากเลย นี่อัศจรรย์อันหนึ่ง เพราะจิตหลวงพ่อไม่มีคิดว่าจะทำร้ายใครหรือไม่มีความคิดว่า จะเอารัดเอาเปรียบใคร มีความคิดอย่างเดียว “อยากให้สรรพสัตว์พ้นภัย”

เวลาหลวงพ่อไปโรงพยาบาลก็เหมือนกัน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์(รังสิต) พอเข้าโรงพยาบาล หมอทรายมาบอก โห คนเต็มไปหมดหลวงพ่อ ห้องฉุกเฉินนะ โหต้องแหวกหัวคนป่วยเข้าไปทำงานนะ ว่ามันเยอะซ้อนเตียงกัน แต่พอหลวงพ่อมาแล้วเตียงหายหมดเลย คนป่วยกลับบ้านหมด ห้อง ICU ก็รอดตาย ไอ้คนที่ร่อแร่ก็ปกติกลับบ้านได้ หมอกับพยาบาลว่างงานเลยตอนหลวงพ่อไปโรงพยาบาล นี่สองเที่ยวแล้ว หมอทรายก็บอกว่านี่จับสถิติได้เลยว่า แปลกที่สุด ว่างั้น ... คราวนี้เราก็ได้ความมาอันหนึ่งว่าเราแผ่เมตตาตลอด ใจของเราคิดว่า ขอบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ป่วยไม่สบายใกล้จะตายของให้รอด ข้าพเจ้าขอทอนอายุขัยให้หมด ไม่ขอเอาอายุกลับวัด คนที่ป่วยไข้ไม่สบายอาการเป็นโรคตรวจไม่พบ โรคจงมาหาข้าพเจ้านี่ ขอให้หาโรคเจอ และให้หมอรักษาหาย ขอให้รอดปลอดภัย คนป่วยน้อยขอให้หายเลยไม่ต้องกินยา ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องหาหมอ กลับบ้านโลด ... ไอ้คนเป็นหนักขอให้อาการเบาทุเลาถึงขนาดหาย โรคทั้งหลายมาอยู่ที่ข้าพเจ้านี่ ข้าพเจ้าจะเป็นให้เอง ... คนขาหัก ให้ข้าพเจ้าขาหัก ให้เขาขาดี คนแขนหัก ให้ข้าพเจ้าแขนหัก ให้เขาแขนดี เราก็แผ่ไปให้หมดอย่างนี้ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ใจ แม้อายุขัยก็ให้ หัวใจก็จะควักให้เขา ไม่สนใจว่าคนนั้นจะเป็นคนดีคนชั่วก็ตาม เราเป็นพระ เราเป็นกลาง เรามีความเมตตาต่อสรรพสัตว์เพราะมีความสงสาร แผ่ออกไปอย่างนี้หมด ... ฉะนั้นจิตใจของหลวงพ่อนี้ก็มีแต่ความเมตตา ถ้าว่าเลือดก็แดงแป๊ดล่ะ ว่างั้นเถอะ ฉะนั้นก็จะพึงได้อานิสงส์นี้เช่นกัน ...

ที่หลวงพ่อพูดนี้พูดเป็นตัวอย่าง ก็อยากให้ลูกหลานได้มีจิตเมตตาต่อสัตว์ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยจะได้มีอานิสงส์ และก็จะไม่ตายด้วยศาสตราอาวุธ ไม่ตายด้วยยาพิษ ไม่ตายด้วยไฟเผาครอกเราตาย ยาพิษกรอกปากก็เข้าคอไม่ได้ ในประวัติว่าไว้นะ เมตตาพรหมวิหารเนี่ย แล้วตายไปแล้วถ้ายังไม่ถึงอริยบุคคลชั้นใดก็จะไปเกิดที่พรหมโลก ถ้าตายจะมีสติ ไม่ตายแบบฟั่นเฟือน สั่งเสียได้ ตายสงบ ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนาเรื่อง นำความเมตตา รักษาใจ รักษาโลก
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน







ท่านให้อุบายว่า
อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา
อันนี้ไม่ใช่ของเรา
แต่เราฟังไม่ได้
ไม่อยากฟัง

เพราะเราเข้าใจว่า
นี่เป็นตัวเรา เป็นของเรา
นี่แหละเป็นเหตุ
ให้ทุกข์เกิดตรงนี้

โอวาทธรรม ..
หลวงปู่ชา สุภัทโท







"...ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ
ให้พระภิกษุแสวงหาที่วิเวกอยู่ตามป่าตามร่มไม้
ตามเรือนว่างเปล่าและถ้ำเงื้อมหิน ให้เธอพึงซ่อนเร้น
อยู่ในที่สงบสงัดปราศจากความคลุกคลี เว้นจาก
ธรรมารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ให้แสวงหาความวิเวกอยู่ตามที่สงัดต่างๆ ทำความ
เพียรเหมือนโคที่ไม่มีหนังหุ้มห่อร่างของมัน มันจะ
กลัวอันตรายมากมาย เช่น กา กิ่งไม้ แมลงวัน เป็นต้น
จะมาจิกหรือทิ่มแทงเนื้อมัน มันจึงเอาตัวของมันไป
หลบซ่อนอยู่ตามเงื้อมผา เป็นต้น เวลามันออกหากิน
ก็จะออกหากินในที่ลับๆ กะว่าจะไม่มีอันตรายจนกว่า
หนังของมันจะงอกหายเป็นปกติจึงจะหากินในที่แจ้ง
ได้อย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างไรมันก็หากินด้วยความ
ระมัดระวัง แม้ฉันใดภิกษุในธรรมวินัยนี้ ให้พวกเธอ
พึงถือเอาเหมือนโครักษาหนังอย่าประมาท ความประ
มาทเป็นช่องทางของความไหลมาแห่งความฉิบหาย
ฉะนั้น ท่านจึงว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
ความไม่ประมาทเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความเจริญ
จงเป็นผู้มีสติประคับประคองตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ
กลัวกาหรืออีแร้ง คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
จะรุมจิกกิน ประคับประคองตนปรารภความเพียรอย่า
ประมาท ย่อมจะถึงที่สุดยอดของพระธรรมวินัย
คือพระนิพพานได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า
จึงแนะนำให้ภิกษุเอาเยี่ยงอย่างโคผู้สงวนหนังดัง
กล่าว..."

#ที่มา หนังสืออัตตโนประวัติ และพระธรรมเทศนา
หน้า ๑๗๘ : พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ






พอใจในสิ่งที่เรามี
ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว

นี่คือ..เคล็ดลับ
สู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น
ด้วยเหตุนี้ 'สันโดษ' จึงเป็นสิ่งที่
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต

#พระไพศาล วิสาโล






“อันดับแรก…กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกต่อหน้าพระพุทธรูป ก่อนที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ตั้งใจเอาตามองพระพุทธรูปก่อน ตามองท่านนึกถึงท่านด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ แล้วก็ตั้งจิตอธิฐานว่าขึ้นชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้จะไม่มีแก่ข้าพระพุทธเจ้าอีก จะไม่เกิดอีก แล้วก็จะไม่ขอตายอีก #จะตายเป็นครั้งสุดท้าย #เมื่อตายแล้วขอไปนิพพาน”

พิมพ์จากหนังสือธัมมวิโมกข์ปีที่ ๓๓ ฉบับที่ ๓๖๙ เดือนธันวาคม ๒๕๕๔ หน้าที่ ๓๙
คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี






#นั่งโสสุด

“...ยิ่งป่วยยิ่งภาวนาหนักนะเรา ยิ่งภาวนาดี ทางโลกบอกว่าการไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ แต่หลวงปู่กลับคนละความคิด หลวงปู่กลับไม่คิดเหมือนทางโลกเขา การมีโรคคือลาภอันประเสริฐของพระผู้หวังมรรคหวังผล ไม่อยากอยู่ อยากตายไว ๆ แต่ไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายนะ...ไม่มีในความรู้สึก จะตายในภาคปฏิบัติ เวลาที่เรานั่งเราจึงนั่งให้มันตายไปเลยที่กุฎิหลังนั้นอยู่ที่บ้านโนนตุ่นที่พาลูกเข้าไปดู เดินใกล้ได้ที่ไหนกุฎิหลังนั้น น้ำตาร่วง น้ำตาร่วง เขาคงรื้อแล้วมั้ง โฮ...ไม่ใช่ธรรมดา นี่สละเป็นสละตายนั่งให้มันตายไป ที่ว่าเวลาที่มันปวดสุดปวดแล้วมันก็ชา จะรู้ได้ไง..นั่งมองดูนี่นะ ตอนแรกก็หลับตามันปวดสุดนี่ ปวดสุดมองลืมตาดู โอ้...ตัวมันสั่นเหมือนกับเราเอากบเอาเขียดแร่เนื้อแล้วก็เกลือทา มันชักกระตุกหมดนะ แต่ว่าใจนี่สิมันเลิศมันประเสริฐมันไม่ยอมก็อยากตายนี่ ตายในภาคปฏิบัติ ก็เอาสิ...ว่างั้น เวลาที่มันปวดสุด มันก็มาร้อน มันร้อนก่อนร้อนเหมือนกับนั่งอยู่บนถ่านเพลิงนี่แหละ ร้อนทุกอณูทุกปรมาณูเหมือนกับปลายเข็มที่ยาวแหลมคมเสียบทะลุถึงหัวใจ โฮ้...พูดถึงภาคปฏิบัติไง

พูดถึงว่าไม่สบายเราอยากตายเราเป็นอย่างงั้น โฮ...มันสุดนะ อันนี้เวลามันปวดสุด มันร้อนสุด ทรมานสุด มันก็เลยชา เพราะมันถึงที่สุดของมัน ร้อนหายปวดทรมานหาย ตัวชาเท่ากับโอ่งใหญ่ โอ่งแดงนี่แหละ เริ่มชาตอนแรกมันไม่ค่อยโตเท่าไหร่นะมันก็เท่าโอ่งมังกรนี่แหละ แต่มันชาหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ มันหนักขึ้น หนักขึ้น หนักขึ้น เท่ากับโอ่งแดงอย่างงี้แหละมันก็เต็มกุฎิสิ มันก็เหมือนขึ้นอืด ดูมันอยู่ ใหญ่ขึ้น ๆ ๆ ๆ มันชนกุฎิ ทั้งซ้ายทั้งขวาข้างบนข้างล่างคล้าย ๆ กับอะไรล่ะ คล้าย ๆ กับขึ้นอืดแล้วอยู่ในโลง โลงจะแตกลูกเข้าใจหรือยัง เนี่ยเดี๋ยวนี้มันก็แน่นกุฎิ แต่ไม่มีความรู้สึกว่าแน่นภายในนะ แต่รู้ว่ามันแน่น เพราะมองดูอยู่ไม่ได้หลับตา เพราะคิดว่าเราจะตายแบบมีสติไง และน้อมจิตเข้าสู่เทวโลก ต้องการที่จะเกิดที่นั่นไม่กลับมาในโลกมนุษย์ถ้ากิเลสยังไม่สิ้น ขนาดนั้นนะ

เวลาที่มันแน่นกุฎิ ลองคิดดูว่าเอาคนยัดในโอ่งหรือในห้องเล็ก ๆ แล้วมันก็ขึ้นอืดโตแบบคับ มันก็เลยแตก ร่างกายมันแตก เหมือนกับดินที่มันระแหง เสียงฮู้...ไม่ธรรมดานะดังจุดนั้นบ้างจุดนี้บ้างมองดูอยู่มันก็แตกเป็นทางเหมือนกับน้อยหน่านี่แหละ (หัวเราะ) เต็มที่ของมัน ยัดเต็มที่มันก็ค่อยพองขึ้น ๆ เหมือนลูกโป่งนี่แหละ เราก็เลยระลึกถึงอึ่งอ่างกับโคนั่นนะ นั่นแหละแบบเดี่ยวกันนั่นแหล่ะ มันพองอย่างงั้นแหละ เวลามันถึงที่สุดของมัน มันไม่มีความปวดนะรู้แต่ว่ามันชาไปหมดแล้วก็ตัวโตขึ้น ๆ ก็มองอยู่ไม่ได้หลับตานะ เพราะสละตายแล้วจะตายแบบมีสติเต็มที่กลัวว่าสติจะจางขาดหายไปเมื่อร่างกายแตกสลายเมื่อลมหายใจสุดท้าย โฮ...เวลามันระเบิดลองคิดดูนะกุฎิทั้งหลังระเบิดนะเพราะร่างระเบิดตูมเลย เหมือนกับหลังคา เหมือนกับฝาผนัง เหมือนกับพื้นปู เหมือนกับชิ้นส่วนพวกขื่อ กระเด็นกระดอน โฮ้...เหมือนกับระเบิดใหญ่ ตูม...แต่สตินี่ไม่ขาดไปนะ...จ้อง พอจ้องร่างระเบิด...ตูม จ้องลมเลยนะ

นั่นแหละร่างไม่มีแล้ว เมื่อร่างไม่มีมันเหลือแค่ลมที่ใส ไม่ใช่สีขาวนะ ใสแบบ...พูดยาก เป็นสองข้างเลยลมในรูจมูกแต่ไม่มีจมูกนะพูดถึงลมนี่อยู่สองเส้นที่ใสนะไม่ได้ขาว ใสสะอาดนะ ทว่าน้ำนี่ที่ว่าใสไม่ได้ใสเท่า วี๊ดเข้าวี๊ดออก ๒, ๓ ครั้งแล้วก็ดับพรึบพร้อมกัน...เงียบ เหมือนตายแล้ว นี่คือการโสสุดจริงของเรา โน่นตั้งแต่หกโมงเย็นโน่นเนอะไม่รู้ตัวเวลาเท่าไหร่ เนี่ยช่วงจะบิณบาตรแล้ว (หัวเราะ) ลองขยับนี่มันไม่ตาย แต่ว่าช่วงมันจะถอนนี่รู้นะ ช่วงที่มันจะเอาร่างใหม่ ร่างเรานี่จึงไม่เหมือนหมู่...”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕
#องค์หลวงปู่น้อย_ญาณวโร #วัดป่าห้วยริน







"สิ่งที่เรียกว่า...จิต หรือเจตสิกนี้
พระศาสดามิใช่ให้เรียน เพื่อ...ให้ติด
ท่านให้รู้ว่า...จิต หรือเจตสิก
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้น

มีแต่ท่านให้ปล่อย...
ให้วาง...มัน เมื่อเกิดมาก็รับรู้ไว้ รับทราบไว้
ตัวจิต นี่เอง...
มันถูกอบรมมาแล้ว ถูกให้พลิกออกจาก...ตัวนี้
เกิดเป็นสังขารปรุงไป มันก็เลยมาปรุงแต่ง
เรื่อยไป
ทั้งดี-ทั้งชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดเป็นไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระศาสดาให้ ละ...
แต่ต้องเรียนรู้อย่างนี้เสียก่อน จึงจะละได้

ตัวนี้...
เป็นตัวธรรมชาติ อยู่...อย่างนี้
จิต ก็เป็นอย่างนี้
เจตสิก ก็เป็นอย่างนี้
อย่างมรรคปัญญา อันเห็นชอบ
เห็นชอบแล้ว...
ก็ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ
เลี้ยงชีวิตชอบ เหล่านี้...
เป็นเรื่องของเจตสิกทั้งนั้น ออกจาก...ผู้รู้นั่นเอง

เหมือนกับตะเกียง เป็นตัว...ผู้รู้
ถ้ารู้ชอบ ดำริชอบ อย่างอื่น...ก็ชอบไปด้วย
เหมือนกับแสงสว่างของตะเกียง
มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจาก...ผู้รู้ อันนี้
ถ้าจิตนี้...ไม่มี
ผู้รู้...ก็ไม่มี เช่นกัน
มันคือ อาการของพวกนี้

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้
รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่า...
จิตนี้...
ก็ชื่อว่า...จิต มิใช่ สัตว์ มิใช่ บุคคล มิใช่ ตัว
มิใช่ ตน มิใช่ เรา มิใช่ เขา
ธรรมนี้...
ก็สักว่า...ธรรม มิใช่ ตัวตน เรา เขา

ไม่เป็นอะไร...
ท่านให้เอาที่ไหน เวทนา ก็ดี สัญญา ก็ดี
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้...

ล้วนแต่...
เป็นขันธ์ห้า ท่านให้...วาง..."

-----------------------------------------------------------------------
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO