นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 6:31 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รักษาศีลให้สมบูรณ์
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 12 ส.ค. 2022 9:46 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
แม่...นี่สำคัญมากนะ
อย่าได้ลืมแม่นะ.....

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต





"บวชมาแล้วตั้งใจ พระเจ้าพระสงฆ์เรา อย่าไปวุ่นวายกับสิ่งภายนอกมาก มันไม่ได้ประโยชน์ รักษาใจเจ้าของให้มันได้ เนี่ยตัวสำคัญ เข้าใจมันซี่ มาบวช มาเพื่ออะไร มาบวชมาบำเพ็ญหรือมาเพื่ออะไร ต้องการความสุข ต้องการความพ้นทุกข์ไม่ใช่หรือ ถ้าทำเหมือนโลกเขามันจะเจริญขึ้นไหม ถ้ามอมเมาสิ่งเหล่านั้น ยาก รับรองได้ ต้องเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้ล่ะ กรรมของใครของมัน อย่าคิดว่าจะไม่ได้เกิด อย่าคิด ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอาสาวะนี่แน่นอน กิเลสคือความเศร้าหมองของจิตใจ อวิชชาก็หุ้มไว้หยั่งงั้น มันไม่เปิดให้ อวิชชาก็คือความมืด ละเอียดสุดๆ ก็ไม่รู้จักสุขจักทุกข์จักบุญจักบาป ทำไปทำมาศรัทธาก็หาย ไม่เห็นได้ผลอะไร นี่ประมาท ก็ตาย ตายจากคุณงามความดี ใจไม่ขาดก็ตาย ตายจากคุณงามความดี ความดีที่เจ้าของเคยทำก็ตายไปด้วยเพราะไม่ได้ทำ ให้เข้าใจแบบนี่นะพระเรา"
.
ตอนหนึ่ง จากโอวามหลวงพ่อสมบูรณ์ เมตตาอบรมพระ เรื่องเป้าหมายของการบวช
.






แม่คือผู้สร้างโลก คำว่าแม่นี่ให้มีความหมายว่าเป็นผู้สร้างโลกสร้างสิ่งทั้งปวง มนุษย์นั่น แม่สร้างขึ้นมาโดยทางจิตโดยทางวิญญาณ โดยทางกายนั้นยังไม่พอ มีสร้างทางจิตทางวิญญาณอีก แม่คือผู้สร้างโลกมนุษย์โดยแท้จริง

คำว่าแม่ๆ นี่มันมีความหมายมหาศาลในทางสร้าง ในทางสร้างสรรค์ ในทางก่อสร้าง ในทางให้กำเนิด

อย่างแผ่นดินเนี่ยก็เรียกว่าแม่พระธรณีสมชื่อที่สุดเลย แผ่นดินนี้เป็นแม่ เพราะว่าเกิดอะไรทุกอย่างๆบนแผ่นดิน แผ่นดินจึงอยู่ลักษณะเป็นแม่ เรียกว่าแม่พระธรณี

คนโบราณเขาให้เคารพแผ่นดินในฐานะที่มีบุญคุณสูงสุดเลยที่เรียกว่าแม่พระธรณี ที่รองๆลงไปเช่นแม่พระคงคา

อย่างในบางประเทศถ้าขาดแม่น้ำมันก็ตายหมด มันมีชีวิตรอดอยู่ได้โดยแม่น้ำแต่ละสายๆเหล่านั้นเท่านั้นโดยเฉพาะในประเทศอินเดีย แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนาอะไรก็ตามนี่มันเลยเรียกแม่ ที่เราเรียกแม่มันหมายความอย่างนั้น

อะไรๆที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งอื่นออกมาหรือให้สิ่งอื่นมันอยู่ได้ มันรอดชีวิตอยู่ได้ก็เรียกว่าแม่ทั้งนั้น แม้แต่แม่พระธรณี

ที่เรารู้ความหมายของคำว่าแม่ว่าเป็น #แดนเกิดของทุกสิ่ง แต่ที่สำคัญคือมันสร้างวิญญาณของมนุษย์ แม่ต้องทำหน้าที่อันนี้คือทำหน้าที่สร้างวิญญาณของลูกนั่นแหละ

แล้วทีนี้เมื่อลูกอยู่กับแม่ แม่อยู่กับลูก แม่จะปั้นวิญญาณของลูกเรื่อยๆไปแล้วจะทำอย่างไร ก็ทำให้ดีที่สุด ให้ดีที่สุดที่แม่เขาจะทำได้คืออบรมให้ถูก อบรมให้ถูกอย่าอบรมให้ผิด

ตัวอย่างพ่อแม่บางคนสอนลูกให้ไหว้กันตะพึดไม่ต้องดูอะไร แล้วพ่อแม่บางคู่ก็ไม่ให้ไหว้ใครเลยไม่ให้ลูกไหว้ใครเลยกลัวว่าไอ้ลูกมันจะโง่ ลูกมันจะไปเป็นทาสสติปัญญาของคนอื่น ไม่ให้ไหว้ใคร อย่างนี้เรียกว่ามันผิด

ที่ไม่ไหว้ใครเลยก็ผิด
ที่ไหว้ไปตะพึดมันก็ไม่ถูกนะ
มันต้องสอนให้ลูก
รู้จักเลือกว่าควรจะไหว้ใคร

ตอนแรกๆ มันคงจะขลุกขลักโกลาหลอยู่บ้างกว่าที่ลูกมันจะรู้จักเลือก

แต่ถ้าสอนกันไปอธิบายกันไปไม่เท่าไรลูกมันก็จะมีสติปัญญาและลูกมันจะฉลาดขึ้น ว่าดีเป็นอย่างไร ไม่ดีเป็นอย่างไร ควรไหว้เป็นอย่างไร ไม่ควรไหว้เป็นอย่างไรก็ได้ประโยชน์

ที่สอนให้รู้จักเลือกไหว้...นี่เป็นเรื่องที่แม่จะต้องรู้จักระมัดระวังให้ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนาเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาคือถูกต้องอยู่ที่ตรงกลาง

ลูกจะรู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นการศึกษาอยู่เมื่อเขาคิดว่าเขาจะเลือกไหว้ใคร เมื่อเขาเลือกไหว้ใครอยู่นั่นแหละเขาจะฉลาด จะรู้เรื่องดีเรื่องชั่วเรื่องผิดเรื่องถูกมากขึ้นๆตามลำดับ ให้รู้จักเลือกอย่างอิสระเลย ให้แม่สอนลูกให้รู้จักเลือกอย่างอิสระ

#เปิดเผยให้ลูกได้รู้ถึงสิ่งที่ไม่รู้ หรือว่าถูกหลอกกันมาตลอดเวลา

อาตมาคิดว่าแม่พาลูกไปที่ร้านขายสิ่งของ ไปที่ร้านขายอาหารที่เขาเล่าลือกันว่าเอร็ดอร่อยนัก ไปที่ร้านขายของเล่นที่ว่าดีวิเศษแพงนัก แล้วก็ไปบอกลูกว่า ทั้งหมดนี้นะเขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่!

ของกินอร่อยๆ ของแต่งตัวสวยๆ ของเล่นแปลกๆแพงๆ พาลูกไปที่ร้านชนิดนั้นแล้วก็บอกลูกว่าดูสิทั้งหมดนี้ทุกชิ้นเลยเขามีไว้สำหรับให้เรา "โง่" หลงซื้อกันอย่างหลับหูหลับตา

แม่ว่าแกชอบชิ้นไหนแม่จะซื้อให้แพงแค่ไหนแม่จะซื้อให้ นี่ทำให้โง่ทั้งแม่ทั้งลูก

แล้วก็บอกให้ลูกว่าสิ่งเหล่านี้ดูให้ดี ให้ลูกคิดดูให้ดีว่ามันจริงมั้ยที่ว่ามีไว้ทำให้เราโง่

นี่ก็คือเป็นการตั้งต้นโง่ในการตั้งต้น #ตามใจลูก ให้เลือกเอาตามที่ลูกจะเอาแล้วแม่จะจ่ายเงินทั้งนั้น มันไม่สร้างสติปัญญาอะไรเสียเลย

มันควรจะสอน
ให้รู้จักอะไรเป็นอะไร
แล้วก็เลือกให้มันถูก
ใช้ให้มันถูก
มีให้มันถูก

เรียกว่าเป็นการอบรมลูกให้รู้จักเลือกให้รู้จักตัดสินใจ อะไรควรมี อะไรควรกิน อะไรควรใช้ อะไรควรอย่างไร จะบูชาอะไร

ลูกโตพอสมควรแล้วสอนให้รู้ว่า

อย่าไปหลงเรื่องกิน
ต้องกินให้ถูกต้อง
อย่าไปหลงเรื่องกาม
ต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างถูกต้อง
อย่าไปหลงเรื่องเกียรติ

#กิน #กาม #เกียรติ
กิน กาม เกียรติ
สามคำนี้แล้วต้องเป็นเรื่องที่ไม่หลง จะต้องเป็นเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องให้พอดี
กับเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ

เดี๋ยวนี้เด็กยุวชนวัยรุ่นหนุ่มสาวอะไรของเรานี่กำลังทำผิดกับเรื่องกับเหล่านี้มากเกินไปจนวินาศหรือว่าจน #เจ็บพ่ายทางจิตทางวิญญาณ เจ็บพ่ายทางร่างกายก็มีเพราะทำผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้าเก่งกว่านั้นก็สอนลูกให้รู้เรื่องว่าเรื่อง #ตัวกูของกู ให้ระวังให้ดีมันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด

อะไรๆอย่าให้เป็นตัวกูของกูไปเสียทั้งหมด

ให้มันรู้จักวินิจฉัยว่า
อะไรถูกอะไรผิด
อะไรดีอะไรชั่ว
อะไรบุญอะไรบาป
อะไรควรอะไรไม่ควร
อย่าเอาแต่ความรู้สึก
ตัวกูของกูไปเสียหมด

นี่เค้าก็จะทำถูก จะทำถูกต้อง และที่สุดก็ให้ลูกนี่มันรู้จักอดกลั้นอดทนเพื่อประโยชน์แก่แม่ อย่าให้เบียดเบียนแม่โดยไม่รู้สึกตัวมันเหมือนกับที่เป็นกันอยู่โดยมาก

เด็กๆสมัยนี้ เขาจะเรียน เขาจะได้ เขาจะดี เขาจะเด่นของเขา พ่อแม่จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ให้พ่อแม่ขายนาหรือจำนำจำนองนาเอาเงินมาให้ลูกถลุง น้อยนักที่มันจะเรียนจริงถึงขนาดนี้ มันเอาไปถลุงให้พ่อแม่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ทั้งนั้น เขาจะต้องรู้จักประพฤติกระทำให้สมกับที่ว่าพ่อแม่ได้รับความเจ็บปวดเมื่อคลอดเขามานั้นอย่างไร

ในที่สุดก็สรุปความได้ว่า ลูกคนนี้มันรู้ว่ามัน #เกิดมาทำไม พ่อแม่คืออะไร ลูกคืออะไร จะต้องประพฤติต่อกันและกันอย่างไร แล้วในที่สุดถูกหมดทั้งฝ่ายลูกและทั้งฝ่ายแม่ มนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์มีความดีมีความเจริญมีความสุข

#แม่หรือพ่อก็ตามต้องส่งเสริมลูกให้ถูกทาง

ให้เขายึดหลักถูกต้อง (สัมมา)
ให้เขาเสียสละทำการทำงานที่มันเป็นประโยชน์
ให้เขารักดี
ให้เขาสนุกในการทำงาน
ให้เขาปรานีผู้อื่น
ให้เขาสังคมกับผู้อื่นชนิดที่เรียกว่าเป็นที่น่าชื่นใจ

พุทธทาสภิกขุ
#90ปีสวนโมกขพลาราม #สงบเย็นและเป็นประโยชน์







#เรื่องอานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ

ปล่อยปลา ปล่อยนก ปล่อยสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย จะปล่อยสัตว์อะไรก็ตาม เราปล่อยให้เขามีอิสระ

ทีนี้เขาใกล้จะฆ่ามัน อย่างนี้อยู่ในตลาดเราไปเห็นเราซื้อไป แล้วก็ไปปล่อยให้เขามีอิสระ

อานิสงส์ที่จะได้เกิดชาติหน้าจะเป็นผู้มีอายุยืน อายุยืนยาวนาน

บางทีชาตินี้น่าจะตายแล้ว อีกสิบปีจะตายแล้วเลยได้อีกสามสิบ สามสิบปีอยู่เพิ่นว่า มันต่อให้เราเพราะให้ความสุขเขา

เขาจะฆ่าเลยวันนี้ เราก็ไม่ให้เขาฆ่า เราซื้อไปไปปล่อย เขาเลยมีชีวิตยาวไปอีก เขาก็เลยว่าเรามีอายุยืน เพราะคนนี้ล่ะเขาก็เลยมา เป็นบุญที่จะช่วย ท่านว่าเป็นการรักษาศีลตัวปาณา เป็นผู้มีอายุยืน

บัดนี้เราจะอุทิศให้คนอื่น ช่วยคนอื่นซะ ลองบ้าง ว่าโอ๊ย คนนี้จะตายแล้ว ซื้อปลาซื้อนกซื้ออะไรไปปล่อยแล้ว ขออุทิศส่วนกุศลไปต่ออายุคนนั้นให้ด้วย

ให้คนนั้นฟื้นขึ้นมา ให้คนนั้นได้มีอายุต่อไป ได้ทำความดี อย่างนั้นก็ได้ไม่เป็นอะไร

บางทีพอมันรู้จัก เจ้ากรรมนายเวรมันรู้จัก ปล่อยปลา อย่างนี้ ปล่อยนกอย่างนี่มันรู้จัก มีความสุข มันก็อาจส่งความสุขมาหาเราก่อน เกิดมันมีใจร่วมมันก็อุทิศให้ส่วนกุศลให้คนอื่นด้วย ได้รับผลไปเป็นผลพลอยได้จากความดีนั้นได้รับความสุข

ก็เหมือนว่าเรามีอันนี้แหละ มีตู้เย็นหลายๆ คิวนี่แหละ คนหลายๆ คนนี่แจกให้กินหลายๆ คนนี่เย็นไปหลายคนก็ได้ ได้กินเอง บุญมันเป็นอย่างนั้น บุญคือความสุข พอเข้าใจนะ

ถ้าอยากมีอายุยืนรักษาให้ดีเถอะ

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








#ให้รู้จักชำระกากของใจ

"... ข้าวเปลือก แกะ เปลือกออกเป็น
ข้าวสาร
... ไม่งอกขึ้นฉันใด..ใจเรา..ก็ฉันนั้น
หากแกะ
... เปลือกอันห่อหุ้มใจ ออกไปได้ก็เป็น
ดวงใจอันบริสุทธิ์
... ให้รู้จักชำระ กากของใจออกไป ..."

หลวงปู่จาม_มหาปุญโญ








"ถ้ากำลังรักแม่ วันนี้ขอให้ความรักของเรา
ปรากฏด้วยการกระทำ และการพูด

ถ้ากำลังโกรธ หรือน้อยใจแม่ ขอให้อภัยท่าน
และวันนี้ตั้งใจทำอะไรสักอย่างให้แม่มีความสุข
อย่าเป็นทุกข์ เพราะการคาดหวัง

แม่ไม่ใช่พระอรหันต์อยู่ในบ้าน แม่เป็นคนธรรมดา
พยายามเอาใจท่านมาใส่ใจเรา และทำให้ความสัมพันธ์
กับแม่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า
จะอยู่ด้วยกันอีกนานเท่าไร"

อาจารย์ชยสาโร ภิกขุ




"เสียสละความ
รู้สึกทั้งดีและไม่ดี
จนสามารถวาง
ได้แนบสนิท
เป็นยอดของคุณ
ความดีของใจ
จิตใจเมื่อวางได้แล้ว
ทุกอย่างเป็น
ธรรมกับตัวเอง
คุณธรรมฟ้องมา
ได้ทางกาย วาจา ใจ
นั่นถือว่าสมบูรณ์แล้ว"

หลวงพ่อถาวร จิตตถาวโร







หลวงปู่ชาท่านว่า—— การปฏิบัติแท้ๆ นั้นไม่ใช่กิริยาอาการภายนอก ไม่ใช่การเดินจงกรมด้วยเท้า ไม่ใช่การนั่งสมาธิ มิใช่การศึกษาตำราตัวหนังสือ มิใช่เพียงคำพูดและมิใช่สิ่งที่จะยกเป็นตัวเป็นตนได้แต่การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้น เป็นกิริยาภายใน เป็นอาการภายใน เป็นการปฏิบัติทางใจ นั่งนิ่งอยู่ที่จิต ทำอารมณ์ให้นิ่ง ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิจนเป็นหนึ่งอยู่ทุกขณะจิต ตลอดภาวนา ทุกเวลาทุกอริยาบทแม้การทำกิจอันใด ฉะนั้นการจะไปจับเอาการกระทำด้วยการนั่งสมาธิกายเดินจงกรมนั้นไม่ได้และไม่ถูก

หลวงปู่ชา







หลวงปู่กินรีสอนว่า—การปฏิบัตินั้นมิใช่จะอยู่ที่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว แต่การปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็นไปในทุกๆ อิริยาบถ จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน เราจะทำสิ่งใดในขณะใดๆ ก็ให้มีสติอยู่ทุกขณะ ลมหายใจเข้าออกที่เราจะกำหนดได้นั้นก็อาจจะทำได้ แม้ในขณะเดิน กล่าวคือ

ถ้าเรามีสติรู้ว่าความคิดนึกอย่างใดที่เป็นบาป อย่างใดที่ไม่เป็นบาป อย่างใดที่ทำจิตให้เศร้าหมอง อย่างใดที่ทำจิตไม่ให้เศร้าหมอง ถ้าเรามีสติรู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาแล้ว พยายามขจัดความคิดที่เป็นบาป ที่เศร้าหมองออกไปเสียอย่าให้เกิดมีขึ้นมาในจิตได้ นั่นแหละที่เรียกว่าความพากเพียรที่ถูกต้อง เป็นการภาวนาที่ถูกต้อง ลมหายใจมันก็จะรู้อยู่ในนั้นเสร็จ ถือว่าเราปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคแล้ว การกระทำเช่นนั้นเราอาจจะทำได้ในทุกๆ ขณะย่างก้าว จะนั่งอยู่กับที่เงียบๆ และกำหนดลมหายใจเข้าออกให้จิตสงบนั้น ก็เป็นไปเพื่อจะละอกุศลและเจริญกุศลอย่างนี้ จะนอนก็ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ จะเดินก็เหมือนกันให้มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว นั่นก็หมายความว่าเราได้ทำสัมมาวายามะให้เกิดขึ้นแล้ว ผลคือปัญญาความรู้แจ้งสว่างไสวก็จะเกิดขึ้นมาเอง นี่คือการปฏิบัติภาวนาของเรา ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้พยายามพากเพียรกระทำให้ถูกต้องอยู่เสมอ

หลวงปู่กินรี






หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนธรรมแก่หลวงปู่กินรี ถึงข้อปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมๆ ไปกับการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศลว่างเว้นจากอารมณ์ อันเกิดจากการสัมผัสทางอายตนะ คือ ที่ตั้งแห่งการกระทบ มี 6 คู่ อันได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับการสัมผัสทางกาย และใจที่กระทบกับอารมณ์ในภายในที่ทำให้เกิดเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐาน หมายถึง การเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ ความตั้งมั่นของจิตในลักษณะการเช่นนี้ ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผุดผ่องใส

หลังจากนั้นแล้วจึงหันมาพิจารณาธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม และพิจารณาขันธ์ทั้ง 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ให้รู้ว่าธาตุขันธ์และรูปนามทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงก็คือบ่อเกิดของความทุกข์โศกร่ำไรรำพันนานาประการทั้งปวงนั่นเอง

หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนข้อธรรมแก่หลวงปู่กินรีเป็นประจำ และเมื่อท่านพบหน้าหลวงปู่กินรี ท่านมักจะเอ่ยถามไปว่า “กินรี ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง ?”

คำถามของหลวงปู่มั่นนั้น "มิได้หมายถึงที่อยู่ในวัดปัจจุบัน แต่ท่านถามถึงส่วนลึกของใจว่ามีสติตั้งมั่นหรือยัง" ถ้ายังท่านก็จะกล่าวอบรมต่อไป ซึ่งส่วนมากหลวงปู่มั่นท่านจะเน้นให้เห็นถึงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ เพราะเกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของเสื่อมโทรมของธาตุขันธ์ทั้งหลาย เป็นเหตุ และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่า มันมิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้จักความไม่เที่ยง ไม่รู้จักความเป็นทุกข์ และไม่รู้ความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริงแล้ว อาสวะกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำจิตของคนๆ นั้นให้มืดมัว เร่าร้อนและเป็นทุกข์ได้ในที่สุด

หลวงปู่มั่นท่านอบรมสั่งสอนหลวงปู่กินรีต่อไปว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติศีลเป็นเบื้องต้น และทำสมาธิในท่ามกลางเพื่อจะให้เกิดปัญญา ความรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ในที่สุด และเพื่อจะให้รู้ความจริงก็ต้องหมั่นพิจารณาว่าร่างกายของเราที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 นี้ ประกอบอยู่ด้วยธาตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 อย่าง ได้แก่

เวทนา คือ ความรู้สุข รู้ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในอายตนะทั้งหลายที่มากระทบแล้วรู้สึกแล้ว
สังขาร คือ ความไกลเวียนปรุงเปลี่ยนไม่หยุดอยู่ของนามธาตุนั้น
วิญญาณ คือ ความรู้สึกได้
รวมเป็น 4 อย่างด้วยกัน เรียกว่า นามขันธ์

เมื่อรวมเข้ากับธาตุ 4 คือ รูปขันธ์ด้วยแล้วจึงเป็นขันธ์ รวมย่อแล้วเรียกว่า กายกับใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยงคงที่ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ร่างกายเนื้อหนังของเรานี้เป็นของไม่สวยไม่งาม สกปรกโสโครกโดยประการทั้งปวง การภาวนาที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ นักภาวนาเมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมจะมีความสะดุ้งกลัวต่อภัยและความเป็นโทษทุกข์ของสังขาร ไม่อยากประสบพบเห็นกับควาทุกข์ทรมานเหล่านี้อีกแล้ว เมื่อนั้นจิตก็ย่อมจะคลายจากความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ย่อมคลายความกำหนัดรักใคร่ชอบใจในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ชอบใจ เมื่อจิตมีความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดเช่นนี้แล้ว ทุกข์ทั้งปวงก็ย่อมดับลงได้โดยแท้ ข้อที่ว่าทุกข์ทั้งปวงดับลงนี้เป็นเพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ความเป็นจริงในธรรมดับไปนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้รู้ความเห็นในธรรมที่เรียกว่า “ปัญญา” นั้น เจริญถึงที่สุด ผลที่ได้รับก็คือ “ปัญญาอันสงบระงับและแจ่มแจ้ง” หลวงปู่มั่นท่านกล่าวอบรมหลวงปู่กินรี

หลวงปู่กินรีท่านได้เล่าเรื่องราวของท่าน สมัยที่ท่านไปฝึกอบรมกรรมฐานกับหลวงปู่มั่น ให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจิตค่อยๆ สงบเข้าไปทีละน้อยๆ แล้วปรากฏว่า ทั้งร่างกายและเนื้อหนังของท่านนั้นได้เปื่อยหลุดออกจากกัน จนเหลือแต่ซากของกระดูก อันเป็นโครงร่างที่แท้จริงในกายของท่านเอง “สิ่งที่ปรากฏในอาการอย่างนั้นมันชวนให้น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก” หลวงปู่ท่านกล่าว

ประสบการณ์ในธรรมโดยลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นกับหลวงปู่ท่านอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งครั้งนี้ท่านกล่าวว่า “ในขณะที่ภาวนาอยู่นั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในตัว เปลวเพลิงได้ลุกลามพัดไหม้ทั่วร่าง ในที่สุดก็เหลืออยู่แต่ซากกระดูกที่ถูกเผา และคิดอยู่ที่นั้นว่าร่างกายคนเราจะสวยงามแค่ไหน ในที่สุดมันก็ต้องถูกเผาอย่างนี้เอง” หลวงปู่กินรีท่านได้อธิบายถึง การภาวนา ว่ามีอยู่ 3 ขั้นด้วยกัน กล่าวคือ

บริกรรมภาวนา คือ การภาวนาที่กำหนดกรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ เพื่อจะทำจิตให้ตั้งมั่น ขั้นนี้ยังเป็นเพียงการกำหนดนึก ยังไม่เป็นอารมณ์ที่แน่นแฟ้นจริงจัง มีการภาวนา “พุทโธ” เป็นอาทิ ข้อนี้เป็นการภาวนาในระดับที่จะทำให้เกิดบริกรรมนิมิตอันเป็นนิมิตข้อต้นเท่านั้น
อุปจารภาวนา คือ การภาวนาที่เริ่มจะทำจิตให้ตั้งมั่นดีกว่าข้อแรกขึ้นนิดหนึ่ง ข้อนี้อุคหนิมิตจะปรากฏขึ้นได้
อัปนาภาวนา เป็นการภาวนาที่แน่วแน่ อาจทำให้เกิดปฏิภาคนิมิตได้
หลวงปู่กินรีท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านหลวงปู่มั่นเพียง 2 ปี เท่านั้น ส่วนเวลานอกนั้นท่านมักจะอยู่ตามลำพัง เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ส่วนผู้ที่หลวงปู่กินรีจะลืมเสียมิได้ถึงแม้จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นก็ตาม ท่านคือ พระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์ เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้วิชาความรู้ในการปฏิบัติแก่หลวงปู่ นับว่าเป็นองค์แรกที่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรี ซึ่งท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้หลวงปู่กินรีชอบอยู่อย่างสันโดษแต่ผู้เดียวนั้น เนื่องจากท่านเป็นพระมหานิกาย ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุตเช่นพระทั้งหลายรูปอื่นๆ

หลวงปู่มั่น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO