นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 10:19 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเป็นกลาง
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 31 ก.ค. 2022 4:57 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4533
"... วันหนึ่งคืนหนึ่งใจของเรามีความสงบกี่ครั้ง
มีความเยือกเย็นสบายดี หรือเดือดร้อนภายในใจ ถ้าใจเดือดร้อนพึงทราบว่าขุมนรกอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจมีความเยือกเย็นพึงทราบว่า
สันติธรรมเริ่มจะปรากฏขึ้นแล้วที่ใจของเรา ให้ตรองตัวของตัวอยู่เสมอ

... พยายามดูจิตใจของตนเสมอ ถ้าส่วนใดเป็นทางชั่วต้องฝืนใจละ จนกระทั่งละได้เป็นลำดับ ถึงกับละขาดไม่มีอันใดเหลือ สิ่งรบกวนเหล่านั้นจะไม่มารังควานจิตใจได้อีกต่อไป เมื่อเราละได้เด็ดขาดแล้ว

... การทำตัวของเราจะให้พ้นจากอุปสรรคต้องมีการฝืนบ้างเป็นธรรมดา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าสาวก หรือไม่ว่าครูบาอาจารย์องค์ใด ๆ ที่ท่านปรากฏชื่อลือนามมา ล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืนอุปสรรคมาด้วยกันทั้งนั้น

... ทุกข์เราก็ทราบแล้วว่า เป็นอริยสัจ ถ้าเราไม่พิจารณาให้เห็นทุกข์แล้ว เราจะหลีกเว้นจากทุกข์ไปได้ที่ไหน สมุทัย เป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เกิดขึ้นที่ไหนก็เกิดขึ้นที่ความปรุงของใจ

... ความปรุงของใจนี้โดยมากถ้าไม่ได้รับการอบรมแล้วต้องปรุงไปในทางที่ชั่วเสมอ ในทางที่จะสั่งสมกิเลสให้มีหรือให้มากขึ้นภายในใจ
#เพราะฉะนั้นอุบายวิธีกำหนดจิตใจ_ซึ่งเรียกว่าภาวนานี้
#จึงเป็นแนวทางที่จะแก้สิ่งทั้งหลายที่เป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจของตนให้ค่อยหมดไปเป็นลำดับ ..."

#โอวาทธรรม
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน







โยมตั้งใจดีเท่าไหร่ ไม่ยอมเป็นธรรมดา
เราเป็นมนุษย์แล้ว ฝึกได้ แสดงความยินดีได้ ขออย่าน้อยใจ
ไม่มีประโยชน์ เป็นคนดีได้ ฝึกได้อย่างนี้นะ
ใครทำผิดเราทำถูกก็ได้

อย่าน้อยใจ
เค้าทำไม่ถูกเรายอมรับ
เป็นอะไรไม่ถูกไม่ดีไม่งาม
เอายอมรับและยินดีรับด้วยและรักษาความดีได้
เราทำดีได้โยม ขออย่าเป็นธรรมดา

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต
วัดป่าบ้านตาด






"ครูบาอาจารย์ผู้ท่านมีบุญบารมี มีสติปัญญามากท่านเรียนท่องคำเทศน์กัน อาตมาไม่ได้เรียนท่องอะไรซักอย่าง ท่องพุทโธอย่างเดียว"
.
โอวาท หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล






ไม่เคยมีใครบรรลุธรรมด้วยการอยู่ไปกินไปนอนไปตามใจชอบโดยไม่มีการฝึกจิตทรมานใจ...(อย่าหวังเด็ดขาด)

คติธรรมพระอาจารย์ใหญ่
พระครูวินัยธร (หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต) วัดป่าบ้านหนองผือ





คนเราในยามที่รักกันมาก ก็มักพากันไปทำบุญ
อธิษฐานขอให้ได้อยู่ร่วมคู่กัน ไปทุกภพ ทุกชาติ
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นการอธิษฐานที่มิได้อยู่บนสัมมาทิฏฐิ เป็นการไม่ยอมรับความจริง ของความไม่เที่ยง
และไม่เป็นไปเพื่อการจางคลาย จากความยึดมั่นถือมั่น
สมัยก่อน ข้าพเจ้าเคยสงสัยหญิงสาวข้างบ้านคนหนึ่งว่าทำไมจึงต้องทนให้สามีขี้เหล้า ทำร้ายร่างกาย
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งๆ ที่สาวเจ้าคนนี้ ก็เป็นคนหารายได้อยู่เพียงคนเดียว แต่พอได้มาศึกษาธรรมะ จึงทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า เหตุปัจจัยส่วนหนึ่ง คงมาจากการอธิษฐาน ขอให้ได้มาอยู่ร่วมชีวิตกันก็เป็นได้ ในเรื่องการอธิษฐานทำนองนี้ หลวงปู่ดู่ท่านสั่งห้าม ท่านว่ากาลเวลาผ่านไป แต่ละคนก็มีการสั่งสม หรือพัฒนาการต่างๆ กันไป เรียกว่า ธรรมไม่เสมอกัน มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง มาทำบุญกับหลวงปู่ เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว ก็พากันตั้งจิตอธิษฐานอะไรอยู่ในใจ ขณะนั้น หลวงปู่ก็ทักขึ้นว่า.....

"สามีภรรยา ไม่ต้องอธิษฐานตามกัน เพราะจะดึงกัน
อีกคนไปได้ อีกคนไปไม่ได้ มันจะดึงกัน"

เรื่องนี้ จึงสอนให้ระมัดระวัง ไม่ให้ไปเที่ยวอธิษฐาน
ตามคนรัก หรือใครๆ เพราะวิบากกรรม อันเกิดจาก
การอธิษฐาน ที่ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็อาจกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมในวันข้างหน้าได้ นี่แหละหนาที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด และ
แทนที่จะเป็นบุพเพสันนิวาส ก็อาจกลับกลายเป็น
บุพเพอาละวาด!!

ที่มาจาก หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ







"... วันหนึ่งคืนหนึ่งใจของเรามีความสงบกี่ครั้ง
มีความเยือกเย็นสบายดี หรือเดือดร้อนภายในใจ ถ้าใจเดือดร้อนพึงทราบว่าขุมนรกอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจมีความเยือกเย็นพึงทราบว่า
สันติธรรมเริ่มจะปรากฏขึ้นแล้วที่ใจของเรา ให้ตรองตัวของตัวอยู่เสมอ

... พยายามดูจิตใจของตนเสมอ ถ้าส่วนใดเป็นทางชั่วต้องฝืนใจละ จนกระทั่งละได้เป็นลำดับ ถึงกับละขาดไม่มีอันใดเหลือ สิ่งรบกวนเหล่านั้นจะไม่มารังควานจิตใจได้อีกต่อไป เมื่อเราละได้เด็ดขาดแล้ว

... การทำตัวของเราจะให้พ้นจากอุปสรรคต้องมีการฝืนบ้างเป็นธรรมดา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าสาวก หรือไม่ว่าครูบาอาจารย์องค์ใด ๆ ที่ท่านปรากฏชื่อลือนามมา ล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืนอุปสรรคมาด้วยกันทั้งนั้น

... ทุกข์เราก็ทราบแล้วว่า เป็นอริยสัจ ถ้าเราไม่พิจารณาให้เห็นทุกข์แล้ว เราจะหลีกเว้นจากทุกข์ไปได้ที่ไหน สมุทัย เป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เกิดขึ้นที่ไหนก็เกิดขึ้นที่ความปรุงของใจ

... ความปรุงของใจนี้โดยมากถ้าไม่ได้รับการอบรมแล้วต้องปรุงไปในทางที่ชั่วเสมอ ในทางที่จะสั่งสมกิเลสให้มีหรือให้มากขึ้นภายในใจ
#เพราะฉะนั้นอุบายวิธีกำหนดจิตใจ_ซึ่งเรียกว่าภาวนานี้
#จึงเป็นแนวทางที่จะแก้สิ่งทั้งหลายที่เป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจของตนให้ค่อยหมดไปเป็นลำดับ ..."

#โอวาทธรรม
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน








"...จิตใจของเฮามันสกปรกด้วยความโลภ
ความโกรธ ความหลง พัวพันจิตใจอยู่นั่น
ความรักความชังเต็มอยู่นั่น
นี่มาชำระตัวนี่ ถ้าชำระตัวนี่ออกแล้วก็แล้ว
ในธัมมจักฯ เพิ่นก็ว่าบ่ให้เสพ ๒ ฝั่ง
ฝั่งได๋ ฝั่งรักฝั่งชังนั่นแล้ว
คันบ่ไป ๒ ฝั่งแล้วมันก็เป็นกลางเท่านั้นล่ะ
ใจมันก็เป็นกลาง เป็นมัชฌิมา..."

#ที่มา หนังสือ ธรรมลี หน้า ๕๖
#โอวาทธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร






"ถ้าเราเห็น อันนี้ชัด
เราก็จะทิ้งความคิด ความรู้สึกอย่างนั้นได้
ทีนี้ ก็ไม่ต้องคิดนั่น คิดนี่อีก คอยแต่บอกตัวเอง
ไว้อย่างเดียวว่า...
มันเป็นของมัน อย่างนั้นเอง

พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว
ทีนี้ ก็จะปล่อยอะไร ๆ ได้ทั้งหมด
ก็ไม่ใช่ว่า...
ความคิด ความรู้สึกมันจะหายไป
มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว

เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซน เล่นสนุก
ทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา
แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า...
ธรรมชาติของเด็ก ก็เป็นอย่างนั้นเอง

พอรู้อย่างนี้...
เราก็ปล่อย ให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา
ความเดือดร้อนรำคาญ ของเราก็หมดไป
มันหมดไปได้อย่างไร ?
ก็เพราะ...เรายอมรับธรรมชาติ ของเด็ก

ความรู้สึกของเรา...เปลี่ยน...
และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย
เราปล่อยวาง...
จิต ของเรา ก็มีความสงบ เยือกเย็น
นี่เรา มีความเข้าใจอันถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ

ถ้ายังไม่มี ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำลุกมืด
เท่าใด
ใจ มันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่

ใจ...จะสงบได้
ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น
ทีนี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้ เพราะ...
ไม่มี ปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่ ! มันเป็นอย่างนี้

เรา ไม่ชอบมัน
เรา ปล่อยวางมัน
เมื่อใด ที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยว ยึดมั่นถือมั่น
เกิดขึ้น
เรา ปล่อยวางทันที
เพราะรู้แล้วว่า...
ความรู้สึกอย่างนั้น...มันไม่ได้เกิดขึ้นมา
เพื่อ...จะกวนเรา

เเม้บางที...
เราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่...ความเป็นจริง
ความรู้สึกนั้น...เป็นของมันอยู่...อย่างนั้น
ถ้าเราปล่อยวาง มันเสีย
รูป ก็เป็นสักแต่ว่า รูป
เสียง ก็สักแต่ว่า เสียง
กลิ่น ก็สักแต่ว่า กลิ่น
รส ก็สักแต่ว่า รส
โผฏฐัพพะ ก็สักแต่ว่า โผฏฐัพพะ
ธรรมมารมณ์ ก็สักแต่ว่า ธรรมมารมณ์

เปรียบเหมือนน้ำมัน กับน้ำท่า
ถ้าเรา เอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวด เดียวกัน
มันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมัน...ต่างกัน
เหมือนกับคนที่ฉลาด ก็ต่างกับคนโง่

พระพุทธเจ้า
ก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมมารมณ์ แต่พระองค์
ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียง...
สิ่ง...สักว่า เท่านั้น."

หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO