นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 4:45 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ศีล 5 ประการ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 30 ก.ค. 2022 10:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"... พระพุทธองค์ท่านสอนว่า ให้มีสติอยู่ จะ
ยืนอยู่
จะเดินอยู่ จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ จะอยู่ที่ไหนก็ช่างเถิด
ให้มีสติประคับประคองอยู่เสมอ​ เมื่อเรามีสติ เรา
ก็เห็นตัวของเรา เห็นใจของเรา​ แล้วก็เห็นกาย
ใน
กายของเรา เห็นใจในใจของเรา ทุกอย่างถ้า
เรา
ไม่มีสติอยู่ เราก็ไม่รู้เรื่อง​ ​..."

#พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ชา_สุภัทโท
#วัดหนองป่าพง_จังหวัดอุบลราชธานี







"ศีล ๕ ประการ มีคุณในการตัดทอนผลเพิ่มของบาป
บาปที่เราเคยทำมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ หรือตั้งแต่เช้านี้
บัดนี้ เรามางดเว้นจากการทำบาป ตามกฎของ
ศีล ๕ ข้อนั้น เราได้ชื่อว่า ตั้งใจตัดกรรมตัดเวร
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆ ไปจนกระทั่ง
ตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวร
ตลอดชีวิตของเรา

การตัดกรรม ก็คือ หยุดทำความชั่ว ความบาป
การตัดเวร ก็คือ หยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวร
ซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกันและกัน

รู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกัน และกัน ผู้ทำผิดก็ให้รู้จัก
คำว่าขอโทษ ผู้ถูกขอโทษก็ควรจะรู้จักคำว่าให้อภัย
ไม่เป็นไรหรอก อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย








"ความยินดีในของที่มีอยู่นี้
เป็นคาถาเศรษฐี และมหาเศรษฐี"

หลวงปู่ชา สุภทฺโท






#ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรต
มาขอส่วนบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน
"..เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก
"ฟังสวดมนต์นะ"
เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก
"รับศีลนะ"
พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก
"กินข้าวนะ"

ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างคือ
มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฎว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง

ท่านผู้นี้จึงถามว่า
"เธอเป็นใคร"
ตอบว่า
"ฉันเป็นภรรยาของท่านเมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกาย และหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน"

ท่านสามีก็บอกว่า
"ไปบ้านสิมีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจเหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่"
ผีเปรตจึงบอกว่า
"สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ"

ท่านสามีจึงถามว่า
"ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ"
เธอก็บอกว่า
"ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้"
ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ

พอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฎชัด
ท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า
"เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ"
นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า
"ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ"
ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้รับจากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้รับจากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ.."

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
จากหนังสือ "ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน" หน้า ๓๒๖ - ๓๒๗
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ






"...ลมก็เป็นแต่สักว่าลม ผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้ จิตก็เป็น
แต่สักว่าจิต สติก็เป็นแต่สักว่าสติ สัมปช้ญญะก็เป็น
แต่สักว่าสัมปชัญญะ...สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสงครามกัน
แต่ความหลงของเราไปเอาเป็นสงครามต่างหาก
ความหลงของเราที่ไม่รู้ตามเป็นจริงเป็นสงครามกับ
ตนเองต่างหาก ผู้ที่หลงสำคัญอย่างนั้นอย่างนี้ก็เพราะ
ทิ้งอาจารย์เดิม กิเลสมีอยู่ในเราหรือไม่มี...เราก็ตรวจ
พร้อมกับลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน ขาดไปหรือ
ขบถคืนเราก็ตรวจดูกับลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน...
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ชัดเพราะไม่มีเครื่องพิสูจน์เพราะไม่มี
เครื่องมือเพราะทิ้งกล้องจุลทัศน์ๆ ก็คือลมหายใจเข้า
ออก แว่นส่องทางก็คือลมหายใจเข้าออก...มีสติอยู่
ที่นั้น ธรรมเป็นคู่แข่งขันก็คือลมหายใจเข้าออก...
เพราะมีสติอยู่ที่นั้น ลมหายใจเข้าออกเป็นธรรมภาย
ในเรียกว่าอัชฌัตตาธรรม ถ้านอกไปกว่านั้นเรียกว่า
พหิทธาธรรม...ธรรมภายนอก ลมหายใจเข้าออกก็คือ
กายเราดีๆ นี่เอง ถ้ากายไม่มีลมหายใจเข้าออกก็ต้อง
แตก เวลาลมหายใจเข้าออกเราเสวยเวทนาใดๆ เราก็
รู้ชัดในเวทนานั้นๆ ว่าสุขหรือทุกข์หรืออุเบกขาในลม
หายใจเข้าออก จิตของเราผ่องแผ้วหรือเศร้าหมอง
เราก็ตรวจในลมหายใจเข้าออกอีกเหมือนกัน ธรรม
ฝ่ายสังขารหรือวิสังขารเราก็ตรวจในลมหายใจเข้า
ออกอีกเหมือนกัน เรียกว่าไม่งมปลานอกแห...งมปลา
ในแหในอวนคืองมอยู่ในลมหายใจเข้าออกนั่นเอง
ไม่ส่งของออกนอกประเทศก็คืออยู่ในประเทศลมหาย
ใจเข้าออกนั่นเอง ไม่ลืมอาจารย์เดิมก็คือไม่ลืมลมหาย
ใจเข้าออกนั่นเอง ไม่ลืมกรรมฐานเดิมก็คือไม่ลืมลม
หายใจเข้าออกนั่นเอง พุทธ ธรรม สงฆ์ก็คือลมหายใจ
เข้าออกนั่นเอง พุทธะแปลว่าผู้รู้ลมหายใจเข้าออก
ธรรมะแปลว่าผู้รู้ลมหายใจเข้าออก สังฆะแปลว่าปฏิบัติ
ลมหายใจเข้าออก..."

#ที่มา หนังสือเขมปัตตเจติยานุสรณ์ หน้า ๖๙ - ๗๐
#โอวาทธรรม หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต








ถ้าทำใจให้สงบแล้ว
อคติก็จะตกตะกอนไป
จะทำให้จิตมีหลัก
มีเกณฑ์มีเหตุมีผล

สามารถมองความจริงได้
เหมือนกับแว่นตา
ที่ได้รับการเช็ดให้ใสสะอาด
เวลามองผ่านแว่นตา
ก็จะเห็นตามความเป็นจริง

คติธรรมคำสอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO