นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 4:00 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความดีงาม
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 29 ก.ค. 2022 8:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4533
"..ท่องคาถาหลวงปู่ผาง #ทรัพย์ยังมา
คาถาหลวงปู่ผาง เพิ่นบอกว่า อย่าให้บกเกินหาด อย่าให้ขาดเป็นวัง สัพพะพลังยังมาทุกเมื่อ ทรัพย์ยังมา
เวลาที่เฮาจกข้าวใส่บาตร หรือกำด้ามทัพพีตักข้าว(ข้าวสวย)ใส่บาตร ให้ว่า ทรัพย์ยังมา
เวลาหยิบถุงอาหารใส่บาตร ก็เรียกว่า ทรัพย์ยังมา สั้นๆ แค่นั้น

คนเราถ้าเรียกไม่ถูกชื่อ ลุกไหม ไม่มีใครลุก
ถ้าเรามีบุญเก่าวาสนาเก่าบารมีเก่า เรามีเราสร้างเอาไว้ เราไม่เรียกเขามา เขาก็ไม่มา
เรียกเขาไว้ ที่เราทำบุญไปแล้ว เรียกเขามา
ถ้าไม่มาช่วงนี้จะมาช่วงไหน เรากำลังกินกำลังใช้กำลังจับจ่าย ให้ทรัพย์ยังมา
หรือว่าตายแล้วถึงจะมา มันไม่มีประโยชน์
มาก็ต้องมาช่วงนี้ ช่วงกำลังมีหน้าที่การงาน
ถ้ามันหมด ก็เรียกเอา

หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต นะโมพุทธายะ ก็ได้
ทรัพย์ยังมาๆ ก็ได้ ท่องเอาไว้
บางทีบุญวาสนาบารมีของเราพอมีอยู่ แต่เราไม่เรียก เขาก็ไม่มา
ท่านว่า ของดีอยู่ใกล้ตัว เรียกเอา..."

เมตตาคาถา ทรัพย์ยังมา แด่ญาติโยมท้ายพระธรรมเทศนาหลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต
วัดป่าเวฬุวันอรัญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี
ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยรามคำแหง
28.07.65







วิธีปฏิบัติธรรมที่ดีแบบหนึ่งในชีวิตประจำวัน คือการฝึกจิตให้รับรู้คุณงามความดีของคนรอบข้างและชื่นชมคุณธรรมเหล่านั้นจากใจจริง เราอาจใช้กุศโลบายโดยนึกทบทวนเป็นประโยคสั้นๆ ซ้ำอยู่ในใจเวลาพบเห็นสิ่งที่ชวนให้เกิดแรงบันดาลใจ “เรื่องนี้ดีจัง! ดีจริงๆ! ดีเหลือเกิน!”

คุณธรรมที่เราจะสังเกตและชื่นชมได้ มีทั้งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา ความมีน้ำใจ ความซื่อสัตย์สุจริต ความพากเพียร ความอดทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสงบ และความเฉลียวฉลาดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ยิ่งให้ความสำคัญกับการพิจารณาเรื่องนี้ เราจะยิ่งรับรู้คุณธรรมของเพื่อนมนุษย์ได้ไวขึ้น และยิ่งเกิดปีติปราโมทย์ในใจ เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราจะเห็นบุคคลเป็นภาชนะรองรับคุณธรรม หาใช่ผู้ครอบครองคุณธรรมนั้นไม่ เมื่อเห็นเช่นนี้ ความอิจฉาริษยาย่อมจางหายไป การเปิดตารับรู้ความดีงามรอบตัวทุกๆ วัน จะทำให้โลกของเราเปลี่ยนไป

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ






"ให้เพียรดูจิตใจ ถ้าบาปครอบงำก็รู้
ถ้าจิตผ่องใสก็รู้ ถ้าใจจะเผลอสติก็รู้
ก็ระลึกได้ จะโกรธจะว่าใคร
สติก็จะคอยเตือนคอยห้าม และไม่ยึด
อโหสิกรรมให้เค้าไป บาปกิเลสก็จะเบาบาง
ใจเศร้าหมองขุ่นมัว ก็คือทุกข์ คือบาป
ใจผ่องใสเบิกบาน ก็คือบุญ"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ






“หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตอน หมั่นดูจิตตนเองเสมอ”

จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล
ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ ภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร
ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต
คือนั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง
ในวันและเวลาที่นั่ง นั่งมีสารประโยชน์ไหม
คิดแส่หาเรื่องหาโทษขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดถูกของตัวบ้างไหม

พิจารณาสังขารภายนอกว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง
สังขารร่างกายมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดลงไป
พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้
ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า
เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน
ป่าช้าอันเป็นที่เผาศพภายนอก และป่าช้าที่ฝังศพภายในคือตัวเราเอง
เป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพที่นำมาฝังหรือบรรจุ
จะอยู่ในตัวเราตลอดเวลา ทั้งศพเก่าศพใหม่ทุกวัน

พิจารณาธรรมสังเวช พิจารณาความตายเป็นอารมณ์
ย่อมมีทางถอดถอนความเผลอเย่อหยิ่งในวัน ในชีวิต
และวิทยฐานะต่างๆ ออกได้
จะเห็นโทษแห่งความบกพร่องของตัวและพยายามแก้ไขได้เป็นลำดับ
มากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่นแล้วมานินทาเขา ซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน

นี่คือการภาวนา คือ วิธีเตือนตน สั่งสอนตน
ตรวจตราดูความบกพร่องของตนว่าควรแก้ไขจุดใด ตรงไหนบ้าง
ใช้ความพิจารณาอยู่ทำนองนี้เรื่อยๆ ด้วยวิธีสมาธิภาวนาบ้าง
ด้วยการรำพึงในอิริยาบถต่างๆ บ้าง
ใจจะสงบเย็น ไม่ลำพองผยองตัวและความทุกข์มาเผาลนตัวเอง
เป็นผู้รู้จักประมาณในหน้าที่การงานที่พอเหมาะพอดีแก่ตัว
ทั้งทางกายและทางใจ ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต










#อย่าดูถูกคำอนุโมทนาสาธุ...

อาตมาภาพ เริ่มจากอนุโมทนาสาธุการ
มาจากสมัยพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
กกุสันโธ
ผู้ข้าฯเป็นยาจกขอทาน เป็นคนทุกข์ยากจนเข็ญใจ แต่ก็ชอบไปวัดของพระพุทธเจ้า วันเว้นวัน
ไปอนุโมทนาสาธุการในการบวชของพระสงฆ์สามเณร ในการทำบุญให้ทานของเศรษฐีของคนรวย...
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งมีต่อมา...แต่น่าอนาถใจแท้...ผู้ข้าก่อนจะเป็นขอทานนั้นกลับเคยเป็นผู้มั่งคั่ง...
ผู้ข้าฯไม่ให้ทาน .. ได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยแล้วขี้เหนียว ไม่แบ่งปัน ไม่ยินดีพอใจการแบ่งปัน มีแต่รายการเก็บ
รวยก็รวยสุดขีด...คนรวยใจดำนั่นคือภพชาติสุดท้าย ทุกข์ยากก็สุดขีด...เริ่มอนุโมทนานั่นคือภพเริ่มจะมี...

เมื่อครั้งยุคสมัย ศาสนาของพระพุทธเจ้า
กกุสันโธ ผู้ข้าฯ กับเมียเกิดเป็นคนทุกข์ ทุกข์ขอทานเขามากิน ตื่นเช้า เมียไปทางหนึ่งผัว
ไปทางหนึ่ง นัดหมายกันว่าตอนค่ำให้ไปพบกันอยู่ศาลาท่าน้ำ หรือไม่ก็ที่ใดที่หนึ่ง
ขอข้าว ขออาหาร ขอผ้านุ่งผ้าห่ม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้กินอิ่มเป็นบางวัน บางวันก็อด ก็หิวไปตามเรื่อง ชีวิตนั้นดีที่ไม่มีลูก ทุกข์ไม่มีที่อยู่ไม่ได้กิน ตัวดำตัวผอม ได้ผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เก็บมา ขอด้ายขอเข็มเขามาเย็บติด บางทีก็ได้เอาไม้กลัดเอา ชีวิตที่ทุกข์ก็ทุกข์
วันงานนักขัตฤกษ์ เมียอยากได้เครื่องแต่งกาย ก็รวบรวมเงินที่ขอทานมาได้ พอได้ซื้อแป้งทาหน้าทาตัว เสื้อผ้าที่สะอาดก็เก็บไว้ห่อไว้รักษาติดตัวไว้ เพื่อเอาไว้นุ่งห่มวันงานรื่นเริงประจำปี

ความทุกข์มีถึงขนาดนั้น ความสนุกสนานใจนี้มันก็ชอบ…รับจ้างเขาแบกของขึ้นจากเรือรับจ้างชำระที่สกปรกก็เอา งานดีกว่านี้เขาก็ไม่จ้าง เพราะเขารังเกียจว่าตัวเรา วรรณะต่ำเป็นทุคตะ แต่ก็ชอบไปวัดของพระพุทธเจ้าวันเว้นวันไป
#ไปอนุโมทนาสาธุการ
#ในการบวชของพระสงฆ์สามเณร
#ในการทำบุญให้ทานของเศรษฐีของคนรวย
#เราก็ได้แต่บอกเมียว่าให้อนุโมทนาสาธุการยินดีกับเขา จะเอาอะไรให้ทานก็ไม่ได้
#จะเข้าไปปฏิบัติพระสงฆ์ก็เกรงกลัวเพิ่นจะไล่ออก_แต่พระสงฆ์ผู้คนก็ไม่ไล่
#ไปอนุโมทนาสาธุการ​
แล้ว ก็ออกไปหาขอทาน ไปด้วยกันก็มี แยกกันไปก็มี เป็นบุพกรรมของตนแท้ ๆ หล่ะ เกิดได้ชีวิตเป็นทุคตะขอทาน แต่นั่นกามก็ยังชอบใจอยู่ นอนกับเมียอยู่ ห่วงเมีย กว่าอย่างอื่น เพราะเมียรูปงามสมส่วน แต่ผิวดำเท่านั้น…
พอมาถึงชีวิตนี้ คนที่เคยเป็นเมียคนนั้นไปพบปะอยู่เมืองเชียงใหม่ เขาได้เกิดเป็นเศรษฐีระดับสองของเมืองเชียงใหม่ พอเห็นกันก็ดึงดูดกันทันที ชอบอกพอใจกัน เขาก็มาบำรุงให้ข้าว ให้น้ำ ให้ผ้า ให้การดูแลเราทุกอย่าง มาปวารณาตัว ชอบมาพูดมาคุย มาทำบุญให้ทาน มาจำศีลอยู่ด้วยอยู่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่
พอเราออกไปอยู่อำเภอขานอกออกไปก็ไปทำบุญ ไปดูแลหลายอัน หลายอย่าง
ผู้ข้าฯ ก็ถามว่า…
#ระลึกได้อยู่ไหม..!? พากันเกิดเมืองพาราณสี เป็นคนทุคตะ ขอทานกินนะชีวิตนั้น.. ”

#บ่ได้เจ้า_บาปกรรมอะหยังได้ไปเกิดเป็นขอทาน..!!
“ ไม่ให้ทาน ได้ร่ำรวยแล้วขี้เหนียว ไม่แบ่งปัน ไม่ยินดีพอใจการแบ่งปัน มีแต่รายการเก็บ ”
หลายชีวิตอยู่ที่เป็นขอทาน เป็นคนทุคตะ อยู่อำเภอแม่สอดก็ชีวิตหนึ่ง อยู่เมืองลพบุรีก็ชีวิตหนึ่ง อยู่บังคลาเทศก็ชีวิตหนึ่ง
หลายชีวิตเกิดตายนับไม่ได้ รวยก็รวยสุดขีด ทุกข์ยากก็สุดขีด เกิดตายในโลก กว่าจะหลุดกว่าจะพ้นได้ สัปปะลี้ เกิดตาย…”

#โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่จาม_มหาปุญโญ
#ที่มาของบทความ_คัดลอกมาจากธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม_มหาปุญโญ_ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) คำชะอี จังหวัดมุกดาหาร








ความวิตกกังวล
เป็นเพียงแขกที่มาเยือนจิตใจ
ไม่ใช่ผู้อาศัยประจำ
เวลามาก็ไม่ต้องต้อนรับ หรือขับไส
เพียงแค่รับรู้ว่า
เป็นสักแต่ว่าความคิด
เป็นแขกที่เราไม่ยินดีต้อนรับ

ถ้าฝึกฝนจิตใจอย่างนี้
ด้วยความอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะสร้างอุปนิสัยทางใจที่เข้มแข็ง
ความวิตกกังวลจะจางหายไปเอง

#พระอาจารย์ชยสาโร






"คนดี" ไม่เห็น "คนชั่ว"

"...ถ้าเราเป็นคนดีจริง
จะมองไม่เห็นคนชั่วแม้แต่คนเดียว
ที่เป็นเช่นนั้น...เพราะสายตาของคนดี
จะมองโลกไปในทางสร้างสรรค์
เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความรัก
และการให้อภัย

ในทางตรงกันข้าม...
ยิ่งเราเห็นว่ามีคนชั่วมากเท่าไหร่
ก็เป็นไปได้ว่า เรานั่นแหละที่ชั่วเสียเอง
เพราะไม่มีคนดีที่ไหน สนใจความชั่ว
ของคนอื่น...มากกว่าของตนเอง

ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ จงอย่าเพ่งโทษผู้อื่น
เพราะนอกจากจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว
ยังเป็นสิ่งที่สูบกินเวลาชีวิตให้สูญไปเปล่า ๆ

ถ้าเขาไม่ดี แล้วเราไปวิจารณ์
จิตใจเราจะขุ่นมัว
แต่ถ้าเขาดี แล้วเราไปวิจารณ์
เราเองนั่นแหละ ที่จะเป็นคนไม่ดีเสียเอง
สรุปแล้ว ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่
เราก็เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง..."

** องค์หลวงตายังได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้..

" ไปว่าเขา เราดีแล้วหรือ..? "

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







เมตตากับคนไม่ดี

“เราจะมีวิธีการฝึกให้มีเมตตาในชีวิตประจำวันได้อย่างไรคะ
โดยเฉพาะกับคนที่เราคิดว่า เขาคิดไม่ดี คิดร้ายกับผู้อื่น”

พระอาจารย์ปสันโนตอบ...

คนที่คิดไม่ดี คิดร้ายกับผู้อื่น
ถ้าเราสังเกตดู ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำความสุขให้เกิดขึ้นกับเขา
เป็นสิ่งที่ทำให้เขาอยู่อย่างเร่าร้อน เป็นสิ่งที่เราควรเมตตา กรุณา

โดยสัญชาตญาณ เขาก็รักสุข เกลียดทุกข์
แต่ว่าเขากำลังทำสิ่งที่ขัดขวางความสุข และสร้างความทุกข์
ให้กับตัวเองก็ดี ผู้อื่นก็ดี เป็นการกระทำที่น่าสงสาร
เราก็ควรเมตตาต่อเขา

ไม่ใช่ว่าเราจะยินยอมเขา หรือเห็นด้วยกับเขา
เราเห็นว่าตัวเราเอง ถ้าคล้อยตามตัวอย่างของเขา
ก็เป็นการส่งเสริมความไม่ดีในตัวเราให้เพิ่มขึ้น
มันไม่คุ้มที่จะเพิ่มความไม่ดี
ที่จริงเราก็มีความสามารถที่จะเพิ่มความไม่ดีของเราอยู่แล้ว
เราไม่ต้องเอาของผู้อื่นมาแถมอีก

ถ้าจะดูผู้อื่น เราก็พยายามไม่รับเอาส่วนไม่ดีของผู้อื่น
แต่ควรจะรับสิ่งที่ดี ควรจะดูตัวอย่างที่ดี การกระทำที่ดี
เอามาเป็นกำลังใจของเรา ส่วนที่ไม่ดีเป็นเรื่องของเขา
เวลาเราเอาของไม่ดีของผู้อื่นมาใส่ตัวเรา ก็กลายเป็นของเราอีก

พื้นฐานของจิตใจที่เมตตา คือ ความหวังดี
ถ้าเราหวังดีต่อตัวเอง เราก็ไม่เอาของไม่ดีมาใส่ตัวเรา
เราก็ต้องพยายามยกสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความสุขในตัวเรา
อันนี้เป็นพื้นฐานของเมตตา หวังความสุขต่อตัวเราและผู้อื่น

พื้นฐานของจิตใจกรุณา คือ ปรารถนาการดับทุกข์
ปรารถนาการบรรเทาทุกข์ สำหรับตัวเองก็ดี ผู้อื่นก็ดี

เราหวังดีต่อตัวเอง เราก็อยากทำให้ความสุขเพิ่มขึ้น
เวลาคนอื่นทำไม่ดี เราก็เห็นว่า เขาทำไม่ดีต่อตัวเอง
เราก็ไม่ควรเอาตัวอย่างอย่างนั้น เพราะว่า
ถ้าเราเชื่อหลักกรรม การกระทำไม่ดีก็เป็นสิ่งที่เขาต้องรับผล

สำหรับตัวเอง เราก็พยายามรักษาความหวังดี ให้ตัวเองมีความสุข
เวลาตัวเองมีความสุข มันก็เป็นธรรมชาติของจิตที่อยากให้คนอื่น
มีความสุขด้วย เช่น เรามีอาหารดีๆ น้อยคนที่จะไม่นึกถึงผู้อื่น
ก็อยากแบ่งให้เขา เรามีความสุข ก็อยากให้ผู้อื่นมีความสุข
เวลาเราเมตตาตัวเอง ทำให้ตัวเองมีความสุข
ก็เป็นธรรมชาติของจิตใจอยากให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

เวลาเราเห็นผู้อื่นเขาทำไม่ดี
เราก็เตือนตัวเองว่าอย่าทำอย่างนั้นเลย ก็เป็นการทำดีต่อตัวเอง
เวลาเราทำดีต่อตัวเองให้มั่นคง มันก็เป็นพื้นฐาน
อย่างน้อยเรามีความมั่นคงในความสุขอันนั้น
ถ้าดี เราอาจจะมีโอกาสได้ช่วยคนอื่น
อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้ดูแลตัวเอง

นี่เป็นเหตุให้ในบทสวดแผ่เมตตา
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข
เราให้กำลังตัวเองไว้ก่อน อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว
เป็นธรรมชาติ เพราะถ้าหากว่า เราไม่มีเงินในกระเป๋า
เราจะไปซื้อของให้คนอื่นก็ไม่ได้

เราต้องมีเมตตาธรรมสำหรับตัวเอง เพื่อพร้อมที่จะช่วยผู้อื่น
เป็นหลักธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ถ้าเรามี เราก็พอจะมีอะไรที่จะแบ่งให้เขา
แต่ถ้าเรายังไม่เมตตาตัวเอง ยังอุตส่าห์หาสิ่งที่ไม่ดีมาใส่เจ้าของ
ก็เป็นการขัดขวางความสุขของตัวเอง ความดีงามของตัวเอง
เป็นการสร้างอุปสรรคให้กับตัวเอง
มนุษย์เราส่วนมากก็เก่งในการแจกจ่ายอุปสรรค ปัญหาต่างๆ
แจกไปทั่ว โลกจึงได้เป็นอย่างนี้
เราต้องมั่นคงไว้ ตั้งอยู่ในหลักเมตตา เอื้ออารี
หวังดีต่อตัวเอง หวังดีต่อผู้อื่น

พระอาจารย์ปสันโน ภิกขุ
วัดป่าอภัยคีรี มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
(การปฏิบัติธรรม จ.อุบลราชธานี วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO