นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 3:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ทุกอิริยาบท
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 21 ก.ค. 2022 5:13 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
#นักปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม_ต้องทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเสมอ

"... นักปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมอันสูงส่งอันเลิศอันประเสริฐ
ต้องทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเสมอ อย่าไปเข้าใจว่าตนรู้ตนฉลาด
นั่นแหละคือเรื่องกิเลสมันชอบทะนงตน ถ้าเป็นเรื่องของธรรม
มันจะไม่มี ถ้ามันปรากฏมีเขี้ยวมีงาขึ้นมาตรงไหน
มันสำคัญตนว่าอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นละมันขึ้นมาแล้ว ให้ทราบอย่างนั้น ..."
#สติปัญญาคอยจับมัน_อย่าปล่อยให้มันเหยียบหัวใจเราอย่างง่ายดาย"

#โอวาทธรรม
#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโน







“คนเฮาสิดีกะเพราะปาก สิเสียก็เพราะปาก
หลวงปู่ผางเพิ้นจึงย้ำหนักหนา รักษาสัจจะให้ดีท้าวเอ้ย! “

#พระราชภาวนาวชิรคุณ
#หลวงปู่จื่อ_พันธมุตโต







#สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว

พูดถึงแผ่นดินไหว มีใครรู้บ้างว่า แผ่นดินไหวเพราะสาเหตุอะไร ?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงเรื่องแผ่นดินไหวเอาไว้ อยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก พญามารมาอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปรินิพพานได้แล้ว เพราะว่าครั้งแรกที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พญามารก็ออกมาขวางหน้า บอกว่าอีก ๗ วัน สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราชจะมาถึงท่านแล้ว จะออกบวชไปทำอะไร ?

เจ้าชายสิทธัตถะตรัสว่า เพื่อความพ้นทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่าว่าแต่สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิเลย ต่อให้เป็นทิพยสมบัติขององค์อมรินทร์ ท่านก็ไม่พึงปรารถนา พญามารเห็นว่าห้ามไม่ได้ก็หลีกไป

พอวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พญามารยกพหลพลโยธามาอย่างกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย จะขู่ให้พระองค์เลิกปฏิบัติ ก็ไม่สำเร็จอีก พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พญามารก็มาทูลอาราธนาให้เข้าพระนิพพาน "ในเมื่อท่านตรัสรู้ตามที่ประสงค์แล้ว ก็ควรจะปรินิพพานได้"

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามพญามารว่า ทำไมตอนนั้นถึงตั้งใจไปขวางพระพุทธเจ้าขนาดนั้น ? พญามารในตอนนี้ไม่ใช่พญามารแล้ว ท่านบอกว่า ตอนนั้นกลัวเพราะว่ารู้ว่าเพื่อนกัน ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะมีความมุ่งมั่นมาก เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว เดี๋ยวจะเทศน์โปรดคนไปหมด ไม่เหลือบริวารไว้ให้ตัวท่านเองบ้าง แล้วท่านสรุปว่าตอนนั้นคิดโง่ไปหน่อย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ ดูก่อน..มารผู้เป็นบาป เธอจงอย่าขวนขวายเลย ถ้าหากตถาคตประกาศศาสนาแล้ว บริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถปฏิบัติธรรมได้คล่องแคล่วชำนาญ สามารถแก้ไขปรัปวาท คือคำที่บุคคลกล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้ มีความเชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ตถาคตย่อมเข้าสู่พระนิพพานเอง"

นี่พระพุทธองค์ท่านตั้งความหวังไว้ขนาดนั้น ไหวไหม ? ถึงขนาดว่าถ้าคนอื่นกล่าวตู่พระพุทธศาสนา เราจะต้องแก้ต่างได้ทุกข้อหา ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาแน่

พอมาพรรษาสุดท้าย พญามารถึงได้มาทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้ก่อนแล้ว พยายามแสดงนิมิตโอภาสถึง ๑๖ ครั้งต่อพระอานนท์ โดยทรงเปรียบเทียบไปต่าง ๆ นานา อย่างเช่นว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สมมติว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็ใกล้จะหัก ไม้ก็ผุ ตัวเกวียนก็คลอนแคลน แทบไม่สามารถที่จะใช้งานไหวแล้ว ควรจะซ่อมดีหรือควรจะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ?"

ต้องบอกว่าด้วยกรรมบันดาล ทำให้พระอานนท์ทูลตอบว่า ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงรับอาราธนาพญามารว่า ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพานที่สาลวโนทยาน แห่งเมืองกุสินารา

ทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีก ๓ เดือนจะปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว พระอานนท์ท่านมีความดีว่า ถ้าสงสัยท่านจะถาม อยู่ ๆ แผ่นดินไหวโครมครืนขึ้นมาเฉย ๆ ก็เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แผ่นดินไหวด้วยเหตุใด ?

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวมีทั้งหมด ๘ ประการด้วยกัน

ประการที่ ๑ คือลมกำเริบ คำว่าลมกำเริบนี่เป็นภาษาโบราณ ถ้าเอาอย่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ ภายใต้โลกของเรานั้นมีแม็กม่า คือหินหลอมเหลว ซึ่งจะเดือดคลั่ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ความร้อนที่เดือดนี้พอมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะระบายได้ ก็จะทำให้เกิดแรงดันที่สามารถจะดันเอาพื้นโลกซึ่งไม่ได้ติดเป็นชิ้นเดียว แต่ว่าแยกเป็นชิ้น ๆ ให้เคลื่อนที่ไปได้

พอเคลื่อนที่ครั้งหนึ่งก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง แล้วแต่ว่าการเคลื่อนที่นั้นหนักเบาเท่าไร ซึ่งสมัยปัจจุบันนี้เขาสามารถคิดมาตรวัดเป็นริกเตอร์สเกลได้แล้ว สูงสุดในมนุษยชาติที่วัดได้ก็คือล่าสุดนี้ ๙ ริกเตอร์สเกล สร้างความวิบัติให้กับทางประเทศญี่ปุ่นอย่างแสนสาหัส จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีกลับมาได้

ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล คือบรรดาท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อใดก็ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอุปคุตเถระ

พระอุปคุตเถระได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มาป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ในชมพูทวีป ไม่ให้งานล่มเพราะการกลั่นแกล้งของพญามาร พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นรูปร่างพระอุปคุตแล้วไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าจะต้องมีหุ่นแบบอาร์โนลด์ ชวาสเซเนกเกอร์ ต้องล่ำสันสูงใหญ่หน่อย ถึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน

ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชคิดผิด เห็นว่าพระอุปคุตเถระเป็นหลวงตาผอม ๆ จนกระทั่งบางคนเรียกว่า "กีสนาคอุปคุต" กีสะ แปลว่าผอม อย่างนางกีสาโคตมี ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลโคตมะที่ผอมกะหร่อง เหตุที่พระอุปคุตเถระผอมไปหน่อย ก็เพราะว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจะได้ฉันข้าว

พระเจ้าอโศกมหาราชทดสอบด้วยการปล่อยช้างตกมันให้ไปไล่เหยียบท่าน แต่ปรากฏว่าแค่พระอุปคุตเถระหันไปมอง ช้างก็ยืนแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ได้

พอทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการลอง เพื่อทดสอบดูว่าท่านมีฤทธิ์จริงหรือไม่ พระอุปคุตเถระก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดสมกับเป็นพระมหากษัตริย์จริง ๆ กล่าวว่า แล้วโยมจะเชื่อได้อย่างไร ? เพราะอาจจะบังเอิญเกิดแผ่นดินไหวตอนนั้นพอดี

พระอุปคุตเถระบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมหาบพิตรจงเอาน้ำมา ๑ ขัน อาตมภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว โดยให้น้ำในขันนั้นสั่นสะเทือนเพียงครึ่งขันเท่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชก็อยากทดสอบ ท่านตักน้ำมา ๑ ขันวางไว้ พระอุปคุตเถระก็บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว สะเทือนไปถึงน้ำรองปฐพี ก็คือสะเทือนถึงด้านล่างใต้โลก ปกติแผ่นดินเราหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แต่น้ำในขันสะเทือนเพียงซีกเดียวจริง ๆ

พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับว่าแผ่นดินไหวนั้นเกิดจากการบันดาลของพระอุปคุตเถระจริง ๆ แล้วพระอุปคุตเถระก็สามารถที่จะป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์นั้นให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทรมานจนพญามารยอมกลับใจเป็นสัมมาทิฏฐิได้ นี่เป็นสาเหตุที่ ๒ ของแผ่นดินไหว ก็คือผู้มีฤทธิ์ได้บันดาลให้เป็นไป

ประการที่ ๓ นั้น ท่านบอกว่าเกิดจากพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์พระพุทธมารดา

ประการที่ ๔ พระโพธิสัตว์ประสูติ

ประการที่ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้วนะ ถ้าตรัสรู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า

ประการที่ ๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ท่านใช้คำว่า ธมฺมจกฺกปฺปวตฺนํ ยังธรรมจักรให้เป็นไป

ประการที่ ๗ ท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร

ประการที่ ๘ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน

พระอานนท์พอได้ยินใจหายแวบเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงร่างกายของพระองค์ว่าจะไปไม่รอดแล้ว ไปไม่ไหวแล้วมาตลอดทาง พระอานนท์ก็ไม่ได้เฉลียวใจทูลอาราธนาไว้ พอได้ยินดังนั้นทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้วแน่นอน ก็รีบกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ท่านดำรงพระวรกายอยู่ต่อไปให้ได้ถึง ๑ กัป

พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะว่าพระองค์ท่านรับอาราธนาพญามารไปแล้วว่าอีก ๓ เดือนถัดจากนี้จะปรินิพพานที่สาลวโนทยานของกรุงกุสินารา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ณ บ้านวิริยบารมี







"ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเอง
เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ"

หลวงปู่ไม อินทสิริ







“ถ้าปฏิบัติธรรมแล้ว ยังไม่มีเมตตา
ไม่รู้จักให้อภัย หรือไม่รู้จักมองคนในแง่ดี
นั่นแปลว่า คุณยังไม่มีธรรมจริงๆ”

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล







พระพุทธองค์ ท่านกล่าวว่าอำนาจฝ่ายต่ำ หรือพูดตามภาษาธรรมะก็เรียกว่า "กิเลส" ซึ่งเป็นมลทินอันหนึ่งที่มาโอบอาบจิตใจของเราให้หมดแสงหมดรัศมี จึงเป็นเหตุให้มีความคิดไปในทางผิด รู้ไปในทางผิด เห็นไปในทางผิด จึงเป็นเหตุให้นำกาย นำวาจาและจิตใจไปในด้านผิด ๆ ถูก ๆ

แต่โดยมากก็ไปในทางผิด ผิดน้อยผิดมากไปตามเรื่อง สิ่งเหล่านี้มันทำลายตัวเอง คล้าย ๆ กับเหล็ก สิ่งที่จะมาทำลายเหล็กไม่มีสิ่งอื่น นอกจากสนิมเหล็กซึ่งเกิดขึ้นในเหล็กนั้นเอง

อันนี้ฉันใดก็ดี เรื่องกายจิตใจของเรานี้ ก็ทำนองเดียวกัน สิ่งที่จะมาทำลายจิตใจก็ได้แก่ มลทิน หรือ กิเลส ซึ่งเป็นของเกิดขึ้นจากจิตใจของเรานั้นเอง

หลวงปู่ศรี มหาวีโร








#ลิ่มที่แทงใจเราอยู่

กิเลสตัณหาความอยากของเรา ตลอดถึงคนที่เราหลงรัก อยากเข้าไปคุยด้วยฯลฯ เปรียบได้ประดุจลิ่มที่ทิ่มแทงใจอยู่ …
#เมื่อจิตใจของเราโดนลิ่มทิ่มแทงอยู่ #ย่อมไม่อาจภาวนาให้จิตสงบได้ …

การภาวนาในขั้นเริ่มแรก “สติ” จะคุมจิตได้ดี ก็ต่อเมื่อเราถอดลิ่มเก่าๆ ที่ฝังลึก อยู่ในจิตใจมานานหลายภพหลายชาติออกให้ได้ก่อน เป็นลำดับแรก


#ลำดับต่อไป_ก็ให้นำลิ่มใหม่ตอกเข้าไปแทนที่ลิ่มเก่า ..

ลิ่มใหม่คืออะไร ? ลิ่มใหม่ก็คือ คำบริกรรม “พุทโธ” ที่มีสติไม่เผลอ นี่แหละคือลิ่มตัวใหม่ …ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการภาวนา แบบตอก ๆ ย้ำ ๆ อยู่ที่เดิมทุกวันไม่เลิก


#เมื่อภาวนาตอก “#พุทโธ” #เป็นประจำอยู่ทุกอิริยาบถ

ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จิตใจของเราจะสงบเย็นเป็นสมาธิ และได้เป็นพระอริยะบุคคลผู้มีตาทิพย์สมปรารถนา.

#โอวาทธรรมคำสอน
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ…


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO