"ในการดำเนินชีวิตของเรา จะดำเนินไปในทางโลกหรือทางธรรม ทุกคนต่างต้องการเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดทีเดียว แต่ไม่ใช่จะเป็นไปตามความต้องการของเราเสียหมดทุกอย่าง ทั้งๆที่มีองค์ประกอบทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่บางทีมันก็เป็นไปไม่ได้ก็มี นี้จึงว่าขึ้นอยู่กับบุญวาสนา"
ส่วนหนึ่งในธรรมเทศนา หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ คัดลอกจากหนังสือ ทางแห่งชีวิต
…ไม่มีใครที่จะมาเสกมาเป่า ให้เราได้รับความสุขความเจริญ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถเสกเป่า ให้พวกเราเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความสุข ให้พวกเราบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ด้วยการเสก ด้วยการเป่า
.พระพุทธเจ้าทรงทำได้เพียงอย่างเดียว คือ..ชี้บอกทางที่จะนำพาเรา ไปสู่มรรคผลนิพพาน นำพาเราไปสู่ความสุขความเจริญ นำพาเราไปสู่การสิ้นสุดของ ความทุกข์ และ ของการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น พระพุทธเจ้าทำได้เพียงเท่านี้ . …………………………………………… . พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
#สำเหนียกในการเป็นบรรพชิต
"การเคลื่อนไหวในอิริยาบถใดๆ ต้องรู้ว่าเราเป็นบรรพชิต การสำเหนียกในการเป็นบรรพชิตอันนี้เป็นเครื่องประดับบรรพชิตให้มีความงดงาม เป็นการปฏิบัติที่จะเพิ่มพูนพระศาสนา และเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของชาวโลกทั้งหลายให้หันมาสนใจในข้อปฏิบัติ หันหน้ามาสนใจในพระศาสนากัน
เวลาดูลูกหมูลูกหมามันคะนองมันมีความน่ารัก หากว่าบรรพชิตมีการคะนองอย่างลูกหมูลูกหมา อันนั้นมันเป็นการทำลายผู้ที่มีศรัทธาแล้วให้เสื่อมให้คลาย ผู้ไม่มีศรัทธาในพระศาสนาก็จะไม่เกิดศรัทธาขึ้น
พากันระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ให้มาก เรื่องเหล่านี้เป็นของเล็กๆ น้อยๆ แต่ทีนี้ในเมื่อมันมากขึ้น มันก็กลายเป็นความเสื่อมเสียมากขึ้น"
..... หลวงปู่แบน ธนากโร
“พระธรรมเทศนาเรื่องญาณสมาบัติ” พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป เรื่องฌานสมบัตินี้ ครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบัน ก็ยังมี บางท่านที่สามารถทรงได้ เหมือนกับในสมัยพุทธกาล
แต่ทว่าจำนวนลดน้อยลงตามกำลังวาสนา
หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นอีกรูปหนึ่งที่เด่นในด้านนี้
หลวงปู่สิมได้ยินหลวงปู่ตื้อเล่าให้ฟังว่า
หลวงปู่ตื้อเคยเข้าฌานไปดูศพพระมหากัสสปะเถระ ซึ่งตามตำนานว่ายังคงเก็บรักษาศพไว้ ในแถบภูเขาหิมาลัย
ก่อนที่พระมหากัสสปะจะเข้าสู่นิพพาน ท่านได้อธิษฐานให้ภูเขาปิดล้อมศพของท่านไว้ ๓ ด้าน เพื่อรอเวลาให้พระศรีอริยเมตไตรยฯ
เนื่องจากเคยมีบุพกรรมต่อกันมา
เรื่องบุพกรรมระหว่างพระมหากัสสปะกับพระศรีอริยเมตไตรยฯ มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งพระมหากัสสปะท่านเกิดเป็นช้าง
ส่วนพระศรีอริยเมตไตรยฯเกิดเป็นนายหัตถาจารย์ คือนายควาญช้าง ช้างตัวนี้เป็นช้างที่ดี และรักเจ้าของมาก
ถ้าเจ้าของชี้ให้ตายก็ตาย ชี้ให้เป็นก็เป็น ชื่อเสียงของช้างที่มีความจงรักภักดีต่อควาญช้างนี้ ดังลั่นไปทั่วประเทศ
วันหนึ่งพระราชารับสั่งให้นายควาญช้างนั้นเข้าเฝ้า และถามว่า “ ไหนว่าช้างของเธอนั้นดีทุกสิ่งทุกอย่าง บอกให้เป็นก็ได้ บอกให้ตายก็ได้ ใช้ยังไงได้หมดใช่ไหม “
ควาญช้างตอบว่า “ ใช่พระเจ้าข้า “
พระราชาเห็นนายควาญช้างหลงอุบายของพระองค์แล้ว ก็ตรัสว่า “ ถ้าอย่างนั้น เราจะให้เขาเผาเหล็กแดงให้ช้างจับได้ไหม “
นายควาญช้างตอบว่า “ ได้พระเจ้าข้า “
พระราชาตรัสว่า “ ถ้าหากช้างไม่จับ เธอก็ต้องตายแทนช้างนะ “
นายควาญช้างได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ตัวว่าได้เสียทีหลงกลแก่พระราชาแล้ว จึงเกิดความเสียใจ และสงสารช้างมาก
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เลยคิดว่าเราจะกลับไปพูดกับช้างว่าอย่าได้จับเลย เรายินดีตายแทนช้าง
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเรา ระหว่างนั้นพระราชาใจอำมหิต ได้สั่งให้คนเผาเหล็กแดงเตรียมรอไว้
เมื่อนายควาญช้างกลับไปหาช้าง จึงได้พูดเป็นเชิงปรึกษากับช้างว่า
“ คราวนี้เป็นกรรมอะไรก็ไม่รู้ พระราชารับสั่งให้เราเข้าเฝ้า ถามถึงเรื่องช้างว่าเป็นยังไง ได้ยินว่าช้างของเธอเป็นช้างดิบช้างดี ใช้ให้เป็นก็เป็น ใช้ให้ตายก็ตาย ใช้ยังไงได้หมด
ว่ายังนั้นใช่ไหม ก็ได้ตอบไปแล้วว่าใช่ แล้วพระราชาก็รับสั่งถามว่า ถ่าให้ช้างจับเหล็กแดง ช้างจะจับไหม เราก็ทูลแล้วว่าจับได้ ช้างจับแน่ๆ
สั่งอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย แต่ครั้งนี้เราขอเธออย่าได้จับท่อนเหล็กแดงเลย
เรายินดีที่จะรับโทษจากพระราชาเอง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะเราไปหลงกลพระราชา ขอให้ช้างพิจารณาดู “
พอถึงเวลา นายควาญช้างได้นำช้างมาเฝ้าพระราชา
พอช้างฟังพระราชาถามแล้ว ก็จับเหล็กแดงทันที นายควาญช้างเลยรอดตาย นั่นล่ะ
พระศรีอริยเมตไตรยฯ คือนายควาญช้าง ช้าง คือพระมหากัสสปะเถระ พระราชา คือพระเทวทัต
เพราะฉะนั้นกรรมจึงเกี่ยวเนื่องกัน จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ศพของพระมหากัสสปะ ก็ยังคงรอพระศรีอริยเมตไตรยฯ อยู่
หลวงปู่ตื้ออยากเห็นศพพระมหากัสสปะ จึงเข้าฌานไปดูถึงเนปาล ท่านไปดู ๒ ครั้ง
เพราะครั้งแรกเทวดาที่รักษาในห้อง หรือภูเขาที่เก็บศพ เขาไม่เปิดประตูให้
พอไปครั้งที่ ๒ นี้ หลวงปู่ตื้อไปขู่เทวดาว่า
“ ไม่รู้จักตื้อซะแล้ว “
เทวดาเกรงอำนาจของหลวงปู่ตื้อ จึงต้องเปิดประตูให้เข้าไปราบศพพระมหากัสสปะ
หลวงปู่ตื้อ เล่าให้ฟังว่า
“ ในห้องนั้นมีแสงสว่างเรืองรอง แต่ไม่เห็นมีดวงไฟสักดวง
ท่านว่า ใครอยากพิสูจน์ให้เห็นจริง ก็ให้เร่งภาวนาเข้า เอาให้ได้ให้ถึง ภาวนาเองเห็นเอง ฟังคนอื่นเล่า มันไม่สิ้นสงสัย “
หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
"การให้ธรรมเป็นทานคือการให้อันยอด เพราะเป็นการช่วย 'หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้' ใครมีส่วนร่วมในการส่งเสริม ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ย่อมได้บุญอย่างยิ่ง"
พระอาจารย์ชยสาโร #พระธรรมพัชรญาณมุนี
สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี ปากช่อง
…ไม่ต้องไปเที่ยวบอกคนนั้นคนนี้หรอกว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ ถนอมตนอยู่ไปตามที่มี เอาความดีเป็นสิ่งไม่ตายใครทำก็ได้ “คนดีเขาไม่ไปประกาศตนหรอกว่าตัวเองดี”
โอวาทธรรมหลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล
1- ให้มีสติอยู่อย่างนั้น เค้าเรียกปฏิบัติธรรม
2- โกรธก็แค่นั้น รักก็แค่นั้น มีแต่จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ใช่ของดีเลย จะเอามาทำไมให้มันทุกข์ล่ะ
หลสงพ่อฉลวย อาภาธโร
#ไม่เอาอะไรสักอย่าง
ถ้าจะเอาบุญเอาบาปก็ยังเหลืออยู่ มันคู่กัน ปล่อยทั้ง ๒ อย่างก็หมดสิ้นไป ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกต่อไป
หลวงปู่แสง ญาณวโร
วันคืนยืนเดินนั่งนอนมีแต่การดูหัวใจของตน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งเหตุทั้งหลาย
ส่วนมากตัวเหตุคือสมุทัยมันเกิดที่ใจ นอกนั้นยังมีเครื่องเสริมให้เกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ มีจำนวนมากมาย เรียกว่ารอบตัวของเรานี้ มีแต่ทางไหลเข้ามาแห่งกิเลสทั้งหลาย
ตากระทบรูป ถ้าสติไม่มีก็เป็นไปเพื่อกิเลส หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรที่เป็นคู่เคียงแห่งกันและกัน เช่น เสียง กลิ่น เป็นต้น มันก็เป็นความหมายไปเพื่อกิเลสทั้งนั้น นี่เรื่องของข้าศึกมีอยู่รอบตัว
แม้จิตนั้นแลจะเป็นผู้ที่คิดผู้ปรุงผู้แต่งผู้ให้ความสำคัญมั่นหมาย เพื่อให้กิเลสทั้งหลายกำเริบขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียง เครื่องสัมผัสทั้งหลายเหล่านั้นมาเป็นตัวภัยเสียเอง แต่เป็นเรื่องของจิตที่ได้พบได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วมาวาดภาพขึ้น ตีความสำคัญมั่นหมายออกไปกว้างขวางลึกซึ้งด้วยความเป็นสมุทัย แล้วกลายเข้ามาเป็นทุกข์ เผาลนจิตใจของตนเอง ก็คือจิตใจของเรานี้ ที่คิดออกไปด้วยความไม่มีสติ
ไม่ใช่สิ่งอื่นใดมาเป็นข้าศึกต่อเรา แต่เป็นเพราะจิตไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดแล้วเกิดกิเลสขึ้น ท่านจึงให้ระมัดระวัง ถ้าไม่ควรจะได้สัมผัสสัมพันธ์ก็อย่าไปสัมผัสสัมพันธ์ คือ ไม่ควรเห็น อย่าเห็นอย่าดู ไม่ควรฟังอย่าฟัง
ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งสอนพระอานนท์ ตอนที่พระอานนท์ขึ้นทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การปฏิบัติต่อมาตุคาม นี่เป็นต้นนะ จะให้ปฏิบัติอย่างไร คำว่ามาตุคามใครก็ทราบแล้ว อยู่ในสถานที่นี่ ไม่จำเป็นต้องอธิบายออกไป
เรายกตัวอย่างเพื่อให้ตีความหมายไปกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นภัย ว่าไม่เห็นเสียเลยละดีอานนท์ นั่นฟังซิ คือ สิ่งที่เป็นภัยใด ๆ ก็ตาม เมื่อเห็นเข้าไปแล้วจะเป็นภัย ให้พึงสำรวมเสียก่อน ก่อนที่จะเห็นจะดู ด้วยความไม่ดูไม่เห็นนั้นแลดี อานนท์
นั่น อันนี้ดีนะ หากจำเป็นจะได้เห็นได้ยินจะทำยังไง อย่าพูด คืออย่าสำคัญอย่าครุ่นคิดอย่าติดใจ ในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน อย่าถือมาเป็นอารมณ์ ให้พยายามตัดเสมอ ๆ กับสิ่งนั้น ๆ ที่จะเป็นเครื่องเกี่ยวโยงเข้ามาให้เป็นข้าศึกต่อจิตใจ
นี่ละเราเทียบเพียง ๒ ประโยคเท่านี้ ก็ให้พึงทราบเอาในเรื่องทั้งหลายที่ไม่ควรแก่การบำเพ็ญของเรา มันเป็นสิ่งที่จะมากำจัดการบำเพ็ญนี้ให้ด้อยหรือให้เสียไป จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องความเพียรในสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนไปเสีย จึงต้องได้ระมัดระวัง
นี่ละที่ท่านว่าให้ระมัดระวัง ตาเวลากระทบรูป หูเวลากระทบเสียง สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้พึงระมัดระวังด้วยสติ หากไม่จำเป็น ก็ไม่ควรที่จะเห็น จะดู จะฟัง จะสัมผัสถูกต้องสิ่งเหล่านั้น นอกจากมันจำเป็น
ฟังแต่คำว่าจำเป็นนั่นเถอะ 'หากจำเป็นจะได้เห็นเล่าพระเจ้าข้า' ดังพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า
'หากจำเป็นจะได้เห็นได้ดู อย่าพูด'
แน่ะ ท่านมีทางเลี่ยงไปอีก 'หากจำเป็นที่จะพูดจะทำอย่างไรล่ะ'
'ให้ตั้งสติให้ดี อย่าให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา' ท่านว่า นั่นฟังสิ
สิ่งทั้งหลายก็เหมือนกันเช่นนั้น กิเลสนี้มันมีประเภทต่าง ๆ กัน แต่สิ่งที่กล่าวมายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างตะกี้นี้ เป็นประเภทที่หนัก เป็นประเภทที่ถือเป็นข้าศึกจริง ๆ สำหรับนักบวชที่ประพฤติ
แม่เหล็กก็ดูดเอาจนกระทั่งถึงตัวกลิ้งไป ไม่รู้สึกตัวเลย ถลอกปอกเปิกไปก็ไม่รู้ ถูกมันดูดเอา จึงต้องระมัดระวังให้มาก.
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
|