นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 4:49 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความงดงาม
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 18 ก.ค. 2022 5:15 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4540
"ในการดำเนินชีวิตของเรา จะดำเนินไปในทางโลกหรือทางธรรม ทุกคนต่างต้องการเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดทีเดียว แต่ไม่ใช่จะเป็นไปตามความต้องการของเราเสียหมดทุกอย่าง ทั้งๆที่มีองค์ประกอบทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่บางทีมันก็เป็นไปไม่ได้ก็มี นี้จึงว่าขึ้นอยู่กับบุญวาสนา"

ส่วนหนึ่งในธรรมเทศนา หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์
คัดลอกจากหนังสือ ทางแห่งชีวิต







…ไม่มีใครที่จะมาเสกมาเป่า
ให้เราได้รับความสุขความเจริญ
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถเสกเป่า
ให้พวกเราเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความสุข
ให้พวกเราบรรลุมรรคผลนิพพานได้
ด้วยการเสก ด้วยการเป่า

.พระพุทธเจ้าทรงทำได้เพียงอย่างเดียว
คือ..ชี้บอกทางที่จะนำพาเรา
ไปสู่มรรคผลนิพพาน
นำพาเราไปสู่ความสุขความเจริญ
นำพาเราไปสู่การสิ้นสุดของ ความทุกข์
และ ของการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น พระพุทธเจ้าทำได้เพียงเท่านี้ .
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗






#สำเหนียกในการเป็นบรรพชิต

"การเคลื่อนไหวในอิริยาบถใดๆ ต้องรู้ว่าเราเป็นบรรพชิต การสำเหนียกในการเป็นบรรพชิตอันนี้เป็นเครื่องประดับบรรพชิตให้มีความงดงาม เป็นการปฏิบัติที่จะเพิ่มพูนพระศาสนา และเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของชาวโลกทั้งหลายให้หันมาสนใจในข้อปฏิบัติ หันหน้ามาสนใจในพระศาสนากัน

เวลาดูลูกหมูลูกหมามันคะนองมันมีความน่ารัก หากว่าบรรพชิตมีการคะนองอย่างลูกหมูลูกหมา อันนั้นมันเป็นการทำลายผู้ที่มีศรัทธาแล้วให้เสื่อมให้คลาย ผู้ไม่มีศรัทธาในพระศาสนาก็จะไม่เกิดศรัทธาขึ้น

พากันระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ให้มาก เรื่องเหล่านี้เป็นของเล็กๆ น้อยๆ แต่ทีนี้ในเมื่อมันมากขึ้น มันก็กลายเป็นความเสื่อมเสียมากขึ้น"

..... หลวงปู่แบน ธนากโร







“พระธรรมเทศนาเรื่องญาณสมาบัติ”
พระอาจารย์เปลี่ยน
ปัญญาปทีโป
เรื่องฌานสมบัตินี้
ครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบัน
ก็ยังมี บางท่านที่สามารถทรงได้
เหมือนกับในสมัยพุทธกาล

แต่ทว่าจำนวนลดน้อยลงตามกำลังวาสนา

หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นอีกรูปหนึ่งที่เด่นในด้านนี้

หลวงปู่สิมได้ยินหลวงปู่ตื้อเล่าให้ฟังว่า

หลวงปู่ตื้อเคยเข้าฌานไปดูศพพระมหากัสสปะเถระ
ซึ่งตามตำนานว่ายังคงเก็บรักษาศพไว้
ในแถบภูเขาหิมาลัย

ก่อนที่พระมหากัสสปะจะเข้าสู่นิพพาน
ท่านได้อธิษฐานให้ภูเขาปิดล้อมศพของท่านไว้ ๓ ด้าน
เพื่อรอเวลาให้พระศรีอริยเมตไตรยฯ

เนื่องจากเคยมีบุพกรรมต่อกันมา

เรื่องบุพกรรมระหว่างพระมหากัสสปะกับพระศรีอริยเมตไตรยฯ
มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งพระมหากัสสปะท่านเกิดเป็นช้าง

ส่วนพระศรีอริยเมตไตรยฯเกิดเป็นนายหัตถาจารย์
คือนายควาญช้าง ช้างตัวนี้เป็นช้างที่ดี
และรักเจ้าของมาก

ถ้าเจ้าของชี้ให้ตายก็ตาย ชี้ให้เป็นก็เป็น
ชื่อเสียงของช้างที่มีความจงรักภักดีต่อควาญช้างนี้
ดังลั่นไปทั่วประเทศ

วันหนึ่งพระราชารับสั่งให้นายควาญช้างนั้นเข้าเฝ้า
และถามว่า “ ไหนว่าช้างของเธอนั้นดีทุกสิ่งทุกอย่าง
บอกให้เป็นก็ได้ บอกให้ตายก็ได้ ใช้ยังไงได้หมดใช่ไหม “

ควาญช้างตอบว่า “ ใช่พระเจ้าข้า “

พระราชาเห็นนายควาญช้างหลงอุบายของพระองค์แล้ว
ก็ตรัสว่า “ ถ้าอย่างนั้น เราจะให้เขาเผาเหล็กแดงให้ช้างจับได้ไหม “

นายควาญช้างตอบว่า “ ได้พระเจ้าข้า “

พระราชาตรัสว่า “ ถ้าหากช้างไม่จับ เธอก็ต้องตายแทนช้างนะ “

นายควาญช้างได้ยินเช่นนั้น
ก็รู้ตัวว่าได้เสียทีหลงกลแก่พระราชาแล้ว
จึงเกิดความเสียใจ และสงสารช้างมาก

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เลยคิดว่าเราจะกลับไปพูดกับช้างว่าอย่าได้จับเลย
เรายินดีตายแทนช้าง

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเรา
ระหว่างนั้นพระราชาใจอำมหิต
ได้สั่งให้คนเผาเหล็กแดงเตรียมรอไว้

เมื่อนายควาญช้างกลับไปหาช้าง
จึงได้พูดเป็นเชิงปรึกษากับช้างว่า

“ คราวนี้เป็นกรรมอะไรก็ไม่รู้ พระราชารับสั่งให้เราเข้าเฝ้า
ถามถึงเรื่องช้างว่าเป็นยังไง ได้ยินว่าช้างของเธอเป็นช้างดิบช้างดี
ใช้ให้เป็นก็เป็น ใช้ให้ตายก็ตาย ใช้ยังไงได้หมด

ว่ายังนั้นใช่ไหม ก็ได้ตอบไปแล้วว่าใช่
แล้วพระราชาก็รับสั่งถามว่า ถ่าให้ช้างจับเหล็กแดง
ช้างจะจับไหม เราก็ทูลแล้วว่าจับได้ ช้างจับแน่ๆ

สั่งอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย
แต่ครั้งนี้เราขอเธออย่าได้จับท่อนเหล็กแดงเลย

เรายินดีที่จะรับโทษจากพระราชาเอง
เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะเราไปหลงกลพระราชา
ขอให้ช้างพิจารณาดู “

พอถึงเวลา นายควาญช้างได้นำช้างมาเฝ้าพระราชา

พอช้างฟังพระราชาถามแล้ว ก็จับเหล็กแดงทันที
นายควาญช้างเลยรอดตาย นั่นล่ะ

พระศรีอริยเมตไตรยฯ คือนายควาญช้าง
ช้าง คือพระมหากัสสปะเถระ พระราชา คือพระเทวทัต

เพราะฉะนั้นกรรมจึงเกี่ยวเนื่องกัน
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ศพของพระมหากัสสปะ
ก็ยังคงรอพระศรีอริยเมตไตรยฯ อยู่

หลวงปู่ตื้ออยากเห็นศพพระมหากัสสปะ
จึงเข้าฌานไปดูถึงเนปาล ท่านไปดู ๒ ครั้ง

เพราะครั้งแรกเทวดาที่รักษาในห้อง
หรือภูเขาที่เก็บศพ เขาไม่เปิดประตูให้

พอไปครั้งที่ ๒ นี้ หลวงปู่ตื้อไปขู่เทวดาว่า

“ ไม่รู้จักตื้อซะแล้ว “

เทวดาเกรงอำนาจของหลวงปู่ตื้อ
จึงต้องเปิดประตูให้เข้าไปราบศพพระมหากัสสปะ

หลวงปู่ตื้อ เล่าให้ฟังว่า

“ ในห้องนั้นมีแสงสว่างเรืองรอง แต่ไม่เห็นมีดวงไฟสักดวง

ท่านว่า ใครอยากพิสูจน์ให้เห็นจริง
ก็ให้เร่งภาวนาเข้า เอาให้ได้ให้ถึง ภาวนาเองเห็นเอง
ฟังคนอื่นเล่า มันไม่สิ้นสงสัย “

หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป







"การให้ธรรมเป็นทานคือการให้อันยอด เพราะเป็นการช่วย 'หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้' ใครมีส่วนร่วมในการส่งเสริม ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ย่อมได้บุญอย่างยิ่ง"

พระอาจารย์ชยสาโร
#พระธรรมพัชรญาณมุนี

สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี ปากช่อง







…ไม่ต้องไปเที่ยวบอกคนนั้นคนนี้หรอกว่าเป็นศิษย์หลวงปู่
ถนอมตนอยู่ไปตามที่มี เอาความดีเป็นสิ่งไม่ตายใครทำก็ได้
“คนดีเขาไม่ไปประกาศตนหรอกว่าตัวเองดี”

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล








1- ให้มีสติอยู่อย่างนั้น เค้าเรียกปฏิบัติธรรม

2- โกรธก็แค่นั้น รักก็แค่นั้น มีแต่จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ใช่ของดีเลย จะเอามาทำไมให้มันทุกข์ล่ะ

หลสงพ่อฉลวย อาภาธโร







#ไม่เอาอะไรสักอย่าง

ถ้าจะเอาบุญเอาบาปก็ยังเหลืออยู่ มันคู่กัน ปล่อยทั้ง ๒ อย่างก็หมดสิ้นไป ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกต่อไป

หลวงปู่แสง ญาณวโร







วันคืนยืนเดินนั่งนอนมีแต่การดูหัวใจของตน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งเหตุทั้งหลาย

ส่วนมากตัวเหตุคือสมุทัยมันเกิดที่ใจ นอกนั้นยังมีเครื่องเสริมให้เกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ มีจำนวนมากมาย เรียกว่ารอบตัวของเรานี้ มีแต่ทางไหลเข้ามาแห่งกิเลสทั้งหลาย

ตากระทบรูป ถ้าสติไม่มีก็เป็นไปเพื่อกิเลส หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรที่เป็นคู่เคียงแห่งกันและกัน เช่น เสียง กลิ่น เป็นต้น มันก็เป็นความหมายไปเพื่อกิเลสทั้งนั้น นี่เรื่องของข้าศึกมีอยู่รอบตัว

แม้จิตนั้นแลจะเป็นผู้ที่คิดผู้ปรุงผู้แต่งผู้ให้ความสำคัญมั่นหมาย เพื่อให้กิเลสทั้งหลายกำเริบขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง
ไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียง เครื่องสัมผัสทั้งหลายเหล่านั้นมาเป็นตัวภัยเสียเอง แต่เป็นเรื่องของจิตที่ได้พบได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วมาวาดภาพขึ้น ตีความสำคัญมั่นหมายออกไปกว้างขวางลึกซึ้งด้วยความเป็นสมุทัย แล้วกลายเข้ามาเป็นทุกข์ เผาลนจิตใจของตนเอง ก็คือจิตใจของเรานี้ ที่คิดออกไปด้วยความไม่มีสติ

ไม่ใช่สิ่งอื่นใดมาเป็นข้าศึกต่อเรา แต่เป็นเพราะจิตไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดแล้วเกิดกิเลสขึ้น ท่านจึงให้ระมัดระวัง ถ้าไม่ควรจะได้สัมผัสสัมพันธ์ก็อย่าไปสัมผัสสัมพันธ์ คือ ไม่ควรเห็น อย่าเห็นอย่าดู ไม่ควรฟังอย่าฟัง

ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งสอนพระอานนท์ ตอนที่พระอานนท์ขึ้นทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การปฏิบัติต่อมาตุคาม นี่เป็นต้นนะ จะให้ปฏิบัติอย่างไร คำว่ามาตุคามใครก็ทราบแล้ว อยู่ในสถานที่นี่ ไม่จำเป็นต้องอธิบายออกไป

เรายกตัวอย่างเพื่อให้ตีความหมายไปกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นภัย ว่าไม่เห็นเสียเลยละดีอานนท์ นั่นฟังซิ คือ สิ่งที่เป็นภัยใด ๆ ก็ตาม เมื่อเห็นเข้าไปแล้วจะเป็นภัย ให้พึงสำรวมเสียก่อน ก่อนที่จะเห็นจะดู ด้วยความไม่ดูไม่เห็นนั้นแลดี อานนท์

นั่น อันนี้ดีนะ หากจำเป็นจะได้เห็นได้ยินจะทำยังไง อย่าพูด คืออย่าสำคัญอย่าครุ่นคิดอย่าติดใจ ในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน อย่าถือมาเป็นอารมณ์ ให้พยายามตัดเสมอ ๆ กับสิ่งนั้น ๆ ที่จะเป็นเครื่องเกี่ยวโยงเข้ามาให้เป็นข้าศึกต่อจิตใจ

นี่ละเราเทียบเพียง ๒ ประโยคเท่านี้ ก็ให้พึงทราบเอาในเรื่องทั้งหลายที่ไม่ควรแก่การบำเพ็ญของเรา มันเป็นสิ่งที่จะมากำจัดการบำเพ็ญนี้ให้ด้อยหรือให้เสียไป จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องความเพียรในสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนไปเสีย จึงต้องได้ระมัดระวัง

นี่ละที่ท่านว่าให้ระมัดระวัง ตาเวลากระทบรูป หูเวลากระทบเสียง สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้พึงระมัดระวังด้วยสติ หากไม่จำเป็น ก็ไม่ควรที่จะเห็น จะดู จะฟัง จะสัมผัสถูกต้องสิ่งเหล่านั้น นอกจากมันจำเป็น

ฟังแต่คำว่าจำเป็นนั่นเถอะ 'หากจำเป็นจะได้เห็นเล่าพระเจ้าข้า' ดังพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า

'หากจำเป็นจะได้เห็นได้ดู อย่าพูด'

แน่ะ ท่านมีทางเลี่ยงไปอีก
'หากจำเป็นที่จะพูดจะทำอย่างไรล่ะ'

'ให้ตั้งสติให้ดี อย่าให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา' ท่านว่า
นั่นฟังสิ

สิ่งทั้งหลายก็เหมือนกันเช่นนั้น
กิเลสนี้มันมีประเภทต่าง ๆ กัน แต่สิ่งที่กล่าวมายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างตะกี้นี้ เป็นประเภทที่หนัก เป็นประเภทที่ถือเป็นข้าศึกจริง ๆ สำหรับนักบวชที่ประพฤติ

แม่เหล็กก็ดูดเอาจนกระทั่งถึงตัวกลิ้งไป ไม่รู้สึกตัวเลย ถลอกปอกเปิกไปก็ไม่รู้ ถูกมันดูดเอา จึงต้องระมัดระวังให้มาก.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO