นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 5:32 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ข้อสมบูรณ์
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 17 ก.ค. 2022 8:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4541
ครั้งหนึ่ง มีพระหนีออกจากวัด องค์หลวงพ่อดำริว่า
.
"มันขี้เกียจภาวนา ไม่อดทน อยู่วัดนี้พาภาวนา ชั่วโมงสองชั่วโมง อดทนไม่ได้ ก็เลยหนี ใช้ไม่ได้ ไปบิณฑบาตชาวบ้านใส่ข้าวให้ฉัน จะได้มีกำลังปฏิบัติพระธรรมคำสอน นี่มาขี้เกียจ ไม่อดทน น่าจะอ้วกออกมาให้หมด ข้าวที่ชาวบ้านเขาถวายมาให้ เสียดายข้าวที่เขาเอามาถวายทานให้"

หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล






"เข้าพรรษาแล้ว ใครตั้งใจจะทำอะไรก็อธิษฐานเอาเร่งความพากความเพียร ญาติโยมก็เหมือนกัน ตั้งใจเอาอธิษฐานคุณงามความดีในพรรษา ทำให้มันได้ รักษาให้มันได้ ถ้ายากก็ไม่ต้องทำ อยู่มันไปแบบนี้แหละไม่ต้องเจริญก้าวหน้า ถ้าขี้เกียจขี้คร้านไม่รู้จักอดทน ก็กลับมาเกิดไปเรื่อยๆนี่แหละ"
.
โอวาทตอนหนึ่งของหลวงพ่อสมบูรณ์ ในวันเข้าพรรษา






"สวดมนต์สาธยายธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ก็ภาวนาให้มากๆ การภาวนานี่ล่ะเป็นการลงไปสัมผัสไปค้นคว้าธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ จะกำจัดไฟโลภไฟโกรธไฟหลงได้ก็ด้วยธรรมะที่เกิดจากการภาวนานี่ล่ะ"
.
โอวาทตอนหนึ่งของหลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล






#ใจ_ทำไมจึงเป็นไปเพื่อความสงบไม่ได้

"... ลองสังเกตดูซิ วันหนึ่งๆ ถ้าเราตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะในหัวใจของเราแล้ว เราจะได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวัน และในขณะที่เราได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวันนั้น
... แสดงว่าเราก็มีข้อสมบูรณ์ขึ้นด้วยกัน เพราะเรามีสติ เราจึงเห็นข้อบกพร่องของเรา ความที่เรามีสตินั้นเอง เรียกว่าเราได้ความสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นลำดับๆ หรือว่าสมบูรณ์ตามขั้น
... เริ่มจะเป็นความสมบูรณ์เป็นขั้นๆขึ้นไป ต้องพยายามพิจารณาอย่างนี้ เราไม่ต้องสนใจกับเรื่องอะไรทั้งนั้น ให้สังเกตดูตั้งแต่เรื่องหัวใจที่จะปรุงเรื่องอะไรขึ้นมา
... แล้วบังคับไว้ภายในกายกับจิตนี้ ท่านว่า
สติปัฏฐาน ๔ คือฐานที่ตั้งแห่งสติ พูดง่ายๆ ถ้าจิตเราได้ตั้งอยู่กับกายนี้แล้ว สติบังคับสติไว้กับกายนี้แล้ว ปัญญาท่องเที่ยวอยู่ในสกลกายนี้แล้ว เรียกว่าได้เดินทางในองค์แห่งอริยสัจอย่างสมบูรณ์ ..."

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน







ตอนเป็นเด็ก อาตมามองตนเองว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เพราะคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องการเอาความเชื่อเป็นที่พึ่ง จึงไม่จำเป็นและไม่สำคัญ ศาสนาลัทธิต่างๆ มักสอนว่าเราควรหรือไม่ควรเป็นคนอย่างไร โดยแทบไม่แสดงวิธีการว่าจากตรงนี้ที่เราเป็นจะไปสู่ตรงนั้นที่เราควรเป็นได้อย่างไร อาตมาเห็นว่านี่เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่มองตนเองในแง่ร้าย เพราะเขายอมรับว่าเขายังไม่เป็นคนดีอย่างที่ศาสนาสอนให้เป็น

เมื่อพบคำสอนของพระพุทธองค์ อาตมาก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใช่ เพราะทรงสอนทั้งอุดมการณ์และเน้นข้อวัตรปฏิบัติที่เราต้องทำ ต้องฝึก ต้องขัดเกลาทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยมีรายละเอียดชัดเจนมากในแต่ละขั้นตอน ไม่ต้องเอาศรัทธาความเชื่อในคัมภีร์เป็นที่พึ่ง หากเอาการพัฒนาฝึกฝนตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

หากสุ่มเปิดพระสูตรเพื่อดูว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร จะพบเรื่องมรรคมากที่สุด ทรงแสดงวิธีฝึกตน วิธีพัฒนาชีวิต ธรรมชาติที่เป็นกิเลสตัวขัดขวางและคุณธรรมที่เอื้อต่อการเจริญมรรค คำสอนเน้นที่การกระทำ พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประเภทวิริยวาทเพราะให้ความสำคัญกับความเพียร

การถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สิ่งสำคัญคือการกระทำ คำพูด และความคิดของเราในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร นี่คือการวัดความเป็นพุทธมามกะ ไม่ใช่เพียงมีความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

พระอาจารย์ชยสาโร








#อานุภาพบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรทำให้เหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้าลงมาสาธุการ

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยววิเวกในเมืองพม่า ดังนี้

" ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง ประเทศพม่า วัดที่เราอยู่นั้นมันมีศาลาอยู่เพียงหลังเดียว และศาลานี้ก็มีเสาอยู่ตรงกลางต้นเดียว เราให้เขากั้นห้องเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเราเอาไว้พัก อีกห้องหนึ่งเราก็เอาไว้นอน ตรงกลางศาลา จะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอยู่หนึ่งองค์ สูงประมาณศอกหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากไม้สัก ในแต่ละวันเราก็อาศัยสวดมนต์ไหว้พระอยู่หน้าพระประธานองค์นี้แหละ คืนนั้น เรากำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ดีๆ พอ #สวดบทธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ถึงท่อนที่ว่า...จาตุมมหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ฯ ช่วงท่อนที่กำลังไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆ อยู่นั้น ปรากฏมีเสียงดังสะท้านไปทั่ว เป็นเสียงที่ดังกระหึ่มลงมาจากท้องฟ้า เสียงดังกระหึ่มนั้นทำให้ศาลาที่เรานั่งสวดมนต์ไหว้พระอยู่นั้นเกิดการสั่น ไหวขึ้นมา เสียงศาลามันลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ โยกไหวไปมาเหมือนกับว่าแผ่นดินมันไหว เราก็เลยหยุดสวดมนต์เอาไว้ก่อน มานั่งฟังเสียงดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่

เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่า " โฮ้ๆ ! เกิดอีหยังขึ้นหนอที่นี่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานนี้ มันสิเฮ็ดให้ศาลามันพังลงมาซะบ่น้อ ! "เราจึงดับไฟเทียนที่หน้าพระประธาน นั่งฟังเสียงดังกระหึ่มนี้อย่างเดียว พอเรามานั่งฟัง เสียงดังๆ นั้นมันก็เงียบหายไป " บ่มีอีหยังอีก... "เมื่อเสียงดังนั้นหายไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็สวดมนต์ต่ออีก ท่านเล่าดังนี้

" ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น เสียงดังกระหึ่มมันก็กลับมาอีกรอบ เราบ่นออกเสียงว่า ฮ่วย ! มันเป็นอีหยังอีกน้อบาดนี่ ! พอว่าจังซั่นล่ะ ขนคี่ง (ขนตามตัว ตามแขนขา) ขนหัว กะพากันลุกยาบๆ เอามือลูบไว้กะบ่อยู่ ฮ่วย ! ฮ่วย ! อีหยังกันน้อบาดนี่ แผ่นดินมันไหวบ้อน๊อ ? " เรานั่งฟัง เสียงนั้นอยู่อีกนานพอสมควร เสียงนั้นจึงเงียบลงไป เราก็เลยสวดมนต์ต่อไปจนจบครบสูตร ระหว่างที่สวดนั้น ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก

สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพักเพื่อที่จะนั่งภาวนาต่อ ตอนที่มานั่งภาวนานี้แหละ ถึงได้มารู้ว่า เสียงที่มันดังกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มลงมาทับดินนั้น มันคือเสียงอนุโมทนาสาธุการของเทพเจ้าเหล่าเทวดา พวกเขาได้ยินเสียงเราสวดมนต์ไหว้พระ พอพวกเขาได้ยินแล้ว ก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จึงพากันเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการกัน

เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดามีอานุภาพมาก จนทำให้แผ่นดินเฉพาะตรงที่เราอยู่นั้น เกิดการสั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ เทวดาเขามาแสดงปาฏิหาริย์ให้เรารับรู้...

จากหนังสือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค






วันคืนยืนเดินนั่งนอนมีแต่การดูหัวใจของตน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งเหตุทั้งหลาย

ส่วนมากตัวเหตุคือสมุทัยมันเกิดที่ใจ นอกนั้นยังมีเครื่องเสริมให้เกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ มีจำนวนมากมาย เรียกว่ารอบตัวของเรานี้ มีแต่ทางไหลเข้ามาแห่งกิเลสทั้งหลาย

ตากระทบรูป ถ้าสติไม่มีก็เป็นไปเพื่อกิเลส หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรที่เป็นคู่เคียงแห่งกันและกัน เช่น เสียง กลิ่น เป็นต้น มันก็เป็นความหมายไปเพื่อกิเลสทั้งนั้น นี่เรื่องของข้าศึกมีอยู่รอบตัว

แม้จิตนั้นแลจะเป็นผู้ที่คิดผู้ปรุงผู้แต่งผู้ให้ความสำคัญมั่นหมาย เพื่อให้กิเลสทั้งหลายกำเริบขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง
ไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียง เครื่องสัมผัสทั้งหลายเหล่านั้นมาเป็นตัวภัยเสียเอง แต่เป็นเรื่องของจิตที่ได้พบได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วมาวาดภาพขึ้น ตีความสำคัญมั่นหมายออกไปกว้างขวางลึกซึ้งด้วยความเป็นสมุทัย แล้วกลายเข้ามาเป็นทุกข์ เผาลนจิตใจของตนเอง ก็คือจิตใจของเรานี้ ที่คิดออกไปด้วยความไม่มีสติ

ไม่ใช่สิ่งอื่นใดมาเป็นข้าศึกต่อเรา แต่เป็นเพราะจิตไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดแล้วเกิดกิเลสขึ้น ท่านจึงให้ระมัดระวัง ถ้าไม่ควรจะได้สัมผัสสัมพันธ์ก็อย่าไปสัมผัสสัมพันธ์ คือ ไม่ควรเห็น อย่าเห็นอย่าดู ไม่ควรฟังอย่าฟัง

ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งสอนพระอานนท์ ตอนที่พระอานนท์ขึ้นทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การปฏิบัติต่อมาตุคาม นี่เป็นต้นนะ จะให้ปฏิบัติอย่างไร คำว่ามาตุคามใครก็ทราบแล้ว อยู่ในสถานที่นี่ ไม่จำเป็นต้องอธิบายออกไป

เรายกตัวอย่างเพื่อให้ตีความหมายไปกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นภัย ว่าไม่เห็นเสียเลยละดีอานนท์ นั่นฟังซิ คือ สิ่งที่เป็นภัยใด ๆ ก็ตาม เมื่อเห็นเข้าไปแล้วจะเป็นภัย ให้พึงสำรวมเสียก่อน ก่อนที่จะเห็นจะดู ด้วยความไม่ดูไม่เห็นนั้นแลดี อานนท์

นั่น อันนี้ดีนะ หากจำเป็นจะได้เห็นได้ยินจะทำยังไง อย่าพูด คืออย่าสำคัญอย่าครุ่นคิดอย่าติดใจ ในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน อย่าถือมาเป็นอารมณ์ ให้พยายามตัดเสมอ ๆ กับสิ่งนั้น ๆ ที่จะเป็นเครื่องเกี่ยวโยงเข้ามาให้เป็นข้าศึกต่อจิตใจ

นี่ละเราเทียบเพียง ๒ ประโยคเท่านี้ ก็ให้พึงทราบเอาในเรื่องทั้งหลายที่ไม่ควรแก่การบำเพ็ญของเรา มันเป็นสิ่งที่จะมากำจัดการบำเพ็ญนี้ให้ด้อยหรือให้เสียไป จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องความเพียรในสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนไปเสีย จึงต้องได้ระมัดระวัง

นี่ละที่ท่านว่าให้ระมัดระวัง ตาเวลากระทบรูป หูเวลากระทบเสียง สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้พึงระมัดระวังด้วยสติ หากไม่จำเป็น ก็ไม่ควรที่จะเห็น จะดู จะฟัง จะสัมผัสถูกต้องสิ่งเหล่านั้น นอกจากมันจำเป็น

ฟังแต่คำว่าจำเป็นนั่นเถอะ 'หากจำเป็นจะได้เห็นเล่าพระเจ้าข้า' ดังพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า

'หากจำเป็นจะได้เห็นได้ดู อย่าพูด'

แน่ะ ท่านมีทางเลี่ยงไปอีก
'หากจำเป็นที่จะพูดจะทำอย่างไรล่ะ'

'ให้ตั้งสติให้ดี อย่าให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา' ท่านว่า
นั่นฟังสิ

สิ่งทั้งหลายก็เหมือนกันเช่นนั้น
กิเลสนี้มันมีประเภทต่าง ๆ กัน แต่สิ่งที่กล่าวมายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างตะกี้นี้ เป็นประเภทที่หนัก เป็นประเภทที่ถือเป็นข้าศึกจริง ๆ สำหรับนักบวชที่ประพฤติ

แม่เหล็กก็ดูดเอาจนกระทั่งถึงตัวกลิ้งไป ไม่รู้สึกตัวเลย ถลอกปอกเปิกไปก็ไม่รู้ ถูกมันดูดเอา จึงต้องระมัดระวังให้มาก.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









ไปที่ไหนนี่หรู ๆ หรา ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ โก้เก๋สวยงามอวดกัน กิเลสอวดกัน ธรรมะท่านไม่อวดนะ

ธรรมนะ ท่านอยู่ง่ายกินง่ายที่สุด พระพุทธเจ้าสอนง่ายที่สุด สอนไม่ให้คนกังวลหากิเลสมามัดคอเจ้าของ

ได้อันนี้ไม่พอ ได้อันนั้นไม่พอ อันนั้นก็อยากได้ อันนี้ก็อยากได้ อันนั้นก็อยากกิน อันนี้ก็อยากกิน อันนั้นก็อยากใช้ อันนี้ก็อยากใช้

ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กิเลสมัดคอคนให้เกิดความดิ้นรนกระวนกระวาย ขนความทุกข์มาทับหัวทั้งนั้นแหละ

โลกไม่มองน่ะสิ มองวิ่งตามกิเลสทั้งนั้นแหละ จึงดูไม่ได้นะ

หลวงตามหาบัว







"...ให้เป็นคนมักน้อย เป็นคนกินน้อย เป็นคนนอนน้อย เป็นคนยินดีในของที่มีอยู่ ยินดีในปัจจัยตามมีตามได้ ไม่ให้ วุ่นวาย นี่คือการปฏิบัติ.."

หลวงปู่ชา สุภัทโท







เมื่อใจสว่างก็เห็นเงาของตัวเองไม่ใช่เห็นว่าเป็นตนเป็นตัว แต่ก่อนเราเข้าใจว่าเป็นตนเป็นตัวเป็นเรา เป็นของเรา เช่น รูปก็ว่าเป็นเราเป็นของเรา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ จำได้หมายรู้ความคิดความปรุงแต่งต่างๆ การรับทราบทางอายตนะทั้งหก ภายนอกภายในกระทบกัน เราก็เหมาเอาว่าเป็นเรา เป็นของเราเสียทั้งนั้น เพราะตอนนั้นมันกำลังมืด มันไม่มองเห็นเงา เลยถือว่าเป็นเราไปเสียหมด

ทีนี้พอปัญญาได้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเงาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวจริงแล้วก็ปล่อยเข้ามา

#คำว่าปล่อยเข้ามานี้
#ปล่อยเข้ามาด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง_จริงๆ
#ไม่ใช่กำหนดปล่อย_กำหนดวางเอาเฉยๆ
#เหมือนเราวางสิ่งนั้น_วางสิ่งนี้
#เพราะกิเลสไม่ใช่ท่อนไม้ท่อนฟืน
#พอจะเราปล่อยวางได้อย่างง่ายๆ

#แต่จะต้องพิจารณากันให้เห็นตามความจริงของมัน
แล้วมันก็ปล่อยวาง
และหมดกังวลกันไปเอง

ที่หลบซ่อนที่ท่องเที่ยวของกิเลสจะออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สู่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ก็รู้เท่าแล้วทั้งรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส และรู้เท่าแล้วทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ว่าเป็นแต่อาการหรือเป็นแต่เงาอันหนึ่งๆเท่านั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวจิต และมันตัดเข้ามาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงเข้ามาหากองรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เป็นแต่ละอาการๆเท่านั้น หาเราของเราที่ไหนมี แล้วรู้ชัดด้วยปัญญาและปล่อยวางลงไป

ความปล่อยวางจากสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมหมดกังวล เช่น ปล่อยวางรูปเพราะรู้เท่ารูปแล้วด้วยปัญญาปล่อยวางเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆภายในร่างกาย ก็เพราะทราบแล้วว่าเวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนากายสักแต่ว่ากายประจักษ์ใจแล้ว
หรือประจักษ์ปัญญาแล้ว สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอาการๆ ก็ทราบว่าเป็นเงาของจิตอยู่แล้วไม่ใช่จิต จึงต้องปล่อยเงาไม่ใช่ตัวจริงปล่อย ปล่อยโดยหลักธรรมชาติที่เข้าใจแล้ว

เมื่อปล่อยเข้าไป การค้นคว้าดูวัฏจักรวัฏจิตที่หมุนเวียนไปพาให้เกิดแก่เจ็บตายมันก็เป็นวงแคบๆเข้าไป

#นี่คือการพิสูจน์ #วิธีการที่จะรื้อถอนภพรื้อถอนชาติความเกิดแก่เจ็บตายที่มีประจำจิต รื้อถอนด้วยอุบายของสติปัญญาอย่างที่กล่าวมานี้ แล้ววกวนเข้าไปๆ วงแคบเข้าไปจนกระทั่งถึงตัวจิต

เมื่อจิตปล่อยวางอาการทั้งหลายแล้ว มีแต่ตัวของตัว ย่อมจะมีแต่ความสว่างไสว มีแต่ความเบา มีแต่ความองอาจกล้าหาญ มีแต่ความสุขความสบายชนิดที่ละเอียดมากที่สุด ไม่มีความสุขความสบายใดในร่างกายเหล่านี้จะเหมือน แล้วไม่ติดไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด

แม้ที่สุดร่างกายที่อยู่ด้วยกัน ก็ทราบว่าร่างกายนี้เป็นสักแต่ว่าเรือนร่างอันหนึ่งที่อาศัยของความรู้นี้เท่านั้นแต่ไม่ใช่ผู้รู้นี้ เป็นสักแต่ว่าร่างเรือนร่างของจิต แต่ไม่ใช่จิต

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็เป็นแต่เพียงว่าอาการอันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากจิต แต่ไม่ใช่จิต สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ก็เป็นแต่เพียงอาการอันหนึ่งของจิตเท่านั้นไม่ใช่จิต

#จิตรู้ชัดเจน
#ก็เหลือแต่ความรู้

นี่เรียกว่าวัฏจิตนั้นถูกตัดขาดเข้ามาตั้งแต่รากฝอยรอบตัว ตัดเป็นวงรอบเข้ามาๆ รากฝอยได้แก่ความแตกแขนงของจิตที่คิดไปในทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัส และรัก ชัง โกรธ เกลียด สิ่งเหล่านั้น ตัดขาดออกมาเป็นลำดับ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ก็เป็นรากฝอย แคบเข้าไป ตัดขาดเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงรากแก้วได้แก่จิต

นั้นแหละทีนี้คำว่าเชื้อของจิต เชื้อที่จะพาให้จิตไปเกิดไปตายในภพชาติน้อยใหญ่นั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน ก็คือตัวรู้ๆ ที่อยู่กับจิตกลมกลืนเป็นอันเดียวกันอยู่นั่นแล....

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO