นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 16 เม.ย. 2024 7:39 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: หมุนเวียน
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 14 ก.ค. 2022 9:15 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4529
พิจารณาใจตนเองนั่นละ
อย่ามัวแต่ไปเพ่งโทษแต่ผู้อื่น
พิจารณาจิตใจตนเองใว้ให้ดี
ดี สาม ดี
คิดดี
พูดดี
ปฎิบัติดี

โอวาทธรรมวันอาสาฬหบูชา
เจ้าคุณหลวงปู่ #พระเทพมงคลวชิรมุนี (หลวงปู่หา สุภโร)







“รวมเข้าพรรษาให้มีกฏมีเกณฑ์
การทำบุญตักบาตรให้ทานรักษาศีลภาวนาอย่าละอย่าปล่อยอย่าวาง
ให้ทำเสมอๆ ไปไหนเวลาจะเป็นจะตายจริงๆ บุญนั้นละเป็นที่เกาะของเรา
นอกจากบุญไม่มี บาปมันก็เอาลงนรก บุญพาไปทางดิบทางดี”

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส
ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
เวลาประมาณ ๑๒.๔๐ น.

“ดุเพื่อความดีของผู้นั้น”

#ธรรมะ,#คติธรรม,#โอวาทธรรม,#หลวงตามหาบัว,#วัดป่าบ้านตาด








ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำดุจผ้าขี้ริ้วซึ่งไม่มีราคา ใครจะเช็ดเท้าหรือเหยียบย่ำไปด้วยดินโคลนของโสโครกหรือสะอาดอันใด ก็ไม่มีความรังเกียจหรือยินดียินร้าย ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ซึ่งทรงลดทิฐิมานะของพระองค์ในการเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ขัตติยราชชาติสกุล ลงมาเป็นนักบวชอย่างคนธรรมดาสามัญ ถือบิณฑบาตเที่ยวเดินไปตามหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ โดยมิได้ทรงคำนึงว่าอาหารที่ได้มานั้นจะเป็นของดีเลวหยาบหรือประณีตประการใด พระองค์ก็ทรงรับไว้และบริโภคได้ทั้งสิ้น ฉันใดก็ดี ผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็ควรจะต้องดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ พยายามปลดปล่อยละวางทิฐิมานะ ถือตัวถือตน ความโอ้อวดในคุณธรรม ความรู้ความฉลาดและชาติสกุลของตน ๆ ว่าเราเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสิกา เราเป็นคนดี คนวิเศษกว่าคนนั้นคนนี้ เราจะต้องทำตัวให้มีความรู้สึกดุจผ้าขี้ริ้วหรือพรมเช็ดเท้า ยอมรับความดีความชั่วทั้งหลายได้โดยดุษณีภาพ หรือโดยชื่นตาชื่นใจ ถ้าหากเราไม่ยอมลดทิฐิมานะของตนลงต่อเหตุการณ์ของโลกเหล่านี้ได้แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะก้มหัวลงสู่ข้อปฏิบัติได้อย่างเต็มใจ

ส่วนหนึ่งจากธรรมะของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ที่แสดง ณ วัดอโศการาม
เมื่อวันที่ ๒๐–๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒
(แม่ชีมธุรปาณิกา บันทึก)







#อานุภาพบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรทำให้เหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้าลงมาสาธุการ

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยววิเวกในเมืองพม่า ดังนี้

" ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง ประเทศพม่า วัดที่เราอยู่นั้นมันมีศาลาอยู่เพียงหลังเดียว และศาลานี้ก็มีเสาอยู่ตรงกลางต้นเดียว เราให้เขากั้นห้องเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเราเอาไว้พัก อีกห้องหนึ่งเราก็เอาไว้นอน ตรงกลางศาลา จะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอยู่หนึ่งองค์ สูงประมาณศอกหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากไม้สัก ในแต่ละวันเราก็อาศัยสวดมนต์ไหว้พระอยู่หน้าพระประธานองค์นี้แหละ คืนนั้น เรากำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ดีๆ พอ #สวดบทธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ถึงท่อนที่ว่า...จาตุมมหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ฯ ช่วงท่อนที่กำลังไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆ อยู่นั้น ปรากฏมีเสียงดังสะท้านไปทั่ว เป็นเสียงที่ดังกระหึ่มลงมาจากท้องฟ้า เสียงดังกระหึ่มนั้นทำให้ศาลาที่เรานั่งสวดมนต์ไหว้พระอยู่นั้นเกิดการสั่น ไหวขึ้นมา เสียงศาลามันลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ โยกไหวไปมาเหมือนกับว่าแผ่นดินมันไหว เราก็เลยหยุดสวดมนต์เอาไว้ก่อน มานั่งฟังเสียงดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่

เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่า " โฮ้ๆ ! เกิดอีหยังขึ้นหนอที่นี่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานนี้ มันสิเฮ็ดให้ศาลามันพังลงมาซะบ่น้อ ! "เราจึงดับไฟเทียนที่หน้าพระประธาน นั่งฟังเสียงดังกระหึ่มนี้อย่างเดียว พอเรามานั่งฟัง เสียงดังๆ นั้นมันก็เงียบหายไป " บ่มีอีหยังอีก... "เมื่อเสียงดังนั้นหายไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็สวดมนต์ต่ออีก ท่านเล่าดังนี้

" ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น เสียงดังกระหึ่มมันก็กลับมาอีกรอบ เราบ่นออกเสียงว่า ฮ่วย ! มันเป็นอีหยังอีกน้อบาดนี่ ! พอว่าจังซั่นล่ะ ขนคี่ง (ขนตามตัว ตามแขนขา) ขนหัว กะพากันลุกยาบๆ เอามือลูบไว้กะบ่อยู่ ฮ่วย ! ฮ่วย ! อีหยังกันน้อบาดนี่ แผ่นดินมันไหวบ้อน๊อ ? " เรานั่งฟัง เสียงนั้นอยู่อีกนานพอสมควร เสียงนั้นจึงเงียบลงไป เราก็เลยสวดมนต์ต่อไปจนจบครบสูตร ระหว่างที่สวดนั้น ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก

สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพักเพื่อที่จะนั่งภาวนาต่อ ตอนที่มานั่งภาวนานี้แหละ ถึงได้มารู้ว่า เสียงที่มันดังกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มลงมาทับดินนั้น มันคือเสียงอนุโมทนาสาธุการของเทพเจ้าเหล่าเทวดา พวกเขาได้ยินเสียงเราสวดมนต์ไหว้พระ พอพวกเขาได้ยินแล้ว ก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จึงพากันเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการกัน

เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดามีอานุภาพมาก จนทำให้แผ่นดินเฉพาะตรงที่เราอยู่นั้น เกิดการสั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ เทวดาเขามาแสดงปาฏิหาริย์ให้เรารับรู้...

จากหนังสือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค







“... ไม่เจริญวิปัสสนา ปัญญาจะเกิด อย่าง
ไรได้
... เมื่อปัญญาไม่มีจะเห็นอริยสัจทั้ง ๔ อย่าง
ไรได้
... ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัด ทำตน
ให้
... ลำบากสักเพียงไร ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซึ่ง มรรค ผล นิพพานได้ ...”

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต






" หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอจงหมั่นเพียรศึกษาอบรม
และปฏิบัติธรรมะ โดยเริ่มที่ตนเอง จากการมี “สัมมาสังกัปปะ” อยู่ทุกขณะจิต "

ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่สาธุชนจักได้น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ครบถ้วนพร้อมเป็น “พระรัตนตรัย” ซึ่งเป็นสรณะนำทางชีวิตของพุทธบริษัท ให้มุ่งหน้าดำเนินไปสู่หนทางดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
.
ปฐมเทศนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทรงชี้บอกวิถีทางดับทุกข์ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ ท่ามกลางภาวการณ์ปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยภยันตรายอันน่าหวาดหวั่นที่หลายคนคิดว่าคงไม่อาจเกิดมีขึ้นแล้ว ก็กลับบังเกิดมีขึ้นอีกทั่วไปในโลก เช่น ภัยสงคราม ทุพภิกขภัย และภัยอาชญากรรมร้ายแรงต่างๆ เป็นต้น
.
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสวัสดิภาพของผู้คนในวงกว้าง ท่านทั้งหลายพึงหันมาพิจารณาทบทวนอริยมรรค โดยใช้หนทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ “สัมมาสังกัปปะ” ซึ่งหมายถึง “ความคิดที่ถูกต้อง” กล่าวคือ ความคิดที่จะลดละความอยากได้อยากมีจนเกินประมาณ ความคิดที่จะไม่พยาบาทจองเวรกัน และความคิดที่จะไม่เบียดเบียนกัน ขอจงช่วยกันระดมความคิดเห็นในทางสันติ ฉลาดในการปรึกษาหารือกันด้วยสัมมาวาจา เพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมในทุกระดับ ให้คลี่คลายไปได้ด้วยความอดทนอดกลั้น รู้จักละวางทิฐิมานะ ให้อภัย และมุ่งแผ่เมตตาต่อกันด้วยใจจริง
.
วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังอาจเตือนใจให้ทุกท่านตระหนักแน่วแน่ในปณิธานแห่ง “สัมมาสังกัปปะ” ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอจงหมั่นเพียรศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมะ โดยเริ่มที่ตนเอง จากการมี “สัมมาสังกัปปะ” อยู่ทุกขณะจิต เป็นการเกื้อกูลให้ตนเอง และสรรพชีวิตผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่างสามารถปลอดพ้นจากภยันตรายทั้งที่เป็นทุกข์ประจำ และทั้งที่เป็นทุกข์จรทั้งหลาย ได้สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ เทอญ.

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันพุธ ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
.
สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช







เกิดมาในโลกมันมีสองนะ มีมืดกับแจ้ง สุขกับทุกข์ ดำกับขาว มันเป็นคู่กันตลอด แต่ที่บ่ปรารถนาที่สุดก็คือ เกิดมาแล้วตายนั่นแหละ

ชีวิตของเฮานี่ ตายแน่ ๆ บ่เป็นอย่างอื่น เกิดกับตายเป็นของคู่กัน เหมือนมืดกับแจ้งก็เป็นคู่กัน อิ่มกับหิวก็เป็นของคู่กัน พระอาทิตย์พระจันทร์ก็เป็นของคู่กัน สุขกับทุกข์ก็เป็นของคู่กัน ผู้หญิงผู้ชายก็เป็นของคู่กัน เกิดกับตายก็เป็นของคู่กัน

เฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย มีช่องทางบ่ ที่บ่ตาย หนีตายหนีไปไหนก็บ่พ้น หนีพระยามัจจุราช ถึงคราวแล้ว เกิดมาตาย นี่ล่ะ เป็นคู่กัน เกิดกับตาย

แต่เฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย พระพุทธเจ้าเพิ่นว่าบ่มีทางอื่น เกิดมาแล้วเป็นวิบากกรรม ต้องตายแน่ บ่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าตายแล้วบ่เกิด เออ อันนั้นมีช่องทาง แต่ว่าทุกคนเกิดขึ้นมาแล้ว บ่มีผู้ใดจะหลีกลี้หนีพ้นไปได้

เกิดมาตายหมด บ่ว่าในระดับใด เป็นศาสตราจารย์ชะลอความแก่ กินยาตัวนี้แล้วบ่แก่บ่ตาย ขี้คุยไปเถอะ บ่มีผู้ใดรอดสักคน เกิดมาแล้วตายหมด เศรษฐีมหาเศรษฐีระดับใดก็เถอะ รวยมั่งมีขนาดไหนก็เถอะ รักษาสุขภาพดีขนาดไหนก็เถอะ บ่มีผู้ใดพ้นเรื่องความตาย

ความตายเป็นของแน่นอน ของอื่นเป็นของบ่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน เกิดมาแล้ว เป็นอย่างเดียวบ่เป็นอย่างอื่น เกิดมาแล้วตาย

แต่ว่าพระพุทธเจ้าเพิ่นไปเสาะแสวงหา หาทางออกว่าเฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย บ่มีทางอื่น ต้องบ่เกิดเท่านั้น

เฮ็ดจังได๋คือบ่เกิด เพิ่นก็ไปบำเพ็ญหาช่องหาทาง มีสมาธิเป็นเบื้องต้น พอมีสมาธิแล้วก็นำมากลั่นกรองไตร่ตรองด้วยปัญญาของเพิ่น ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคแปดนี่ล่ะ เป็นหนทางที่บ่มาเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้อีก

จากนั้นเพิ่นก็บำเพ็ญภาวนา ทำจิตเข้าสู่ความสงบ เป็นหนึ่ง จิตนิ่งจนสงบ พอจิตสงบแล้วนำมากลั่นกรองพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา ปัจยา สังขารา สังขารา ปัจยา วิญญาณัง ก็คือชำระใจให้ใจเข้าใจ ให้ใจเข้าใจด้วยตนเอง ให้จิตใจของเฮารู้แจ้งเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายคลายออกจากกิเลส

#หลวงพ่ออินทร์ถวาย #สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “เมื่อไม่เกิด ย่อมไม่ตาย”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๔






" เกิดแล้วแก่ เจ็บ ตาย
สังขารร่างกายเป็นของไม่เที่ยง
กลัวอะไรล่ะปิดจมูกอยู่ทุกวันนี้
กลัวเจ็บไข้..
ไปซ่อนอยู่ในรู ในถ้ำเหวที่ไหนซ่อนได้ไหม..
หนีความเจ็บป่วย ถ้าเกิดมาแล้วต้องแก่ เจ็บ ตาย
หรือท่องเล่นเฉยๆ
ไม่ท่องเอาเข้าถึงหัวใจหรอ.."

โอวาทธรรม
พระราชพัชรญาณมุนี
หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ






#วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา_ให้ตั้งสัจจะอธิษฐาน_อย่างน้อยถึงวันออกพรรษา

วันนี้เป็นวันอธิษฐานพรรษา เข้าพรรษา ให้พี่น้องทั้งหลายตั้งความสัตย์ความจริงใส่ตัวเองนะ คนเรามันเร่ร่อนๆ ไม่ค่อยมีหลักมีเกณฑ์ ให้มีขอบเขตเหตุผลมีหลักเกณฑ์อรรถธรรม เข้าบังคับกายวาจาใจ ความประพฤติหน้าที่การงานด้วยนะ มันโกโรโกโสเรื่อยมาตั้งแต่วันเกิด วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ตั้งสัจจะอธิษฐาน อย่างน้อยถึงวันออกพรรษา เช่นอย่างการทำบุญใส่บาตรไม่ให้ขาดวันหนึ่งๆ ได้องค์เดียวก็เอาไม่ให้ขาดสัจจะอธิษฐานที่ตั้งไว้เพื่อทานบารมีของเรา ในวันหนึ่งให้ได้ใส่บาตร ไม่มากก็ตามได้องค์เดียวก็เอา
.
วันหนึ่งๆ ไหว้พระตอนเช้าตอนเย็นอย่าให้ขาด ตั้งสัจจะเอาไว้ แล้วทำบุญให้ทาน ได้ข้าวหรือได้สิ่งของไปใส่บาตรแม้องค์เดียวก็ได้ ไม่ขาดทานของเราวันนั้น ทำทานอย่าให้ขาดวันหนึ่งๆ แล้วไหว้พระสวดมนต์ก็ให้ไหว้ ก่อนจะหลับจะนอน ตื่นนอนให้ไหว้เสียก่อนไป แล้วสัจจะที่จะบังคับเจ้าของเพื่อความเป็นคนดี ให้บังคับเข้าทุกด้านทุกทางในวันเข้าพรรษา เป็นวันที่สำรวมระวังมากทีเดียวกว่าวันอื่นๆ วันอื่นๆ ก็เถลไถลอยู่แล้ว วันเข้าพรรษาห้าม ให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตัวเองคนเรา ไม่มีความสัตย์ความจริงเพื่ออรรถเพื่อธรรมเข้าบังคับแล้วเหลวแหลกกันทั้งนั้นละ
.
วันนี้เป็นวันอธิษฐานพรรษาแล้ว ขอให้ทุกๆ ท่านได้ตั้งสัจจะความจริงไว้บังคับตัวเอง เช่นไหว้พระสวดมนต์ หรือกินเหล้าเมาสุรา เคยกินมาจนหัวราน้ำก็ตาม บังคับเลย ห้ามตั้งแต่บัดนี้ต่อไปอย่างน้อยต้องถึงวันออกพรรษา ไม่กินเหล้า เอา จะตายก็ให้ตาย ดัดกันอย่างนี้หนักๆ แล้วเหล้าก็หายไปๆ เราก็เป็นคนดีตลอดไปเลย ให้จำเอา การให้ทานวันหนึ่งอย่าให้ขาด สวดมนต์ไหว้พระวันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด ความประพฤติหน้าที่การงานอะไรที่เป็นมลทิน หรือเป็นความเสียหายแก่ตนและส่วนรวมแล้วให้งดๆ เช่นว่าอย่างน้อยงดในพรรษา นี่อย่างน้อยที่สุดนะ มากกว่านั้นให้งดไปโดยลำดับลำดา จะเป็นความถูกต้องดีงาม
.
สำหรับชาวพุทธเราให้มีขอบเขต เอาธรรมละมาบังคับไม่เสียหาย ถ้าเอากิเลสมาบังคับจมได้ทั้งนั้น ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่าอะไรแหละ จมได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเอาธรรมเข้าไปบังคับ เด็กก็เป็นเด็กดีน่ารัก ผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ดีน่าเคารพบูชา ให้ถืออย่างนั้นนะ อย่าถืออายุมืดแจ้งเฉยๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้ถือธรรมเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา เด็กมีอรรถมีธรรมก็ให้มีความเคารพรักเด็ก ไม่ควรฝ่าฝืนคำพูดของเด็กที่พูดถูกต้องแล้ว ยอมรับกันๆ เรียกว่าคำสัตย์คำจริงคือธรรม จะเป็นคนดีด้วยกัน
.
เข้าพรรษาอย่างนี้ขอให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตัวเองทุกคนนะ ไม่ได้มากได้น้อยใครจะได้เท่าไรก็เอา เช่นอย่างศีล ๕ ให้ได้ทุกคน ข้อสุรานี่บังคับให้ขาดเลยเทียวไม่ให้มันกิน เอ้า มันจะตายจริงๆ ให้มันเห็นสักที ให้ว่าอย่างนั้นว่าตัวเองแล้วจะเป็นคนดีเรื่อยๆ สุราก็แตกกระจัดกระจายไปเลย เข้ามาใกล้เขตบ้านคนๆ นั้นไม่ได้ นี่คือความดีขับไล่ความชั่วให้ขับไล่แบบนี้ อย่าอยู่เฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ
............................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐






#ถ้ายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง_อย่าพึ่งละทิ้งซึ่งความเพียรของตน

เพ่งพิจารณาจนกำลังปัญญานั้นแก่กล้า ก็จะได้รู้ว่าธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม ธรรมในธรรมก็ตาม ก็จะมีแต่ความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ความดับไป หาเป็นสาระแก่นสารมิได้ เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสังขตธรรมทั้งสิ้น

ท่านพ่อลี ธัมมธโร







พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ท่านไม่ได้รู้ธรรมนอกเหนือจากกายกับจิต ซึ่งพวกเรากำลังหลงกันอยู่เดี๋ยวนี้

คำว่า “ยํ กิญจิ สมุทยธมมํ สพพนตํ นิโรธธมมํ” “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา” ที่พระอัญญาโกญฑัญญะรู้ก็ดี คำว่า “วุสิตํ พรหมจริยํ กตํ กรณียํ” “เสร็จกิจในพระศาสนา” ที่พระอรหันต์รู้ก็ดี ท่านก็รู้ในสิ่งเกิดดับภายในกายในจิตนี้เอง และท่านทำการปราบปรามกิเลสจบสิ้นลงได้ก็ดี ก็สิ้นเสร็จในจุดเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในกายในจิตอย่างสมบูรณ์ อย่าไปสงสัยว่ามีอยู่ที่อื่น

การพิจารณาวิธีใดก็ตาม ถ้าเป็นไปเพื่อความสงบสุขภายในใจ ไม่เป็นไปเพื่อเดือดร้อน เชื่อว่าถูกทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งนั้น โปรดอย่าสงสัยไปอื่นจะเสียเวลา โปรดพิจารณาไปเรื่อยๆ อย่าลดละความเพียร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







#หลวงตามหาบัว

๑. ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำดุจผ้าขี้ริ้วซึ่งไม่มีราคา ใครจะเช็ดเท้าหรือเหยียบย่ำไปด้วยดินโคลนของโสโครกหรือสะอาดอันใด ก็ไม่มีความรังเกียจหรือยินดียินร้าย ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ซึ่งทรงลดทิฐิมานะของพระองค์ในการเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ขัตติยราชชาติ สกุล ลงมาเป็นนักบวชอย่างคนธรรมดาสามัญ ถือบิณฑบาตเที่ยวเดินไปตามหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ โดยมิได้ทรงคำนึงว่าอาหารที่ได้มานั้นจะเป็นของดีเลวหยาบหรือประณีตประการใด พระองค์ก็ทรงรับไว้และบริโภคได้ทั้งสิ้น ฉันใดก็ดี ผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็ควรจะต้องดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ พยายามปลดปล่อยละวางทิฐิมานะ ถือตัวถือตน ความโอ้อวดในคุณธรรม ความรู้ความฉลาดและชาติสกุลของตน ๆ ว่าเราเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสิกา เราเป็นคนดี คนวิเศษกว่าคนนั้นคนนี้ เราจะต้องทำตัวให้มีความรู้สึกดุจผ้าขี้ริ้วหรือพรมเช็ดเท้า ยอมรับความดีความชั่วทั้งหลายได้โดยดุษณีภาพ หรือโดยชื่นตาชื่นใจ ถ้าหากเราไม่ยอมลดทิฐิมานะของตนลงต่อเหตุการณ์ของโลกเหล่านี้ได้แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะก้มหัวลงสู่ข้อปฏิบัติได้อย่างเต็มใจ

๒. หลักของการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ก็คือเราจำเป็นต้องศึกษาให้รู้จักถึงการมาและการอยู่และการไปของตัวเราเอง ให้ชัดเจนดีเสียก่อน คือรู้เรื่องสภาวะความเป็นจริงของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณของเรา ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมไปอย่างไร รู้ลักษณะที่เป็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และรู้ในอริยสัจธรรม ในเรื่องของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าอะไรเป็นทุกข์ เป็นสมุทัย เป็นนิโรธ เป็นมรรค สิ่งเหล่านี้เป็นข้อที่เราควรศึกษา

๓. ศีลภายนอกเป็นของที่ทุกคนอาจทำได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวด้วยการรักษา กาย วาจา ให้บริสุทธิ์สะอาด แต่ศีลภายในคือความสงบแห่งดวงจิต หรือความปรกติของใจ ซึ่งเรียกว่าศีลธรรมนั้น เป็นของที่ทำกันได้ยาก เพราะเกี่ยวด้วยการรักษาให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่เศร้าหมอง ฉะนั้น จึงมีอานิสงส์มาก และควรจะพากันบำเพ็ญไว้ให้มีประจำตัวอยู่ทุกคน ศีลธรรมนี้แหละเป็นสิ่งที่จะนำมา ซึ่งความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า

๔. ผู้ฟังธรรมอย่ามุ่งหวังตั้งใจว่า เราจะมาจำคำเทศน์ให้ได้ไปหมดทุกถ้อยทุกคำ จงตั้งใจจำเก็บเอาไปแต่เพียงหัวข้อสำคัญ ซึ่งเราจะนำไปใช้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองดีกว่า เพราะคนที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้หมดทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ แต่ไปเสียท่าเข้าก็ใช้การอะไรมิได้ เช่นคนที่มีสมบัติตั้งล้าน แต่ตนเองเกิดเป็นบ้าวิกลจริตหรือตายไป สมบัติแสนล้านก้อนนั้นก็หาช่วยทำประโยชน์อันใดแก่ตนได้ไม่ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมถึงจะมีความรู้แตกฉานในอรรถธรรม และมีความทรงจำได้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนขาดสติสัมปชัญญะในคราวใดขณะใดแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะตั้งตนให้เป็นคนดีงามและสำเร็จประโยชน์สุขแห่งตนได้

๕. จิตใจถ้ากังวลแม้แต่เพียงนิดเดียว ก็เป็นเหตุให้บรรลุความสำเร็จคือมรรคผลนิพพานไม่ได้ ดังเช่นปิงคิยมานพในโสฬสปัญหา ซึ่งมีความคิดถึงห่วงใยในอาจารย์เดิมของตน อยากจะให้ได้มาฟังธรรมของสมเด็จพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างที่ตนได้รับฟังอยู่ใน ขณะนั้นบ้าง ใจที่กังวลในอาจารย์แม้เพียงนิดเดียวเท่านี้ ยังเป็นเหตุให้มานพผู้นั้นไม่สำเร็จในธรรมได้พร้อมกับเพื่อน ๆ ของตนที่เขาได้พากันสำเร็จไปหมดแล้วในครั้งนั้น นี่จึงเป็นข้อควรจำ เป็นคติสำหรับตัวเองในการปฏิบัติจิต หากใจขาดความสงบแม้เพียงเล็กน้อยแล้ว ย่อมไม่สามารถเป็นไปได้เพื่อมรรค ผล นิพพาน

๖. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต นี่หมายความว่า ผู้ใดเห็นธรรมก็คือผู้นั้นเห็นใจ ใจเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ฉะนั้น เมื่อผู้ใดเห็นธรรมก็เท่ากับว่าได้เห็นพระพุทธเจ้า ในความบริสุทธิ์ของตน

๗. ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ที่เราได้ผ่านมาแล้ว แต่เกิดมาจนบัดนี้ มีอะไรเก็บขังไว้ได้บ้างไหม ฉะนั้น เราจะไปรำพึงรำพัน หรือคร่ำครวญกับความทุกข์ สุข ดี ชั่ว ต่าง ๆ ที่ผ่านไปแล้วนั้น เพื่อประโยชน์อันใด ควรคิดแต่ประโยชน์ปัจจุบัน คือความดีที่กระทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกดีกว่า แม้เหตุการณ์ข้างหน้าก็ไม่สมควรไปคำนึงใฝ่ฝันเช่นเดียวกัน

๘. ศีลก็ตาม สมาธิก็ตาม หรือปัญญาก็ตาม ก็คือใจของเรานี้สิ่งเดียว เปรียบเหมือนเชือกหนึ่งเส้น จะมีสองเกลียวหรือสามเกลียวก็ตาม ก็ย่อมรวมลงเป็นเชือกเส้นเดียวกันนั่นเอง

๙. ไฟเป็นของร้อนโดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้หรือจับมัน เราก็จะไม่รู้สึกร้อนฉันใด ใจของเราถ้าอยู่เฉย ๆ ตามลำพังของมัน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับเหตุการณ์ภายนอกทั้งหลายแล้ว เราก็จะไม่มีความทุกข์อันใดเลย ความทุกข์เกิดจากใจของเราเข้าไปยึดถืออารมณ์ภายนอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหตุนั้นเราจึงต้องได้รับความเดือดร้อน

๑๐. ใจที่ยังมองไม่เห็นสภาพความจริงของทุกข์ ก็เหมือนกับเราเห็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งในครั้งแรก เราย่อมจะมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจนดี ต่อเมื่อได้จับต้องวัตถุนั้น ๆ มาวินิจฉัยดูนาน ๆ อย่างใกล้ชิด เราจึงจะมีความรู้ในสิ่งนั้น ๆ และคลายความสนใจในรักชังฉันใด เมื่อได้วินิจฉัยร่างกายของเราดูอย่างจริงจังด้วยสมาธิและปัญญาแล้ว ก็จะเป็นหนทางคลี่คลายจิตใจของเราให้เบื่อหน่ายจืดจางต่อความทุกข์ สุข ดี ชั่วทั้งหลายได้

๑๑. ผู้ใดปฏิบัติรักษาศีล ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือศีล ผู้ใดปฏิบัติสมาธิ ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือสมาธิ ผู้ใดเจริญปัญญา ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือปัญญา ต่อจากนี้วิมุตติญาณทัสสนธรรมก็จะต้องตกเป็นสมบัติของผู้นั้นโดยไม่ต้อง สงสัย ฉะนั้นถ้าเราเป็นผู้พิจารณาตัวเราเองอยู่ทุกเวลา ทั้งในกลางวันและกลางคืนแล้ว เราก็ต้องเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ และปัญญาสมบัติ แล้วผู้ที่จะวิมุตติจะเป็นใครที่ไหน นอกจากตัวเราเอง

บันทึกธรรมของท่านอาจารย์ที่แสดง
ณ วัดอโศการาม
เมื่อวันที่ ๒๐–๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒
(แม่ชีมธุรปาณิกา บันทึก)







ก็พบความจริงอันหนึ่งว่า อุปกิเลสนี้แหละเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้การทำงานของคนเรา แม้ตั้งใจทำความดี แต่หากขาดสติปัญญาไปติดตาข่ายมารเข้าจนก่อเกิดความ #อหังการมมังการ.. อย่างแก่กล้าเกินแกง ก็สามารถก้าวพลาดไปจากธรรมได้..

วันนี้มารู้จักคำว่า "อหังการ" "มมังการ" และ "มานานุสัย" นะคะ

มีพระสูตรที่กล่าวถึงท่านพระราหุล ที่กราบทูลขอคำแนะนำจากพระผู้มีพระพุทธเจ้าเรื่องอหังการ มมังการและมานานุสัย

ความยึดถือของสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า

นี่เป็นเรา- คือ อหังการ
นี่เป็นของเรา- คือ มมังการ
และความคิดว่าเราดีกว่าเขาบ้าง
เราด้อยกว่าเขาบ้าง เราเสมอกับเขาบ้าง- เรียกว่า มานานุสัย

คำว่าอหังการ มมังการนั้น ย่อมนำไปสู่การปกป้อง หวงแหนว่านี่สิ่งที่รักของเรา นี่ไม่ใช่ที่ท่านจะมายึดถือได้ เพราะการปกป้องนี้ถึงนำไปสู่การทะเลาะวิวาทกันจนกระทั่งมีการจับอาวุธขึ้นมาทำร้ายกันอย่างที่เราเห็นในสังคมโลกทุกวันนี้ค่ะ

ส่วนคำว่ามานานุสัยนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นอุปาทาน ดังความจริงที่ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือการหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

ท่านที่หลุดพ้นแล้วนั้นหมายถึงว่าละกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะยึดถือไปทำไมว่าเราดีกว่าท่าน เราด้อยกว่าท่าน เราเสมอกันกับท่าน

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นศาสดาเอก ทรงรู้แจ้งในโลกก็ยังทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็แต่ว่าผู้ประพฤติผิด หรือยึดถือเอามิจฉาทิฏฐิ มีบาปธรรมย่อมเสวยทุกข์เพราะผลกรรมเป็นธรรมดา

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราหุล ขันธ์5อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบัน ที่ภายในตนหรือภายนอกตน หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม

บุคคลพึงพิจารณาขันธ์5 ทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ดูกรราหุล เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อหังการ มมังการ และมานานุสัยในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอกนี้ จึงจะไม่มี ก้าวล่วงด้วยดีในส่วนแห่งมานะ สงบแล้ว
หลุดพ้นแล้วด้วยดี

พระอาจารย์อารยวังโส








เหมือนดวงอาทิตย์ มันจะหมุนเวียน มืดแล้วมืดอีก สว่างแล้วสว่างอีก เราก็เพียงแต่รู้เท่านั้น มันก็ไม่มีทุกข์อะไร

สังขารที่มันปรุงเหมือนกัน ไม่ว่าอดีต อนาคต ปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นของจริงคือไม่เที่ยง เราเพียงแต่รู้เท่านั้น ก็ไม่เดือดร้อน

ถ้าหากเรารอบรู้ในกองสังขาร ก็จะถึงจุดพอดี ไม่หวั่นไหวในสิ่งทั้งหลายที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นธรรมดา

#สุวโจวาท
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ






#ท่านพระอาจารย์มั่นถาม_ภาวนาเป็นไง

ตั้งใจเดินตรงตามทางมาถึงวัดหนองผือ เอาบาตรไปไว้ศาลา พักอยู่สักครู่ เวลานั้นตะวันประมาณบ่ายโมงสามสิบนาที สายตาจับอยู่ที่กุฏิหลวงปู่ ไม่ช้าก็เห็นท่านออกมาที่ระเบียงขององค์ท่าน จึงได้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ถือฝาบาตรใส่เทียนที่เอามาจากบ้านคำข่าและใส่ไม้สีฟันค่อยเดินไปหา องค์ท่านแลเห็นใกล้บันได องค์ท่านปรารภเย็นๆ เบาๆ ว่า “ท่านหล้านี้มาจากไหนหนอ เดินย่องๆ มาคนเดียว นิสัยก็แปลกหมู่ ชอบไปคนเดียว มาคนเดียว ส้นเท้าก็แหลมๆ เดินไปมาปรากฏดังตึงๆ”

ที่ว่าแปลกหมู่นั้น องค์ท่านก็ไม่อธิบายว่า แปลกไปทางดีหรือทางชั่ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เรียนตอบสักคำเลย เพราะเข้าใจว่าองค์ท่านพูดไปตามเรื่องขององค์ท่าน และเป็นเรื่ององค์ท่านทดสอบเราว่า จะทั้งเดิน ทั้งพูด ทั้งล้าง ทั้งเช็ดเท้า หรือไม่

พอกราบเสร็จแล้วท่านก็ถามกระหน่ำต่อไป ทั้งคำเก่าและคำใหม่ปะปนกันไปตะพึด ยกมือกราบเรียนว่า “มาจากถ้ำผาแด่น”

“ภาวนาเป็นไง”

กราบเรียนว่า “รสจิตใจวิเวกวังเวง ความไหวการ ยืน เดินนั่ง นอน สติอยู่กับกายและใจ เหลียวซ้ายแลขวา เหยียดแขน คู้แขนรู้อยู่แทบทุกอิริยาบถ จิตใจอ่อนโยนในพุทธ ธรรม สงฆ์ น้ำตาไหลไม่ค่อยขาด การกลัวสัตว์ร้ายหรือผีไม่ค่อยมี จะมีมาบางอารมณ์ก็งูใหญ่ นึกในใจบ้าๆ ว่า ถ้านั่งภาวนาอยู่ มันมาคาบกลืนลงไปทีเดียวก็ได้ แต่อารมณ์ชนิดนี้มาครู่เดียว ก็ขับมันหนีไปได้ แต่นานๆ มันจึงจะมาอีก”

องค์ท่านตอบว่า “กลัวมันทำไม งูมันกินเข้า ก็ยันท้องมันซิ”

ว่าแล้วองค์ท่านก็ยิ้ม แล้วองค์ท่านก็ปล่อยโอกาสให้เล่าถวายต่อไป

กราบเรียนต่อไปว่า “วันหนึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน กำหนดลมออกเข้า เมื่อลมละเอียดลงไป ปรารภขึ้นมาว่า เออ ท่านผู้พ้นไปแล้วก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ท่านผู้ตะเกียกตะกายอยากพ้นไป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ผู้ไม่มีข้อวัตรอันใดเพื่อหลุดเพื่อพ้น ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ผู้ที่ถือว่าไม่มีบุญไม่มีบาป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ในเวลาวิจารณ์อยู่นั้น รู้พร้อมกันกับลมออกเข้า ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังแล้วเกิดความพอใจ ร้องขึ้นจนสุดเสียง แล้วขู่ตนว่า มันจะเป็นบ้านะ ตอบตนเร็วด่วนว่า ถ้ารู้ว่าตนจะเป็นบ้าก็อย่าบ้าซิ ผิดถูกประการใด กราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้โปรดกรุณาแก้ไขเทอญ”

องค์ท่านทอดสายตาลงต่ำขณะหนึ่งแล้ว จึงกรุณากล่าวว่า

“เออพิจารณาตามเป็นจริงของธรรมส่วนนี้”

ว่าแล้วองค์ท่านก็เรียกหา “สามเณรบุญเพ็งเอ๋ย เอาบริขารของเธอไปไว้กฏิเดิมของเธอนั้น ออกมาจากถ้ำใหม่ๆ จะได้อยู่ที่เย็นๆ ตามเคย”

แล้วก็ขอโอกาสทำวัตรและต่อนิสัย เสร็จแล้วองค์ท่านถามต่อไปอีกว่า “ได้ยินเขาว่าเปลือกน่องมีอยู่ที่ถ้ำผาแด่น เป็นต้นใหญ่โตได้เห็นหรือไม่”

เรียนว่า “ไม่ได้สังเกตและก็ไม่รู้จักต้นของมันด้วยขอรับ”

“เราต้องการ ทุบแล้วเอามาปูต่างอาสนะนั่ง โรคริดสีดวงทวารเราพอบรรเทาไป”

พอสงฆ์ขึ้นมาประชุมฟังเทศน์ตอนหนึ่งทุ่ม องค์ท่านปรารภขึ้นว่า

“ถ้าจะให้คุณหล้าคืนไปหาเปลือกน่องถ้ำผาแด่น เธอก็มาใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ กำลังเหนื่อย และอั้งโล่ที่เธอทำไว้สี่ห้าอันก่อนออกวิเวก ก็แตกหมด เพราะไม่มีใครทำเป็น ไม่อยากให้เธอไปละทีนี้ เพราะขาดผู้ใช้หลายหน้าที่หยาบๆ หนักๆ ไปองค์หนึ่งในวัด”

พระอาจารย์มหาบัวปรารภขึ้นว่า “เกล้าจะไปเอาเองดอก พรุ่งนี้”

พอถึงวัน องค์ท่านก็ไปองค์เดียวด้วยฝีเท้า เพราะสมัยนั้นฝีเท้าทั้งนั้น ข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้า คาดคะเนในใจไม่ผิด การที่พระอาจารย์มหาบัวไปเอาเปลือกน่องถ้ำผาแด่นนี้ ไม่ใช่ไปด้วยภาพพจน์โง่ๆ เลย

๑. เพื่อรับให้หลวงปู่โดยเคารพและศรัทธา

๒. เพื่อสอบว่า ท่านหล้ามาอยู่ถ้ำผาแด่นหนึ่งเดือนแต่ผู้เดียวจริงหรือ ถ้าหากว่ามาอยู่จริง ปฏิบัติไปแถวใด คลุกคลีกับญาติโยมขนาดไหน ฉันในบาตรหรือนอกบาตร อยู่แบบข่มใจหรือพอใจ คำพูดขณะอยู่ถ้ำและขณะญาติโยมไปในวันพระนั้น พูดไปเทศน์ไปแถวใดบ้าง เหล่านี้เป็นต้น

แต่ข้าพเจ้าคาดคะเนแล้วก็ไม่เดือดร้อน กลับมีความดีใจว่า โชคดีมีครูบาอาจารย์ผู้สำคัญไปสืบเป็นพยาน

พอองค์ท่านไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก็ได้เปลือกน่องมาจริง แล้วองค์ท่านไปเที่ยวพูดกับหมู่ลับหลังว่า

“ท่านหล้านี้นับเข้าเป็นหมู่กับพวกเราได้นะ ผมไปสืบดูแล้วไม่มีสิ่งที่จะดูถูกท่านได้ แต่ข้างหน้าใครๆ ก็มองกันไม่เห็นได้ ถ้าหากว่าต่างก็มุ่งหลุดมุ่งพ้น แล้วต่างก็ตะเกียกตะกายสูงใจสูงธรรมขึ้นในตัวดอก”

นี่เป็นคำพูดของพระอาจารย์มหาบัวพูดกับหมู่ลับหลัง ข้าพเจ้าได้ฟังหมู่เล่าให้ฟังแล้ว ก็พิจารณาเป็นกลางๆ ไม่รับไม่ปัด...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO