นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 1:38 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความหลง
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 13 ก.ค. 2022 6:34 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4540
เข้าพรรรษาแล้ว...ให้พยายามทำใจให้ผ่องใส ใจเราคือนักท่องเที่ยวที่โน่นที่นี่ เราปรารถนามาดีกันทุกคนนะ แต่มาเกิดแล้วก็หลงลืม หลงกันหลายอย่าง หลงในสวรรค์ หลงในกิเลสทั้งนั้น

ให้ตั้งใจภาวนา ดูลมหายใจเข้า-ออก สติจดจ่อในคำบริกรรม พอจิตสงบได้เดี๋ยวก็ลงเอง สำคัญที่สุดคือสติที่ควบคุมอารมณ์ ควบคุมสติได้ ขอให้ตั้งใจจริงๆ จับที่ลมหายใจเข้า-ออก จดจ่อตลอดไม่ขาดสาย ไม่ขาดระยะ เมื่อมีสมาธิแล้ว กำหนดลมแค่ห้านาทีก็สงบแล้ว สุขใดไหนเท่า สุขจนไม่อยากจะได้อะไรนะ จะรวยขนาดไหนก็เอาไปไม่ได้ ถึงเป็นเศรษฐีก็ทุกข์ ทุกข์ที่ใจว่าเมื่อละโลกนี้ไปแล้วเงินจะไปไหน หลงทรัพย์สมบัติหลงเงินหลงทองมากมาย จิตก็ติดอยู่ที่นั่น ให้เราพยายามทุกอย่างให้จิตบริสุทธิ์สะอาดไม่เกาะเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น เฮฮาครื้นเครงสนุกมันจะไปทางต่ำ ไม่ไปทางสูงนะ...

โอวาทธรรมยามเช้าก่อนรับจังหัน
หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
ณ กุฏิโรงพิมพ์ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
๑๒ ก.ค.๒๕๖๕








" การที่เราออกจากบ้านเป็นอนาคาลิกผู้ไม่มีเรือน ย่อมได้รับความลำบากเป็นธรรมดา การออกจากเรือนก็คือการออกจากปัญหาหลายๆปัญหา เราไม่ต้องมาพะวงเรื่องปัญหาต่างๆที่มีในเรือน เรามานี้เพื่อจะได้ฝึกการยึดติดในเรือน หรือในสิ่งที่เราว่าเป็นของเราด้วย

อีกอย่างจงอย่าคาดหวังใครๆว่าจะดีกับเราไม่ว่าจะที่ไหนหรือวงการไหนๆก็ตาม ยิ่งเราไปตั้งสัจจะท้าทายพระยามารด้วยแล้วว่าจะอยู่วัดหนึ่งปี มารมันจึงเล่นงานเลย เพราะฉะนั้นเมื่อตั้งใจที่จะออกจากทุกข์แล้ว ก็จงอดทนเถิด จงหนักแน่นและรู้เท่าทันมาร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่เครื่องทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น อย่าไปรับฟังเป็นจริงจังอะไรเลย "

พระอาจารย์อุทัย อุทโย (ศิษย์หลวงปู่แบน ธนากโร)
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
ให้โอวาทแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ ๑๐ ก.ค. ๖๕







"ไม่มีบุญใดจะมากเท่ากับการภาวนา
นั่งภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป
ยืนภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป
เดินภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป
นอนภาวนาก็ได้บุญฆ่าบาป"

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์เขาพนมปลายบัด อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์






"..โอ้ยวันไหนเจ็บกายหนอ โอยมันไม่ฟังเราหรอก มันจะเอาอันนี้มันก็ไม่เอา นี่ก็แปลว่าซังมันแล้วนะ คนซังธรรมนี้ ไม่เห็นธรรมนะ..."

ธรรมะคำสอน
หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ
วัดป่าอาจารย์ตื้อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่






" พระพุทธเจ้าไม่ใช่ช่างทำส้วม "

ใครจึงไม่ควรดุด่าลูกๆ หลานๆ ด้วยการประมาทพระศาสนาว่า “ไอ้นี่มันเกียจคร้านนัก เอาไปบวชเสีย” เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ช่างทำส้วม ธรรมของท่านไม่ใช่ส้วมพอจะเป็นเครื่องรับถ่ายมูตรคูถเช่นนั้น ศาสนาไม่ใช่ห้องน้ำห้องส้วมหลุมมูตรหลุมคูถ

ผู้ที่ประกอบความเพียร ความเสียสละ ความอดความทน จนถึงเป็นถึงตาย จะมีใครเกินพระพุทธเจ้าไปได้เล่า นี่แหละต้นเหตุที่จะได้ธรรมอันประเสริฐเลิศโลกเกิดขึ้นและนำมาประกาศสอนโลกทั่วไป ท่านได้มาด้วยวิธีนั้นด้วยอาการนั้น ฉะนั้นการที่จะรื้อถอนตนให้พ้นจากทุกข์ จึงต้องอาศัยความพากเพียรอย่างเต็มกำลังความสามารถขาดดิ้นไม่ยอมลดละ ไม่ยอมถอยหลัง ถ้าถอยก็ต้องจมอีก ไม่ถอยก็ไม่จม ค่อยคืบคลานขึ้นมาด้วยความเพียรโดยสม่ำเสมอ ก็ย่อมจะผ่านพ้นไปได้

ร่างกายเรานี้ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าไม่พาทำประโยชน์เสียแต่เวลานี้ ตายแล้วมีแต่เรื่องยุ่งกัน “โอ้โห ยุ่งมหายุ่ง นั่นซิมันดูไม่ได้ ไอ้เรื่องตายนี้ถือกันว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ยุ่งกันไปหมด คนเป็นนั่นแหละตัวยุ่ง หาอะไรมายุ่งกันไปหมด เห็นแต่พระตายก็ยังยุ่งมาก ซึ่งไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยก็ยังเป็นได้ ท่านตายแล้วเก็บหมักเก็บดองเอาไว้ไม่ทราบว่ากี่เรื่องกี่ราย จะทำปลาร้าหรือน้ำปลาก็ไม่ได้ แต่ใจชอบอย่างนั้น หลั่งไหลมายุ่งด้วยกันโดยไม่มีเหตุมีผลอะไรที่ไม่ควรเป็นเลย มันก็ยังเป็น เพราะใจมนุษย์นิยมชอบอย่างนั้น

เวลายังมีชีวิตอยู่ จะสนใจประพฤติปฏิบัติคุณงามความดีให้เกิดจากสกลกายนี้ก็ไม่ค่อยสนใจ เวลาตายแล้วจะให้ร่างกายนี้เป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไรกัน ถ้าไม่พาทำเสียตั้งแต่บัดนี้ ทำให้พอ ! "

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙






“ให้พากันรีบเร่งปฏิบัติ ถือศีลภาวนา
เพื่อให้พ้นทุกข์ จะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนตาย
เวียนเกิดอีก

อย่าพากันนิ่งนอนใจ จากนี้ไป
โลกมนุษย์จะไม่น่าอยู่เเล้ว จะมีแต่คนพาล
คนเกเร จิตใจโหดเหี้ยม คนบาปหยาบหนามาเกิด
เราๆ จะอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้หรอก ให้พากันรีบเร่งปฏิบัติ

หากเเม้นชาตินี้ เรายังไม่พ้นทุกข์
ก็ให้ได้ไปบำเพ็ญภาวนารออยู่ชั้นพรหมโน่น
เพื่อรอลงมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคของพระศรีอริยเมตไตย
ในยุคนั้น จะมีแต่คนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้มาเกิด
ทุกคนจะมีอายุยืนเป็นหมื่นปี มีความสุข หน้าตาสวยงาม
ไม่มีโรคภัย ไม่มีความยากจน และทุกคนได้บำเพ็ญภาวนา
ปฏิบัติธรรม

หลังจากนั้น จะได้เข้าสู่นิพพานถ้วนหน้าทุกคน”

หลวงปู่อว้าน เขมโก








"ความสบายใจ ไม่ได้อยู่ที่การพยายามทำทุกสิ่ง
ให้ได้ดั่งใจ แต่อยู่ที่การยอมรับว่า ไม่มีอะไร
จะได้ดั่งใจเราไปทั้งหมด"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





"บางทีมีความสุข บางทีมีความทุกข์
บางทีสบาย บางทีรำคาญ
บางทีรักคนโน้น บางทีเกลียดคนนี้
นี้คือ... ธรรมะ"

หลวงพ่อชา สุภัทโท






#ที่สุดแห่งธรรม
#น้อมกราบองค์พระหลวงตา

ความรักความชัง
เมื่อสิ่งหนึ่งผ่อน มันย่อมผ่อนไปตามๆกัน
ความเกลียดความโกรธก็ผ่อนไปตามๆกัน
จนผลสุดท้ายสิ่งที่ไปรักไปเกลียดไปโกรธนั้น
ก็เป็นสภาพความจริงอันหนึ่งๆเท่านั้นเอง
ไม่เห็นมีอะไรนอกจากผู้นี้ไปเป็นเสียเอง
ไปรักไปชอบไปเกลียดไปโกรธ
ด้วยความโง่เง่าเขลาปัญญาของตนเท่านั้น
จิตก็ทราบทั้งภายนอก
ทราบทั้งตัวเป็นผู้ไปก่อเหตุ
และทราบทางวิธีแก้ไขถอดถอนสิ่งเหล่านี้
จิตก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นปกติโดยลำดับ

สิ่งกวนใจทั้งหลายเหล่านี้ก็มีน้อยลง
เพราะการกลั่นกรองอยู่เสมอ
จนผลสุดท้ายสิ่งภายนอกถูกพินิจพิจารณา
จนเข้าถึงขั้นความจริง
แล้วปล่อยวางเข้ามาได้โดยลำดับ
จนกระทั่งปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง
เพราะอุบายของสติปัญญา
ผู้พิจารณาแก้ไขถอดถอน
จิตย่อมเข้าสู่ความเป็นตัวของตัวได้โดยลำดับ

คำว่าความสงบ
ก็คือสงบจากสิ่งที่กล่าวนี้
ไม่ถืออารมณ์ใดเข้ามายุ่งกวนใจ
ไม่ถือรูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด
ซึ่งอยู่ภายนอกเข้ามาเป็นอารมณ์เครื่องกวนใจ
เพราะใจพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงๆเหล่านั้นแล้ว
ต่างอันต่างอยู่
ใจก็ไม่เอื้อมออกไปยึดไปถือ
ไปสำคัญมั่นหมาย
ไปตำหนิติชมสิ่งต่างๆด้วยความคะนองของตน
เพราะสติปัญญารู้รอบขอบชิดความคะนองอันนี้แล้ว
แล้วก็รู้ชอบในสิ่งทั้งหลายภายนอกนั้นด้วยแล้ว

จิตที่เคยคึกคะนองก็กลายเป็นจิตที่สงบขึ้นมา
เปลี่ยนอาการของตนเข้าไปเรื่อยๆ
จากความคึกคะนองเข้าเป็นความสงบ
คึกคะนองในรูป ในเสียง ในกลิ่นในรส
เครื่องสัมผัสต่างๆ ผ่านกันเข้ามาๆ
หรือถอนตัวเข้ามาโดยลำดับ
กลายเป็นจิตที่สงบตัวไม่คึกคะนอง
เพียงเท่านี้จิตก็มีความสุขสงบเย็น
นี่อุบายที่จะพิสูจน์
หรืออุบายพิสูจน์เพื่อรู้ความจริง
ให้เห็นกันตามความจริงในหลักธรรมชาติ
พิจารณาอย่างนี้

จิตเมื่อมีความสงบ
ความเย็นความสบาย ความสุขไม่ต้องถาม
เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับความสงบ
เนื่องจากไม่ก่อกวนตัวเอง
#และไม่ยุ่งกับสิ่งใดๆ
เพราะพิจารณารอบแล้ว
#นี่จิตเริ่มเข้ามาเป็นตัวของตัว
#ถ้าพูดถึงสมาธิก็เริ่มมีฐานแห่งสมาธิ
#เริ่มมีฐานแห่งความสงบ
เมื่อมีความสงบ ความร่มเย็นก็มี

จิตใจที่เคยส่ายแส่กับสิ่งภายนอก
ถือมาเป็นอารมณ์
ถือมาเป็นเครื่องยึดเครื่องถือ
เครื่องเผาผลาญตนเอง
ทั้งๆที่สำคัญว่าสิ่งนั้นดี
แต่ผลของมันมาเผาผลาญตนเอง
มันก็ปล่อยลงไปได้โดยลำดับ

#อย่างท่านสอนให้พิจารณาร่างกาย
#อันเป็นสำคัญในขั้นหนึ่ง
#ขั้นราคะตัณหา
ท่านก็แยกแยะดูตั้งแต่ข้างนอกผิวหนังเข้าไป
จนกระทั่งถึงเนื้อ ถึงเอ็น ถึงกระดูก
ภายในทุกสัดทุกส่วน
แยกดูแล้วมันมีแต่สิ่งนั้นๆ
หาความที่น่ารักน่าชอบใจ
น่ากำหนัดยินดีตรงไหนไม่มีเลย
มันคิดไปแบบลมๆแล้งๆ
สำคัญมั่นหมายไปแบบลมๆแล้งๆ หาความจริงไม่ได้
มันก็รู้ด้วยปัญญาของตน
ปัญญาซึ่งเป็นของจริง
สามารถที่จะกำจัดสิ่งที่ปลอมทั้งหลาย
โดยความสำคัญต่างๆนั้นออกไปได้โดยลำดับ
จนกลายเป็นความจริงขึ้นมาด้วยกัน

เมื่อจิตได้ปล่อยได้คลาย
จากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วก็เบา
เบาในตัวเองเพราะไม่ยึด

อุปาทานแปลว่าความยึด
แปลว่าความแบกความหามภาระ
สิ่งเหล่านั้นเป็นภาระของจิต
เมื่อจิตเข้าไปแบกหามต้องเป็นทุกข์ต้องหนัก
เมื่อถอนตัวออกมาแล้วย่อมเบา
ถอนออกไปเป็นขั้นๆตอนๆ
ตามกำลังของสติปัญญา
หรือขั้นของสติปัญญา

นี่จะเรียกว่าเป็นการพิสูจน์วัฏจักร
คือความหมุนเวียนแห่งความเกิดแก่เจ็บตาย
ของจิตตัวนี้ก็ไม่ผิด
เพราะเป็นสัจธรรมอันเดียวกัน
นี่เป็นอาการแห่งความหมุนเวียนอย่างที่กล่าวมานี้
ให้รักให้ชังให้เกลียดให้โกรธ
มันเป็นสหายกันกับความท่องเที่ยว
เพราะความหลง

ความหลงรักหลงชังก็คือความหลง
เมื่อรู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริงแล้ว
ก็ปล่อยเข้ามา
สลัดปัดทิ้งไปโดยลำดับ

สิ่งใดที่มีความสัมผัสสัมพันธ์ความดูดดื่ม
ที่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ไม่เห็น
จิตใจย่อมมีความจดจ่อกับสิ่งนั้น
อยากรู้อยากเห็นสิ่งนั้น
ด้วยการพินิจพิจารณาอีกเช่นเดียวกัน
ย่อมจะพ้นความสนใจนี้ไปไม่ได้
จึงต้องพิจารณา...

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






มีแต่เรื่องดับทุกข์ดับโทษตลอดเวลา เรื่องอื่นไม่ได้สนใจเลย

พระอาจารย์คม อภิวโร






เรื่องเจ้าของสิ่งใดมันเกิดมันกะดับ ดับไป โดยมากเฮาไปคว้าเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วมายึดไว้มันจึงเสียที

คือความเกิดขึ้น คือความคิด พอตาเห็นรูปเกิดความรู้สึก เรียกว่า วิญญาณ ว่านั่นเป็นเวทนา คือไปทำจั๋งได๋ ขั่นยินดีเป็นสุขเวทนา ขั่นยินร้ายเป็นทุกขเวทนา

เพิ่นจังว่าให้รักษาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย เวลาไปสัมผัส ระวังความรู้สึก บาปมันเกิดนี่ บุญกะเกิดนี่ ขั้นไปเห็นแนวดี ฟังแนวดีกะเป็นดีไป ขั่นฟังแนวฮ่ายไปทางฮ่ายไปนี่ เพิ่นว่าใจมีขึ้นมีลง

จนกว่าฮู้ ฮู้รอบเรื่องเจ้าของมันปกติอยู่ ขั่นปกติเพิ่นว่าศีล ศีลเป็นโตสิเมื่อโตแท้ๆ คือใจโตเดียว

ศีลที่เพิ่นว่านี่ กายกับวาจา กายกับวาจามันไปเพราะใจ ใจนึกขึ้นและกระทำ ใจนึกขึ้นกะพูด ขั่นหากว่ามีสติอยู่ตลอด กะเป็นผู้มีศีลอยู่เรื่อย

หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO