นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 3:32 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตเป็นธรรมะชาติ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 01 ก.ค. 2022 5:35 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
#ทำบุญอุทิศส่วนกุศล

"... ความจำเป็นของมนุษย์เรานี้แม้จะทุกข์
ยากลำบากขนาดไหนก็ไม่เท่าไรนัก ไม่เท่าความจำเป็นในเมืองผี ความจำเป็นในเมืองผี
นี้จำเป็นจริง ๆ อาศัยใครไม่ได้ ดูแล้วมีแต่
สัตว์นรกด้วยกัน เช่นเดียวกับคนในเรือนจำ
มีมากขนาดไหนนักโทษอาศัยกันไม่ได้ เพราะเป็นนักโทษด้วยกัน

... นี่ก็เหมือนกัน พวกตกทุกข์ได้ยากลำบากเข็ญใจเป็นเปรตเป็นผีเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสารนี้อาศัยกันไม่ได้นะ มีมากเท่า
ไร มีแต่ผู้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ไม่สามารถที่จะเอาความสุขแบ่งปันกันได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยความสุขในมนุษย์เรา ท่านผู้มีใจบุญใจกว้างใจขวางทำบุญแต่ละครั้ง ๆ นี้อุทิศส่วนกุศลถึงสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนนี้ ท่านเหล่านั้นก็พลอยได้อาศัย เช่น อย่างวันนี้เราทำบุญกุศลนี้เพื่อแผ่กุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้ถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั่วโลกดินแดน ท่านเหล่านั้นจะอนุโมทนาสาธุการลั่นโลกละวันนี้ วันพวกเราทั้งหลายได้ทำบุญให้ทาน

... เพราะฉะนั้นจงให้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่บัดนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าได้ประมาท เมืองคนกับเมืองผีมีเช่นเดียวกันนี้และมีความจำเป็นมาก เมือง
ผีมีความจำเป็นมากยิ่งกว่าเมืองมนุษย์เรา มนุษย์เรานี้แม้จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหน
ก็ยังพอพึ่งพออาศัยกันได้ เมืองผีอาศัยไม่ได้นะ ต้องอาศัยผลบุญผลกุศลที่บรรดาท่านผู้
มีใจบุญอันกว้างขวางอุทิศส่วนกุศลแผ่ไปให้เท่านั้น นอกนั้นไม่มี พวกนี้จึงมีความหิวความกระหายเอามากทีเดียวต่อบุญต่อกุศล

... พวกเปรตมีหลายประเภท เปรตที่จะรับ
ส่วนทักษิณาทานได้ก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต เหล่านี้ไม่น้อยนะเต็มโลกเต็มสงสาร เวลาแผ่ส่วนกุศลไปให้อย่างนี้ได้อนุโมทนาสาธุการ
ถ้ามีหูทิพย์ก็ได้ยินเสียงดังลั่นโลกธาตุ ถ้าหูหนังอย่างนี้ไม่ได้เรื่องอะไรแหละ หูทิพย์เหมือนหูพระพุทธเจ้าท่านเสียงลั่นได้ยินไปหมด และท่านผู้มีความเชี่ยวชาญในทางนี้ก็รู้ได้ทราบทั่วกันหมด

... ยกตัวอย่างสมัยปัจจุบันนี้ อย่างพ่อแม่ครู
จารย์มั่น ไม่ได้ยกยอท่าน เอาความจริงที่เป็นจริงมาเล่าให้ฟัง เวลาใส่บาตรพวกญาติโยมเขาอนุโมทนาสาธุการ ท่านบอกว่าให้สาธุดัง ๆ โน่น พวกเทพอยู่บนภูเขาอยู่ตามต้นไม้ที่เรียกรุกขเทพ อยู่ตามอากาศ เขาคอยอนุโมทนาอยู่ พวกท่านทั้งหลายสาธุแต่ละครั้งนี้พวกเขาสาธุลั่นโลกธาตุไม่ได้ยินเสียงเขาหรอกเหรอ นั่นเห็นไหมท่านผู้เป็นหูทิพย์ พวกเทพทั้งหลายอนุโมทนาเวลาเราไปทำบุญให้ทานท่านอนุโมทนา เราสาธุการทางโน้นก็สาธุการลั่น ท่านจึงบอกให้สาธุการดัง ๆ ให้ท่านเหล่านั้นได้มีความยิ้มแย้มแจ่มใสอนุโมทนากับส่วนบุญของพวกเรา นี่ละสมัยปัจจุบันนี้คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่เชี่ยวชาญมากที่สุดในเรื่องเทพเรื่องเปรตเรื่องผี ได้ไปอยู่กับท่านแล้ว ไม่ได้เอาครูบาอาจารย์มาอวดนะ เราไม่ต้องการเรื่องความอวด เอาความจริงมาพูดเป็นเครื่องยืนยันให้เป็นคติแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายต่างหาก

... ขอให้ได้ยึดไว้ว่า เมืองผีเมืองคนมีเช่นเดียวกันนี้ ผีมีหลายประเภทนับไม่ถ้วนเลย
คนเรายังมีประเภทเดียว นอกจากจัดกันว่าชาตินั้นชาตินี้ ก็คือคนเหมือนกัน มองดูแล้ว
ก็คือคน มีรูปร่างลักษณะใหญ่โต เล็กบ้าง
ต่างกันเพียงเท่านั้น และคำพูดภาษา ใครเกิดมาอยู่ในสถานที่ใดภาษาก็เป็นของตนในสถานที่นั่น เวลาพูดออกมาก็เป็นภาษาของ
ตนไป เลยต่างภาษากันบ้างเพียงเท่านั้น
ภาษานี้เป็นคำพูดเพื่อความเข้าใจแก่กัน นกเขาก็มีภาษาใช้ประจำเขา สัตว์ทั้งหลาย
เขามีภาษาใช้ประจำ มนุษย์เราก็ต้องมีภาษาใช้ประจำ ต่างกันเพียงเท่านั้น ส่วนกำเนิดเกิดได้รับความทุกข์ความทรมาน เปรต ผี กับพวกเรานี้ต่างกันมากทีเดียว

... เพราะฉะนั้นขออย่าได้พากันประมาท ให้
รีบเร่งขวนขวายคุณงามความดีเสียตั้งแต่
บัดนี้ ตายแล้วเราไม่อยากเป็นเปรตเป็นผีนี่นะ เราอยากเป็นมนุษย์ อย่างน้อยเป็นมนุษย์ มากกว่านั้นเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม หรือถ้าบุญกุศลมากยิ่งกว่านั้นแล้วก็เข้าถึงนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายรับความทุกข์ความลำบากอีกต่อไป ... "
#ในวันนี้ก็ขอให้ทุกท่านได้ตั้งใจแผ่ส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาร่วมกันวันนี้
#แก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ_มีบิดามารดาปู่ย่าตายายเป็นต้น
#ให้ได้รับส่วนกุศลมีความสุขโดยทั่วกัน
#ขอให้พี่น้องทั้งหลายกลับบ้านด้วยความสวัสดีปลอดภัยโดยทั่วหน้ากันเทอญ

#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโน
#เทศน์อบรมฆราวาส_ณ_วัดป่าบ้านตาด
[เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘]​







การปลูกฝังธรรมะ หมายถึง การแข่งขันกับนิสัยของความโลภ ความโกรธ และความหลงในจิตใจ

หลวงพ่อกัลยาโณ ภิกขุ
วัดพุทธโพธิวัน เมลเบิร์น รัฐวิคตอเลีย ประเทศออสเตรเลีย

#พระอาจารย์ฝรั่ง

Cultivating the Dhamma means competing with the habits of greed, anger and delusion in your mind.

Luang Por Kalyano
BUDDHA BODHIVANA MONASTERY







“สิ่งที่เราตั้งใจปฏิบัติอยู่ปัจจุบันนี้
ก็เพื่อระงับความสุข ความทุกข์
เรียกว่าความสงบ

ความสุข นั้นยังไม่ใช่ธรรมะอันแท้จริง
ความทุกข์ ก็ยังไม่ใช่ธรรมะอันแท้จริง
ความสงบ นั้นสงบจากสุข สงบจากทุกข์นั้นเอง

โยมทั้งหลาย ถ้ารู้จัก ...
น้ำตาจะไม่ได้ไหลอีกต่อไปแล้ว”

หลวงปู่ชา สุภัทโท







..ผู้เป็นพระโสดาบันนั้น จะรู้ตนว่ามีศีล ๕ ศีล ๘ ครบบริบูรณ์ ถ้ารู้ว่าปฏิบัติได้มากกว่านั้น ก็รู้ตัวว่าได้มากกว่านั้น ไม่สงสัย ไม่ลูบคลำว่าศีลข้อนั้นมันดีหรือไม่ดี พระสกิทาคามีนั้น ละความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เบาบางลงได้แต่ไม่หมด พระอนาคามีนั้นอยู่ในฌานเป็นพรหมจรรย์อยู่โดดเดี่ยว เหมือนคนไม่มีคู่เรียงเคียงหมอน จิตวิญญาณมีอยู่ขันธ์เดียว อยู่กับความสุข ไม่ยุ่งกับใคร ศีล ๘ สมบูรณ์

..สำหรับพระอรหันต์นั้น รู้แจ้งหมดแล้ว หายสงสัยในโลกหมดแล้ว รู้โลกแจ้งชัดเจนแล้ว ไม่หลงโลก ใครจะทำให้หลงก็ไม่หลง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีความต้องการ ร่างกายก็รู้หมด รู้เฒ่า รู้แก่ รู้เจ็บ รู้ตาย รู้ทุกข์ รู้ยาก พอแล้ว อิ่มแล้ว ไม่เอารูปขันธ์นี้แล้ว เรียกว่าตัดกิเลสขาด ขาดจากความยึดมั่น ถือมั่น วิราโค คลายความกำหนด สิ้นความยินดี ไม่ยินดีกับอะไรในโลกนี้ ความรัก ความชังขาดลอยหมดแล้ว ไม่แต่อุเบกขาญาณ วางเฉยอยู่แต่ยังสอนคนอยู่ จะเอาไม่เอาช่างมัน สอนด้วยความเมตตาเฉยๆ แต่ตัวท่านนั้นทำงานเสร็จแล้ว ไม่มีงานจะทำแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือ การปฏิบัติธรรมอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำไม่มีอีก ที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะมาเกิดอีกไม่มี จิตของท่านไม่ต้องพูดถึง เป็นสมาธิทั้งวันทั้งคืน เป็นอยู่ทุกขณะ รู้อยู่ตลอด พุทโธเต็มอยู่บริบูรณ์อยู่ตลอด มีธัมโม สังโฆอยู่ในตัวตลอด

..ท่านว่า ผู้ที่รู้ธรรมย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง และวิญญูชน รู้ด้วยเฉพาะตัวเอง เหมือนว่า ร้อนเรารู้ หนาวเรารู้ เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ด้วย ทุกข์เรา ก็รู้อยู่คนเดียวของเรา คนอื่นจะมารู้ไม่ได้ วิญญูชนรู้ได้ด้วยเฉพาะตนเอง ไม่ต้องไปวัดหรอก ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์มาวัดหรอก เขาจะวัดของเขาเอง ถ้าเขาหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เขาก็จะรู้ของเขาเองว่าหลุดพ้นแล้ว ไม่มีอะไรขัดข้องกับจิตใจ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







#ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง

"การปฏิบัติภาวนานี้ อย่าไปสงสัยมันเลย เราหนีจากบ้านมาบวช ไม่ใช่เพื่อหนีมาอยู่กับความหลง หรืออยู่กับความขลาดความกลัว แต่หนีมาเพื่อฝึกอบรมตัวเอง เพื่อเป็นนายตัวเอง ชนะตัวเอง ถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราก็จะปฏิบัติธรรมได้ ธรรมะจะแจ่มชัดขึ้นในใจของเรา

ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะ ทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบ ก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา เท่านั้นก็พอ

เมื่อใดที่เราเห็นธรรม นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้ แยกได้ เมื่อนั้น มันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้น สำหรับเราเท่านั้นเอง เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา"

...... หลวงปู่ชา สุภทฺโท
.







ปัญญาที่เกิดจากการจำแผนที่ กับปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูมิประเทศนั้นไม่เหมือนกัน

ปัญญาที่ได้จากการเรียนตามแผนที่ คือ การศึกษาเล่าเรียนจากตำรับตำราอย่างเดียว ความจำ ความเข้าใจ การตีความอาจไม่ตรงต่อความเป็นจริงของธรรมะ

ส่วนปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูมิประทศ คือจากการปฏิบัติภาวนานั้น เมื่อทุกคนทำให้เกิด ให้มีขึ้นในจิตใจของตนแล้ว ต่างก็หมดความสงสัยในธรรมะนั้นๆ ไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีการ ถกเถียงกันอีกต่อไป

หลวงปู่ ให้คำอธิบายต่อไปอีกว่า :-

การที่จะปฏิบัติให้ถึงโลกุตรธรรมนั้นไม่ใช่ของง่าย ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำรา แล้วเอามาพูดคุยกันอวดกัน

ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ต้องปฏิบัติทางด้านจิตใจ ให้เป็นผู้รู้เองเห็นเองด้วยตนของตนเอง เริ่มแต่มีอินทรีย์สังวร ขึ้นไป

เพราะบรรดากิเลสน้อยใหญ่ เกิดทางอินทรีย์เรานี้ คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ความชั่วก็ดี ความดีก็ดี เกิดจากทวารเหล่านี้

เมื่อความชั่วเกิด ต้องมีสติรู้เท่าทัน และป้องกันไม่ให้เกิด ละออกจากจิตใจของเรานี้ เอาจิตเอาใจของเรานี้ละ เอาจิตใจของเรานี้ปล่อย เอาจิตเอาใจของเรานี้วาง จากความชั่วทั้งสิ้น

เมื่อปล่อยวางได้ ความชั่วทั้งที่เป็นส่วนหยาบ ที่เกิดจากกายและวาจา ทั้งที่เป็นส่วนละเอียดที เกิดจากใจ ก็ไม่มี

ส่วนที่มันละเอียด เป็นอนุสัย นอนเนื่องอยู่นั่นแหละสำคัญละ มันปล่อยวางมันไม่ได้ง่ายๆ มันมักไม่แสดงตัว มันเก็บตัวของมัน ในส่วนลึกของจิตใจ

ถ้าปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ เป็นมรรคเครื่องดำเนินไปสู่ ปัญญา ทำศีล ทำสมาธิ ทำ ปัญญา ของตนให้เป็นเอกมรรค เครื่องดำเนินเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ จึงจะสามารถมองเห็น ส่วนละเอียดที่เป็นอนุสัยของกิเลสได้

เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอกมรรคแล้วเช่นนี้ จิตที่เป็นส่วนละเอียดที่ทรงตัวอยู่ จะเรียกว่า จิตมีอิทธิบาท หรือมีโพชฌงค์ หรือมีพละ หรือจิตมีมรรค ก็เรียกได้ทั้งนั้น เพราะธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นมาส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในขณะที่จิตที่เป็นไปกับธรรม

เมื่อจิตตกสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว โลกุตรธรรม อันเป็นส่วนมรรคก็ดี อันเป็นส่วนผลก็ดี ต้องปฏิบัติจิตใจของตนให้เกิด ให้เข้าถึงธรรมเสียก่อน จึงจะพูดได้ด้วยความอาจหาญ แน่ใจ อธิบายก็อธิบายด้วยความอาจหาญแน่ใจ

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







#สติสัมปชัญญะต้องตื่นอยู่เสมอ

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงการปฏิบัติทางจิตว่า เป็นของที่ละเอียดอ่อนมาก สติสัมปชัญญะ ต้องตื่นอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะตามไม่ทันจิต

จิตเป็นธรรมชาติชอบคิด ชอบปรุง ชอบแส่ส่ายไปหาอารมณ์จากที่ใกล้ที่ไกล ไม่มีขอบเขต

ถ้าอยู่ในที่ชุมชน อารมณ์ที่เข้ามานั้น ส่วนมากจะเข้ามาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง

การต้อนรับอารมณ์ของจิต มักจะนำมาแบกมาหาม มาทับ มาถมด้วยตัวเอง การที่จะสลัดตัดวางนั้นไม่ค่อยปรากฏ

เพราะเหตุนั้น จึงทำให้เราเป็นทุกข์ไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นสุขไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นความเพลิดเพลินไปกับอารมณ์นั้นๆ ทั้งนี้เพราะขาดการพิจารณาของจิตนั่นเอง

จิตที่ไม่มีสติเป็นพี่เลี้ยงคอยควบคุมคอยแนะนำ มักจะไปแบกไปหาบ ไปหาม เอาทุกสิ่ง ทุกอย่างมาทับถมตนเอง ให้เกิดทุกข์ ถึงกับบางคนตีอก ชกตน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่ารื่นรมย์ กลายเป็นพิษเป็นภัยไปก็มาก

ส่วนอารมณ์ของนักปฏิบัติผู้อยู่ในป่านั้น มักเกิดขึ้นกับจิตที่ชอบปรุงแต่งเป็นอดีต เป็นอนาคต ซึ่งอารมณ์ประเภทนี้ ทำลายนักปฏิบัติมามากต่อมากแล้ว เพราะไม่รู้เท่าทันกลมายาของจิต เหตุเพราะขาดสติปัญญานั่นเอง

ดังนั้น การปฏิบัติจิตภาวนา จำเป็นต้องตื่นอยู่เสมอ อารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกตามทวารต่างๆ นั้น ต้องได้รับการใคร่ครวญพิจารณา จากสติ สัมปชัญญะ เสียก่อนทุกครั้ง

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






"...ถ้าเราต้องการให้ได้ผลเป็นที่พอใจเป็นลำดับลำดา ให้พากันตั้งอกตั้งใจดำเนินทางด้านภาวนาดังที่กล่าวแล้วนี้ จิตใจจะสงบๆ ไปเรื่อย จากนั้นก็เป็นสมาธิขึ้นมา คำว่า “สมาธิ” คือความแน่นหนามั่นคงของใจ ไม่วอกแวกคลอนแคลน จิตใจอิ่มอารมณ์ คืออารมณ์ที่จิตใจหิวกระหายอยู่ตลอดเวลานั้นได้แก่ หิวอยากดู อยากรู้ อยากเห็น ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัสต่างๆ มีความหิวโหยอยากสัมผัสสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา นี่คือความหิวโหยของใจ ถ้าปล่อยให้คิดอย่างนี้จะหิวโหยตลอดไป และสร้างผลคือความทุกข์ร้อนมาสู่จิตใจของเรา ไม่มีเวลาสงบเย็นใจได้เลย นี่คือจิตหิวโหยอารมณ์

พอจิตมีความสงบเย็น และก้าวเข้าสู่สมาธิเป็นลำดับ จนกลายเป็นสมาธิที่แน่นหนามั่นคงเต็มที่แล้ว อารมณ์เหล่านี้ไม่เข้ามากวนใจ จิตไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องอารมณ์ทั้งหลายที่เคยหิวโหยมา อยู่ด้วยความสงบเย็นใจ เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ ประจำใจของผู้มีสมาธิ นั่งที่ไหนมีแต่ความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในใจ อารมณ์อื่นใดที่เคยรบกวนไม่เข้ามารบกวน จิตอยู่เย็นเป็นสุขในอิริยาบถทั้งสี่ คือยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยความมั่นคงของใจที่มีสมาธิ และอิ่มอารมณ์ตลอด

เวลาจิตมีสมาธิเต็มที่แล้วนั้น ไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องอะไร เพราะเป็นเรื่องก่อกวน แต่ก่อนเราหิวโหยกับอารมณ์นั้นๆ ถ้าไม่ได้คิดได้ปรุงไม่ได้ ดิ้นรนกระวนกระวาย อยากคิดอยากปรุงไม่แล้วไม่เลิกกันสักที สร้างแต่กองทุกข์มาให้ตัวเอง ทีนี้เมื่อเวลาจิตเป็นสมาธิแล้วจะอิ่มอารมณ์ความคิดความปรุงทั้งหลาย หมุนตัวอยู่กับความเย็น ความแน่นหนามั่นคงของใจ เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ ประจำใจ ความรู้เพียงจิตได้ดิ่งลงสู่สมาธินี้เท่านั้น ก็ปรากฏว่าเป็นที่ภาคภูมิใจ ไม่มีคำว่าอิ่มพอ มีแต่ความดูดดื่ม อยู่ด้วยความเย็นใจ สบายใจตลอดเวลา

เพราะเหตุนี้เอง สมาธิจึงทำให้ผู้บำเพ็ญหลงได้ ติดได้ ถ้าไม่มีผู้มาแนะนำในทางปัญญา จะติดสมาธิโดยไม่อาจสงสัย เพราะสมาธิมีรสชาติพอที่จะให้นักบำเพ็ญทั้งหลายติดได้ไม่สงสัย เพราะเป็นรสชาติแห่งธรรม ผิดกันกับรสชาติของโลกเป็นไหนๆ เรื่องของโลกเป็นรสชาติของกิเลสผลิตขึ้นมา กินแล้วมีเบื่อหน่าย อันนี้อยาก อันนั้นกิน อันนั้นดื่ม เบื่อหน่ายอันนั้น มาดื่มอันนี้ คิดเรื่องนั้น เบื่อหน่ายอันนั้น มาคิดเรื่องนี้ นี่เรื่องของอารมณ์ของกิเลส ถ้ารสก็เป็นรสของกิเลส มีความรื่นเริงเสียชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็เอาไฟเข้ามาเผาในฉากหลังนั้นแล นี่คืออารมณ์ของกิเลส..."

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖








ในอดีตชาติปางก่อน
เราทำบุญไม่สม่ำเสมอ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง
ทำให้ชีวิตของเรา มีผลไม่ราบรื่น
มีขึ้นและมีลง ไม่ต้องโทษใคร
ให้โทษตัวเอง เป็นคนไม่สม่ำเสมอ
อย่าไปโทษ"ฟ้าลิขิต"เลย

หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ท่านสอนศิษย์ที่จะสึกไปเป็นฆราวาส เสมอๆ ว่า

เมื่อไปครองเพศฆราวาสแล้ว ให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ โดยย้ำว่าให้สวดบทอิติปิโสธงชัย และพาหุง 8 บท จนเป็นที่ทราบกันดี

ท่านว่าจะทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรือง ปราศจากโรคาพยาธิ

หลวงปู่บุญ ขันธโชติ
วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม





"...นิพพานอยู่ไกล ถ้าจะไปต้องออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ อย่างไปทำบุญใส่บาตร ค่ำมาก็สวดมนต์ไหว้พระ เจริญเมตตาภาวนา ตัดกิเลส ลดตัณหา เดินทุกวัน มันก็ใกล้เข้าไปทุกวัน ถ้าเราไม่ยินดีซึ่งบุญ ไม่ยินดีซึ่งศาสนา พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาไว้ให้ เราไม่กราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สักการะบูชา ไม่มาสะสางล้างโทษ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กินเหล้าเมายา แน่นหนาไปด้วยกิเลสตัณหา ก็จะเดินไปในทางตรงข้ามคือ อบายภูมิ..."

ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO