นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 12:03 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พยายามฝึกสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 07 มิ.ย. 2022 5:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
" การที่คิดจะทำ
คิดที่จะพูด
เรื่องที่คิดว่าจะคิด
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น
เป็นอกุศล ให้เกิดโทษทุกข์
มีทุกข์ เป็นวิบาก
ก็จงเว้นเสีย
ไม่ทำ ไม่พูด ไม่คิด "

พระคติธรรม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร







"การทำสมาธิต้องอย่าขี้เกียจ
ต้องอย่ามักง่าย
ก็ต้องอย่าประมาท
แล้วเราก็จะรู้เอง เห็นเอง"

สมเด็จพระญาณวชิโรดม
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
คัดจากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๑๑ หน้า ๑๐๔






"ถ้าเราไม่ติดในความรัก ความชัง
ความทุกข์ ความสุข เท่านั้น ก็เรียกได้ว่า
เราเดินตามกระแสสมณะธรรมแล้ว"

หลวงปู่ชา สุภัทโท






"เราเกิดมาเพื่อประสบกับความทุกข์
คนที่เกิดมาแล้วทุกคน จะไม่มีทุกข์ เป็นไม่มี
ถ้าหากว่าเรา ยังยึดถือว่าร่างกายเป็นของเรา
ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง
เป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด

เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่า อุปาทาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรม 8 ประการ คือ

มีลาภดีใจ ลาภสลายตัวไปเสียใจ
มียศดีใจ ยศสลายตัวไปเสียใจ
มีความสุขในกามดีใจ ความสุขหมดไปร้อนใจ
ได้รับคำนินทาเดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญมีสุข

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แนะนำให้พวกเรา ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า
ทุกข์ นี้เป็นกฎธรรมดาของโลก”

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)







“ระลึกถึงความตาย บ่อยๆ
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ก็จะทำให้บุคคลนั้น
ได้สร้างคุณงามความดีได้มาก
ตามกำลังความสามารถของตน

จึงจะเป็นผล เป็นประโยชน์แก่ชีวิต
ของบุคคลนั้น ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์”

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป







"ความผูกพันนั่นแล พาให้โลกเป็นทุกข์กันมากน้อย
ถ้าความผูกพันในใจไม่มี ก็ไม่เป็นทุกข์ ธรรมท่าน
จึงสอนให้รู้เท่าทัน และปล่อยวางความผูกพันอันเป็น
ตัวการให้ทุกข์ทั้งหลายเกิด"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน






ถ้าเราเจริญเมตตาจนถึงที่สุด สิ่งที่เค้าคิดร้ายก็จะสลายไปเอง

หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน






#หลวงปู่แบน #ธนากโร
#อย่าไปหาอะไรทั้งหมด #หยุดมัน
#รู้อยู่ตรงนี้นี่แหละธรรม

ตัวสมมุติจริงๆโลกเขาไม่มีโอกาสที่จะรู้ดอก รู้แต่พระพุทธเจ้าและรู้เฉพาะสาวกของพระพุทธเจ้า คำว่าสาวกของพระพุทธเจ้าก็คือผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามที่พระพุทธเจ้าสอนให้ประพฤติปฏิบัติ

แล้วจะมารู้ใจเรียกว่ารู้ผู้รู้ ไม่ใช่รู้อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็พูดว่ารู้อย่างนั้น รู้อย่างนั้นๆอยู่ยังไงก็ช่างเถอะ ถ้าหากว่าหลงอันนี้ก็ยังหลงเป็นการไม่รู้แจ้ง อวิชชา ปัจจยา สังขารา

ไม่รู้แจ้งแล้วมันมาหลงสังขาร หลงความคิดความปรุงความแต่งของเจ้าของนั้น จึงเราไม่ต้องไปหา หาธรรมก็ไม่ต้องไปหา ธรรมก็คือธรรมชาติที่รู้อยู่นี้ ความรู้ก็รู้อยู่นี่แล้วจะไปหาที่ไหน

ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ไม่ใช่ไม่มีอยู่ในเรา ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นธรรมนั้นมีอยู่ในเรา พระพุทธเจ้ารู้อะไร ก็รู้ผู้รู้ ผู้รู้มีอยู่ในเรา คำสอนพระพุทธเจ้าก็สอนให้รู้ผู้รู้นี้

อะไรข้อปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้เรารู้ผู้รู้ ข้อปฏิบัติการกระทำอย่างไรที่จะทำให้รู้เห็นจิตของเรา อันนั้นเป็นข้อปฏิบัติเป็นธรรมเป็นวินัย พระศาสดาสอนอย่างนี้พากันตั้งใจ

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไม่มีในเรา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มีเฉพาะในพระพุทธเจ้า พระสาวกเจ้าเท่านั้น ในเรามีอยู่ อนิจจังทุกขังอนัตตามีอยู่ในเรามีครบ ที่พระพุทธเจ้านำมาเทศนามีอยู่ในเราครบ ที่สมมุติออกไปเป็นธรรม

จะเป็นอะไรสรุปลงไปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรุปเป็นยังไงคือของตายทั้งนั้น ของเกิดมาดับเกิดมาตายทั้งนั้น จะเป็นส่วนรูปธรรมและนามธรรมที่สัมผัสทางตาและทางหูจมูกลิ้นกายและใจ

สัมผัสก็คือมีการเกิดขึ้น สัมผัสพั๊บ!..นั่นสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่สัมผัสนั้นจะต้องดับ ไม่ดับไม่มี

เราไปยึดของตาย ยึดของตายๆยึดของดับแล้วทั้งนั้นว่าดีว่าไม่ดี ดีก็ละเมอเพ้อฝัน ไม่ดีก็ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ ตาสัมผัสของดีก็เป็นทุกข์ สัมผัสสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นทุกข์

ทุกข์เพราะพึงปรารถนา และทุกข์เพราะไม่พึงปรารถนา นี่มันทั้งขึ้นทั้งล่องนะ อันนี้เรื่องของสังขารหลงสังขารหลงสิ่งเหล่านี้แล้ว

อย่าไปหาอะไรทั้งหมด หยุดมัน รู้อยู่ตรงไหนรู้อยู่ตรงนั้น รู้อยู่ตรงนี้ รู้ตรงนี้นี่แหละธรรม

หลวงปู่แบน ธนากโร






#หลวงปู่ท่อน #ญาณธโร
#แม้ที่สุดก็ไม่มีเราในรู้นั้น

เมื่อเราเพียรเพ่งดูจิต ดูความคิด ความนึกของตัวตลอด ไม่ยอมให้หลุดจากจิต แล้วเราจะเข้าใจสังขาร

อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันปรุงให้เราดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะโศกเศร้า มันปรุงเราได้

เวลาไหนเราไม่ปรุงไม่แต่งไปตามสังขาร ราคะ โทสะ โมหะ สังขารปรุงไม่ได้ เรียกนิพพานชั่วขณะ

เวลาภาวนา ต้องไม่มีตัวไม่มีตน
ไม่มีอะไร เป็นอาการว่างไปหมด
แต่ความรู้ไม่ว่าง

ให้ย้อนเข้ามาพิจารณาธรรมะว่า เราตกอยู่ในกองทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เราเป็นผู้รู้ผู้เดียว

แม้ที่สุดก็ไม่มีเราในรู้นั้น ไม่ยึดมั่นยึดถืออะไรอีก วางหมดมันเบาไม่หนักแล้ว

ถ้าจะสึกตัว เป็นโยม..
แต่ใจเป็นพระได้ไหม
มักน้อยไม่แสวงหา
ไม่แต่งตัว ไม่ห่วงหล่อ ห่วงสวย
ถ้าไม่ได้ก็อยู่อย่างนี้ดีกว่า (อย่า สึกดีกว่า)

สติระลึกได้ ใจไม่ลอยไปทางอื่น ไม่เผลอไม่หลง มีความระลึกได้ถี่ยิบเป็นมหาสติ หากรู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ คิดปรุงอะไรอยู่เป็นสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมมีอุปการะมาก ถ้าพร่ำเพ้อเจ้อเป็นคนขาดสติ

สติต้องทำขนาดไหน ทำให้เหมือนเราเดินไปในที่ลื่นๆ ต้องเอาเท้าจิกดิน หากพลาดก็ลื่นล้ม นี้เรียกว่าการตั้งสติ

หายใจเข้ารู้กำหนดพุท หายใจออกรู้กำหนดโธ เป็นการตั้งสติ อย่าหายใจทิ้งเฉยๆ ถ้ามัวคิดไปอย่างอื่น ใจลอย ฟุ้งซ่านเขาเรียกว่านอกลู่นอกทาง ไม่อยู่ในทาง

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร







#หลวงปู่แบน #ธนากโร
#การเผาศพให้เป็นกุศล

เผาศพต้องเผาให้เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ใช่เผาแบบเป็นพิธี ไม่ใช่เผากันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่เผากันอย่างรื่นเริงเพลิดเพลิน พิธีเผาศพบางที่บางแห่ง แต่งตัวไปประกวดแข่งขันกัน อย่างนั้นก็มีไม่ได้เป็นไปในทางสลดสังเวช นิยมถือกันว่าสีขาวบ้างสีดำบ้าง เป็นการไว้ทุกข์ เอาแต่สีไว้ทุกข์ สีมันจะรู้สุขรู้ทุกข์อะไร สีมันจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร

การทำใจให้เกิดความสลดสังเวชให้ใจเห็นว่าร่างกายของคนทุกคน เกิดมาแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ คำว่า “เป็นอย่างนี้” ก็คือ มันไม่เป็นของใคร บางคนตายอายุมาก บางคน ตายอายุยังน้อย ในเมื่อตายแล้ว ก็มีแต่ที่จะเน่าเปื่อย มีแต่จะเน่าเหม็น เวลาเผาอย่างนี้ บางที่กลิ่นของสิ่งที่ตายเน่านั้นเหม็นออกมาจนกระทั่งคนที่เป็นโรคแพ้ผีเน่า ถึงกับว่าอยู่ใกล้ไม่ได้

การเผาศพนั้นไม่ใช่จะเผาแต่คนอื่น ครูบาอาจารย์ท่านสอนอยู่เสมอ ให้เผาศพเจ้าของทุกวัน เราก็เป็นผู้ที่เกิดมาแล้วจะต้องตายเหมือนกัน ไม่ใช่เกิดมาตายแต่เฉพาะคนอื่น เราก็เกิดมาตายเหมือนกัน ร่างกายของเรานี้ล่ะ ให้เผาเขาอยู่ทุกวัน คำว่า “เผาทุกวัน” คืออย่างไรคือนึกว่าเผาร่างกายของเรา ร่างกายอันนี้เขาก็เป็นของทิ้ง ในเมื่อเป็นของทิ้ง เอาไปเผา เผาก็เพื่อให้ไหม้ ให้ซากสกปรกให้ซากสิ่งปฏิกูลอันนี้หมดสิ้นไป เพื่อทำลายขยะเชื้อโรคปฏิกูลนี้ให้หมดสิ้นไปเท่านั้นเอง

การเผาศพเราต้องหัดเผาอยู่เสมอ ประโยชน์ก็เพื่อให้เห็นว่าร่างกายนี้ก็สักแต่ว่าเป็นของทิ้ง ร่างกายของใคร ๆ ก็สักแต่ว่าของทิ้งในเมื่อร่างกายเขาเป็นของทิ้ง แล้วร่างกายจะเป็นเราเป็นเขาได้อย่างไร ร่างกายจะเป็นคนได้อย่างไรก็เห็นชัด ๆ ว่าเป็นของทิ้ง เรื่องการเผาศพนี้จึงต้องเผาให้เป็น ถ้าหากเผาเป็นก็เป็นบุญเป็นกุศล
.
หลวงปู่แบน ธนากโร








…ธรรมที่ได้จากการศึกษา
ยังไม่เข้าไปถึงใจ
ธรรมที่เกิดจากการปฏิบัตินี้
มันถึงใจ …
“มันดับความทุกข์ได้ ดับกิเลสได้ “

.แต่ธรรมที่ได้อ่านได้ฟังนี้
“ มันยังดับกิเลสไม่ได้ “
ยังเข้าไปไม่ถึงใจ กิเลสมันขวางใว้

.ฟังแล้วไม่เอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้
“ แต่ถ้าฟังแล้ว เอาไปปฏิบัติให้ได้ “
มันก็เข้าถึงใจได้

.ฟังแล้วก็ พุทโธ พุทโธ
นั่งสมาธิทำใจให้สงบ มันก็เข้าข้างในได้ พอเข้าข้างในได้ ..ใช้ปัญญาฆ่ากิเลสได้ “ ก็ต้องพยายามปฏิบัติ
เอา สติ พุทโธ สมาธิให้ได้ก่อน “

.ปัญญาจากการอ่านการฟังนี้
เราฟังกันเยอะแยะแล้ว .,ฟังกันหูฉีกแล้ว
แต่ยังเอาไปฆ่ากิเลสไม่ได้
เพราะไม่มีกำลัง ยังเข้าไปไม่ถึงตัวมัน

.ต้องเข้าไปให้ถึงตัวมัน
แล้วก็เอาปัญญาพระพุทธเจ้านี้มาฆ่ามันได้

.” พยายามฝึกสติให้มากๆ “
นั่งสมาธิให้มากๆ ทำจิตรวมให้ได้
ถ้าจิตรวมลงแล้ว..
ก็สามารถเข้าถึงตัวกิเลสได้

.จากนั้นก็เอาธรรมะพระพุทธเจ้า
มาฆ่ามันได้
เอาอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เอาอสุภะ
มาฆ่ามันได้ .
..…………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
11 พฤศจิกายน 2559


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO