นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 6:22 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ควรอบรมจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 05 มิ.ย. 2022 8:34 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
#พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละความชั่ว_ทำความดี

"... ให้เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน อบรมใจของตนให้ผ่องแผ้ว
... ให้เบิกบาน ถ้าใจเศร้าหมอง มีความโลภ ความโกรธ
... ความหลงครอบงำแล้ว มีแต่ความทุกข์ใจ เรียกว่าใจเน่า ใจบูด ใจดำ

... ควรอบรมจิตให้เบิกบานร่าเริง ให้สบาย อย่าให้ตกอยู่ใน
... อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง
ให้ปล่อยวางชำระล้าง
... อย่าให้มันเข้ามาครอบงำ จะมีความสุข ใจเบิกบาน ใจหอม ใจไม่เน่า

#ใจของผู้นั้นละอารมณ์ทั้งหลาย_จิตผ่องแผ้วตั้งมั่นเป็นสมาธิ
#จิตสว่างไสวเป็นจิตสูง_ให้พากันทำเอา ..."

#โอวาทธรรมหลวงปู่ขาว_อนาลโย
#วัดถ้ำกลองเพล
#อำเภอเมือง_จังหวัดหนองบัวลำภู






…พยายามตัดกิเลส ตัณหา
“ ให้มันน้อยลงเรื่อยๆ “

ด้วยเครื่องมือ คือ..
“สติ ..
สมาธิ ..
และปัญญา ..”
……………………………………..
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
29 มิถุนายน 2557






#วันหนึ่งๆ_ล่วงไปๆ_นั้นเป็นกาลเป็นเวลา

"... สังขารร่างกาย​ ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่เราจะนำ
ไปทำประโยชน์​
... ก็สึกหรอเรื่อยไปเช่นเดียวกัน​ อ่อนลงทุกทีๆ​ แต่​ ศรัทธา​ วิริยะ​ สติ​ สมาธิ
... ปัญญาของเรา​ ไม่มีความเจริญก้าวหน้า​ ไปตามวันเวลาแล้ว​
... ก็แสดงว่า เรานี้นอนใจ​ จนเกินไป​ หาความหวังไม่ได้ ..."

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน







#พระอาจารย์ชยสาโร
#หลวงพ่อชาท่านว่า
#อย่าเป็นอะไรเลย #ดีที่สุด

มีครูบาอาจารย์ของอาตมาองค์หนึ่ง เคยให้ข้อคิดที่อาตมารู้สึกว่ามีประโยชน์มาก คือท่านเคยพูดอยู่เป็นประจำว่า “เรื่องมรรคผลนิพพานนี่ไม่ต้องอธิษฐานก็ได้นะ สร้างเหตุสร้างปัจจัยไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นเอง

#ต้องอธิษฐานอย่างเดียว

คืออธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าได้ตายในผ้าเหลืองเถอะ แค่นี้ก็พอแล้ว”

อาตมาว่าดีนะ คือถึงจะยากมันก็ไม่เหลือวิสัยของใคร แต่ถ้าอธิษฐานว่า จะต้องถึงมรรคผลนิพพานให้ได้ภายใน ๗ ปี หรือ ๗ เดือน หรือ ๗ วัน อะไรทำนองนี้ จะเครียดอึดอัดใจมาก

ท่านว่าเอาแค่ให้เราตายในผ้าเหลืองก็พอแล้ว ทำได้ สำหรับแม่ชีต้องเปลี่ยนเป็นว่า ขอให้เราตายในผ้าขาว แม่ชีก็ทำได้ ลองนึกจินตนาการภาพว่าเรากำลังจะตาย หมดแรงแล้ว ลืมตาดูผ้าขาว คลำศีรษะโล้น แหมจะปีติขนาดไหน สบาย ตายได้เลย ภูมิใจ ถ้ายังไม่หมดกิเลสก็ต้องไปที่ดีแน่ ๆ

เพราะฉะนั้นเราเป็นแม่ชี อย่าเป็นแม่ชีชั่วคราวดีไหม ให้เป็นแม่ชีถาวร เราจะพัฒนาสถาบันแม่ชีจริง ๆ นะ แม่ชีชั่วคราวใช้ไม่ค่อยได้ พลังน้อย คนนั้นสึก คนนี้สึก งานก็ไม่ต่อเนื่อง การพัฒนาก็กระท่อนกระแท่น

การบวชไม่ใช่เรื่องเล่น อย่าไปบวชเล่นเดี๋ยวเป็นบาป บวชเอาจริงเอาจัง ให้มันตายเสีย ไม่ได้หมายความว่าซังกะตายนะ หมายถึงการตายจากกิเลสตัณหาทุกวัน คือตายทางใจ ตายแบบนี้ยังไม่สำเร็จ

อย่างน้อยที่สุดให้ตายจากโลกฆราวาส สิ้นลมปราณในผ้าขาว คือเป็นนักบวชนี่ ศีลบริสุทธิ์แล้ว แย่ที่สุดก็ยังดีกว่าเป็นโยมนะ จริงนะ แย่ที่สุดของนักบวชผู้ทรงศีลก็ยังสูงกว่าดีที่สุดของโยม จำไว้

เพราะอะไร เพราะเป็นลูกพระตถาคต คือเป็นนักบวช ถ้าศีลเรายังไม่ขาด ยังบริสุทธิ์ เราก็ยังมีโอกาสดีที่จะพัฒนาตัวเอง ยังมีโอกาสดีที่จะเข้าถึงมรรคผลนิพพาน เพราะวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการดับกิเลสอย่างเต็มที่

เรื่องนี้อย่าไปมองตัวเองในแง่ร้ายว่าเรามีบุญน้อย วาสนาน้อย เราทำไม่ได้ คิดอย่างนั้นก็คือยังตกอยู่ในบ่วงแห่งมาร เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความคิดผิด โชคดีว่าเรามีตัวอย่างที่ดีที่จะค้านความคิดนี้ได้

พระองคุลีมาล ฆ่าคน ๙๙๙ คน ท่านก็ยังบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เวลาเรากลุ้มใจท้อแท้ว่าไม่ไหวแล้ว บุญเราน้อย วาสนาเราน้อยเหลือเกิน กรรมเก่าอะไรหนอมาขัดขวางอยู่เรื่อย

แหม เราน่าสงสารเหลือเกิน ตรงนี้แหละที่ต้องหยุด หยุดแล้วถามตัวเองว่า เคยฆ่าคนถึง ๙๙๙ คนไหม ก็คงไม่เคยหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่ายังมีหวัง ยังมีหนทางต่อไป

สมมตินะ สมมติว่าเกิดกลัดกลุ้มใจมาก ๆ คิดว่าเราเป็นคนมืดจริง ๆ มืดแปดด้าน จะทำอย่างไรดี สึกดีไหมหนอ หรือจะ หยุด! ตั้งต้นใหม่ ไม่สึกหรอก มืดแปดด้านก็ไม่เป็นไร เราจะพัฒนาให้มันมืดเจ็ดด้านเสียก่อน

เมื่อมันมืดเจ็ดด้านแล้ว ก็จะให้มันมืดหกด้านต่อไป มืดหกด้านก็สว่างสองด้านแล้ว ทำไปเรื่อย ๆ เราค่อยสลัดความมืด ความสว่างก็จะเกิดขึ้นทดแทน เป็นเองของมัน อย่าเชื่อมารเลย เชื่อพระพุทธองค์ดีกว่า หมั่นพัฒนาจิตด้วยสมาธิ ภาวนา จะได้มีความสุข

หลวงพ่อชาเคยให้คำแนะนำแก่นักบวชว่า มาบวชที่นี่นะ ไม่ต้องเป็นใครพิเศษ ให้อยู่แบบตาสีตาสาธรรมดา ๆ เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ใครถามว่าเราบวชเป็นแม่ชีทำไม เราบอกเขาอย่างนั้นดีไหม บอกว่าบวชเพราะอยากอยู่เป็นตาสีตาสาธรรมดา

การไม่อยากเป็นใคร ไม่อยากมีอะไร ไม่อยากได้อะไร ไม่อยากเป็นอะไร อยู่แบบธรรมดา ๆ นี่เป็นทางไปสู่ความสงบ เมื่อเรามีอะไรแล้ว เป็นอะไรแล้ว จะทุกข์ทันทีเลย

หลวงพ่อชาบอกว่า อย่าเป็นอะไรเลย พระก็ไม่ต้องเป็น แม่ชีก็ไม่ต้องเป็น อะไร ๆ ก็ไม่ต้องเป็นทั้งนั้น เป็นอะไรแล้วก็หนัก ทำแต่หน้าที่ของเราให้ดีที่สุดที่เราทำได้ในและขณะก็พอแล้ว

หลวงพ่อชา








ถ้าตั้งสติแล้ว.. ไม่ห่วงใคร
ใครจะเป็นใครจะตาย..มันเรื่องของเขา
เรื่องของเรา.. มีหน้าที่ภาวนา

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร







#หลวงพ่อเล็ก #วัดท่าขนุน
#อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน

ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าบารมีเราจัดอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะทำกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?

ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น), อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง), ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด) ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้

ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

อุปบารมีขั้นต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปบารมีขั้นกลางให้ทานได้ รักษาศีลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ

ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ

เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สมาธิตกเพราะปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก เคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย

ฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น

เก็บตกบ้านวิริยบารมี
เดือนเมษายน ๒๕๕๔
หลวงพ่อเล็ก






#หลวงปู่พุธ #ฐานิโย
#วิธีภาวนาของหลวงปู่เสาร์

ปฏิปทาย่อ ๆ ของครูบาอาจารย์ที่นำมาเล่าเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่สหธรรมิก ทีนี้หลักบริกรรมภาวนาพุทโธ เมื่อบริกรรมภาวนาพุทโธทำจิตให้เป็นสมาธิคล่องตัวจนชำนิชำนาญพอสมควรแล้ว เพื่อจะให้จิตมีสติปัญญาก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา

อันดับที่ ๒ ท่านให้พิจารณากายคตาสติ ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ให้มองเห็นเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก

การพิจารณากายคตาสติท่านถือคติเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งพิจารณาไปโดยอนุโลมปฏิโลม ไปตามลำดับจนครบอาการ ๓๒ และอีกอย่างหนึ่งท่านให้พิจารณาเพียงอย่างเดียว คือให้กำหนดจดจ้องมองดูที่บริเวณหน้าอก แล้วกำหนดจิตลอกหนังออก ลอกเนื้อออก มองให้มันถึงกระดูก พิจารณากลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น จนจิตเชื่อมันว่ามีกระดูกอยู่ที่ตรงนี้

ในอันดับต่อไปท่านก็ให้บริกรรมภาวนาอัฐิ ๆ ๆ แล้วก็จ้องความรู้สึกของจิตลงไปบริเวณหน้าอก พยายามทำบ่อย ๆ ทำเนือง ๆ ทำให้มาก ๆ ในที่สุดเมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จะได้นิมิตมองเห็นโครงกระดูก บริเวณหน้าอกหรือโดยทั่วตัว ในเมื่อเห็นโครงกระดูกขึ้นมาแล้ว ก็เพ่งจ้องมองดูที่โครงกระดูก จนกระทั่งโครงกระดูกมันแหลกละเอียดสลายตัวไปหรือได้อสุภกรรมฐาน ในเมื่อพิจารณาอสุภกรรมฐานรู้จริงเห็นจริงเป็นอุบายระงับราคะความกำหนัดยินดีไม่ให้เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ เพื่อจะได้มีโอกาสบำเพ็ญเพียรภาวนาในขั้นต่อไป

เสร็จแล้วพระอาจารย์เสาร์ท่านสอนให้พิจารณาร่างกายให้มองเห็นด้วยความเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือแยกออกไปว่าร่างกายนี้มีแต่ดิน แต่น้ำ แต่ลม แต่ไฟ ในเมื่อแยกออกไปแล้วก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา พิจารณาให้มองเห็นเป็นนิมิตว่าร่างกายนี้มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟกันแท้จริง จนกระทั่งจิตยอมรับว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มี

ความเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ยังคุมกันอยู่ มีปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองโดยความเป็นเจ้าของ เพราะอาศัยกิเลสตัณหา อุปาทาน กรรม จึงทำให้เราเกิดยึดมั่นถือมั่นว่าอัตตาตัวตน ยึดว่าของเราของเขา ร่างกายของเราของเขา

ในเมื่อเห็นว่าร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตของผู้ภาวนาก็ได้อนัตตานุปัสสนาญาณ เห็นว่าร่างกายเป็นอนัตตาหมดทั้งสิ้น ภูมิจิตภูมิใจก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมเองโดยอัตโนมัติ อันนี้เป็นปฏิปทาของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ที่เคยได้ยินได้ฟังมาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาเล่าเพื่ออาจจะเกิดประโยชน์แก่วงการนักปฏิบัติบ้าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO