นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 9:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พระนิพพาน
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 04 มิ.ย. 2022 8:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
“… โลกนี้มันเป็นอย่างนี้แหล่ะ สิ่งที่
ไม่น่ายินดี
... มันมักหลบอยู่กับ สิ่งที่น่ายินดี
สิ่งที่ไม่น่ารัก
... มักหลบอยู่กับสิ่งที่น่ารัก น่ายินดี
ทุกข์มักอยู่กับสุข
... เหตุนี้เองล่ะที่คนประมาท มัวเมา
กันอยู๋ …”

#หลวงปู่จาม_มหาปุญโญ




" คนไม่ดี
มักสนใจความ
ไม่ดีของคนอื่น
พอเขาชั่ว ก็ติเตียน
พอเขาดี ก็ริษยา
พอเขาตกต่ำ ก็เหยียบย่ำ
พอเขาเหยียบย่ำ
ก็อาฆาตพยาบาท

คนดี
มักสนใจความดี
ของคนอื่น
พอเขาดี
ก็ยกย่องสรรเสริญ
พอเขาตกต่ำ
ก็เมตตา สงสาร
ช่วยเหลือ
พอใครมาเหยียบย่ำ
ก็ให้อภัย "

**พระคติธรรม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร






#หลวงปู่พุธ #ฐานิโย
#วิธีภาวนาของหลวงปู่เสาร์

ปฏิปทาย่อ ๆ ของครูบาอาจารย์ที่นำมาเล่าเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่สหธรรมิก ทีนี้หลักบริกรรมภาวนาพุทโธ เมื่อบริกรรมภาวนาพุทโธทำจิตให้เป็นสมาธิคล่องตัวจนชำนิชำนาญพอสมควรแล้ว เพื่อจะให้จิตมีสติปัญญาก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา

อันดับที่ ๒ ท่านให้พิจารณากายคตาสติ ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ให้มองเห็นเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก

การพิจารณากายคตาสติท่านถือคติเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งพิจารณาไปโดยอนุโลมปฏิโลม ไปตามลำดับจนครบอาการ ๓๒ และอีกอย่างหนึ่งท่านให้พิจารณาเพียงอย่างเดียว คือให้กำหนดจดจ้องมองดูที่บริเวณหน้าอก แล้วกำหนดจิตลอกหนังออก ลอกเนื้อออก มองให้มันถึงกระดูก พิจารณากลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น จนจิตเชื่อมันว่ามีกระดูกอยู่ที่ตรงนี้

ในอันดับต่อไปท่านก็ให้บริกรรมภาวนาอัฐิ ๆ ๆ แล้วก็จ้องความรู้สึกของจิตลงไปบริเวณหน้าอก พยายามทำบ่อย ๆ ทำเนือง ๆ ทำให้มาก ๆ ในที่สุดเมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จะได้นิมิตมองเห็นโครงกระดูก บริเวณหน้าอกหรือโดยทั่วตัว ในเมื่อเห็นโครงกระดูกขึ้นมาแล้ว ก็เพ่งจ้องมองดูที่โครงกระดูก จนกระทั่งโครงกระดูกมันแหลกละเอียดสลายตัวไปหรือได้อสุภกรรมฐาน ในเมื่อพิจารณาอสุภกรรมฐานรู้จริงเห็นจริงเป็นอุบายระงับราคะความกำหนัดยินดีไม่ให้เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ เพื่อจะได้มีโอกาสบำเพ็ญเพียรภาวนาในขั้นต่อไป

เสร็จแล้วพระอาจารย์เสาร์ท่านสอนให้พิจารณาร่างกายให้มองเห็นด้วยความเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือแยกออกไปว่าร่างกายนี้มีแต่ดิน แต่น้ำ แต่ลม แต่ไฟ ในเมื่อแยกออกไปแล้วก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา พิจารณาให้มองเห็นเป็นนิมิตว่าร่างกายนี้มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟกันแท้จริง จนกระทั่งจิตยอมรับว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มี

ความเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ยังคุมกันอยู่ มีปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองโดยความเป็นเจ้าของ เพราะอาศัยกิเลสตัณหา อุปาทาน กรรม จึงทำให้เราเกิดยึดมั่นถือมั่นว่าอัตตาตัวตน ยึดว่าของเราของเขา ร่างกายของเราของเขา

ในเมื่อเห็นว่าร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตของผู้ภาวนาก็ได้อนัตตานุปัสสนาญาณ เห็นว่าร่างกายเป็นอนัตตาหมดทั้งสิ้น ภูมิจิตภูมิใจก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมเองโดยอัตโนมัติ อันนี้เป็นปฏิปทาของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ที่เคยได้ยินได้ฟังมาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาเล่าเพื่ออาจจะเกิดประโยชน์แก่วงการนักปฏิบัติบ้าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย








#หลวงพ่อจิตโต #บ้านสบายใจ
#ตั้งใจไม่กลับเกิด #นิพพาน

นิพพะ ก็แปลว่าดับ พอมันดับทุกอย่างที่เป็นเหตุให้ใจของเราเศร้าหมองสิ้นเสียแล้ว เขาเรียกนิพพานปรากฏ พอนิพพานปรากฏที่ๆอยู่มันจึงมีเฉพาะ เพราะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ อยู่ในที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่มีความสุขเขาก็ไม่อยู่ อยู่บนสวรรค์ก็มันยังหมกหมุ่นในกามคุณ มันเป็นความสุขที่ไม่แน่นอนยังต้องเคลื่อนตัวไปที่อื่น จิตที่เขาดับแล้วเขาก็ไม่อยู่

ที่พรหมมันก็ไม่ใช่ เพราะยังมีกิจที่ต้องทำเพื่อความสงบเป็นสุขอยู่ คนที่เขาดับความอยากในการรักษาฌาณสมาบัติแล้วเขาก็ไม่อยู่ที่นั้น แดนมนุษย์อยู่ไม่ได้ สวรรค์อยู่ไม่ได้ พรหมอยู่ไม่ได้ ก็จึงมีแดนเฉพาะเรียกว่าแดนนิพพาน แดนของผู้ที่จิตที่ดับแล้วจึงเรียกว่าพระนิพพาน

ที่นั้นจึงเป็นผู้ที่ท่านทั้งหลายอยู่กัน ก็อยู่อย่างมีความร่าเริงแจ่มใสปลอดโปร่ง ไม่มีกิจต้องทำอะไร ไม่มีกาลเวลาว่าต้องเคลื่อนย้ายตัวไปไหน ต้องรักษาความสุขเพื่อว่าวันข้างหน้าจะเสื่อมไปก็ไม่มี เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป เธออยากไปไหนก็ได้ไป ไปได้ทุกที่น่ะไม่ใช่อยู่นิพพานแล้วไปไหนไม่ได้

หลวงพ่อจิตโต






#พระอาจารย์เชาว์เล่าถึง #ธรรมะของหลวงปู่เจี๊ยะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านจะให้ทำอย่างนี้ นั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้ตั้งมั่น แล้วก็ นึกลมหายใจพุธออกโธ พุธโธสักสามครั้ง แล้วก็เอาอันเดียว หายใจเข้าลึกลึก พุธโธโธโธโธ พุธโธโธโธโธ อย่างนี้ ย้ำๆย้ำๆ ย้ำๆหน่อย แล้วก็ลองบริกรรมดูสัก ๒๐ นาที

แล้วก็หยุด หยุดคำบริกรรมนั้น ถ้าหยุดแล้ว ลองนึกถึงมีดอันนึงนะ ตัดนิ้วทีละนิ้วทีละข้อ นิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วกลางนิ้วก้อยนิ้วโป้ง ตัดทีละข้อ ตัดแขนโยนทิ้ง ข้างซ้ายข้างขวา ถลกหนังหัวออกมากอง ดึงลูกกะตาออกมา เลาะฟันออกมาทีละซี่โยนทิ้ง

ถ้าเกิดว่ามันไม่เป็นไปตามนี้ก็บริกรรมใหม่ ก็หายใจเข้าพุธออกโธ พุธโธโธโธโธ ท่านให้ทำอย่างนี้ทำทุกวัน

อาตมาก็ทำอย่างนี้ ผ่าหน้าอกแล้วก็ดึงซี่โครงออกมามากองไว้ตรงหน้า ดึงทีละซี่ทีละซี่ สาวไส้ออกมาอย่างนี้ หลวงปู่ท่านทำมาแบบนี้ แล้วจิตท่านเป็นสมาธิจริงๆ

ท่านไปทำอยู่ที่วัดยางระหง พอเสร็จแล้วเนี่ย พอจิตท่านทำแบบนั้นปุ๊บ กายไม่มีกายหาย เหลือแต่จิต ท่านเห็นจิต จิตเห็นจิต หลวงปู่ท่านบอกว่าพอเห็นความคิด นึกคิดปรุงแต่งนะ ท่านก็บอกว่ามึงก็ไม่เที่ยง หลุดผลัวะ หลวงปู่ทำแค่นี้ เขาเรียกว่าจิตเห็นจิต มันอยู่ในสติปัฐฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นมั้ย หลวงปู่เนี่ยประสาทที่ห้าหลุดเลย มันเป็นอย่างนั้น

เคยอ่านประวัติหลวงปู่ขาวมั้ย หลวงปู่ขาววัดถ้ำกลองเพลง มีวันนึงท่านเดินจงกรม ในประวัติท่าน ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังนะ เดินจงกรมเสร็จแล้วท่านก็พัก พักแล้วก็นั่งเล่น ตรงนั้นมันมีทุ่งนาแล้วข้าวกำลังแก่ กำลังแก่แล้วรวงมันจะห้อยๆ เพราะว่ามันแก่แล้ว สายตาท่านก็ไปเห็นข้าว ข้าวที่แก่แล้วท่านบอกว่า ในจิตนะ ไม่ใช่มีเสียงจิต ท่านเห็นเม็ดข้าวรวงข้าวมันแก่ ท่านก็บอกว่า ในจิตนะ ท่านวิตก ข้าวเนี่ยข้าวเปลือกเนี่ย ถ้าเกิดว่ามันมีเปลือกอยู่เนี่ยมันสามารถที่จะเกิดได้ แต่ถ้าเกิดว่าเปลือกมันไม่มีแล้วเนี่ยมันสิ้นสุด มันสิ้นสุดการเกิด จิตหลุดพ้น แค่นี้มันปล่อยวาง อวิชชาดับเลยเห็นมั้ย จิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บทมันจะรู้มันรู้พริบตาเดียวเห็นมั้ย แล้วก็ท่านก็ ได้เป็นพระครูบาอาจารย์ที่ให้พวกเราได้กราบได้ไหว้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

หลวงปู่เจี๊ยะก็เช่นเดียวกัน ท่านทำแบบนั้นไปแล้วเนี่ย จิตเห็นจิต แล้วท่านไปเห็นตัวนึกคิดปรุงแต่งตัวนั้นแหล่ะ ท่านก็บอกว่ามึงก็ไม่เที่ยง ผลัวะหลุดเลย พรรษาที่ห้าเหมือนกัน เห็นมั้ยครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ ท่านปฏิบัติจริงๆ จิตเค้าเรียกว่ามันสัมปยุต เมื่อสัมปยุตกันแล้วเนี่ย มันจะสัมปยุตกับเรื่องอะไร เวลาไหนมันไม่บอก ของหลวงตามหาบัวเสื่อมกี่ครั้ง สามครั้ง เคยอ่านประวัติท่านมั้ย เสื่อมแล้วเสื่อมอีกเพราะอะไร เน้นสมถะอย่างเดียว วิปัสสนาไม่ได้เดินทางนั้น

แต่ของหลวงปู่เจี๊ยะเนี่ย ท่านพิจารณากายเป็นหลัก เมื่อพิจารณากายเป็นหลัก คือตัดแล้วโยนออกเนี่ยเค้าเรียกว่าสมถะ เพ่ง สมาถะโยนออกทีละข้อทีละข้อ จนกายไม่มี เมื่อกายไม่มีแล้วเนี่ยสติสมบูรณ์ ไปเห็นตัวนึกคิดปรุงแต่งเค้าเรียกว่าจิตเห็นจิต ตัวนี้เห็นความนึกคิดปรุงแต่ง ท่านก็วิตกขึ้นมาว่ามึงก็ไม่เที่ยง เพราะอะไร วิปัสสนามันผุดขึ้นมาในนั้น พร้อมกันกับการที่ตัดออก #สมถะและวิปัสสนามันควบกันไปเขาเรียกว่าปัญญาสัมปยุต มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

พระเชาว์ ชวนปัญโญ
วัดป่าบ้านมูเซอร์​สาม​หมื่น​ทุ่ง​
แม่สอด ตาก
มุลนิธิบ้านอารีย์

#พระอาจาร์ยเชาว์ #วัดป่าดอยมูเซอ








#หลวงพ่อเล็ก #วัดท่าขนุน
#สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น

วันนี้มีคำถาม ถ้าหากว่ารู้ว่าใครถาม จะโบกให้สักทีหนึ่ง...! ถามว่า "หลวงพ่อครับ คนที่บรรลุธรรมเข้ามรรค ๘ ผล ๘ พระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้พยากรณ์ทุกคนไหมครับ ?" เอามาจากไหนวะ มรรค ๘ ผล ๘ ? แสดงว่าไปบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม..ใช่ไหม ? ศึกษาแล้วต้องแม่นในตำราด้วย

นวโลกุตรธรรม ธรรมอันเป็นเหนือโลกมีอยู่ ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ และพระนิพพาน ๑

มรรค ก็คือโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค

ผล ก็คือโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตผล

ไม่ใช่ว่ามรรค ๘ ผล ๘ นั่นไปไกลเกิน ถ้าคุณเขียนเลขไทย กระผม/อาตมภาพยังว่าเขียนผิด หรือไม่ก็เขียนใกล้เคียงกันแล้วกระผม/อาตมภาพอ่านผิด นี่เขียนเป็นตัวหนังสือมาเลย แ-ป-ด เปลี่ยนเป็นสี่ไม่ได้แน่นอน ต่อไปอย่าพลาดแบบนี้อีก

ผู้ที่บรรลุธรรม ถ้าหากว่าเป็นประเภทวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถที่จะรู้เห็นและติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นถึงจะได้รับการพยากรณ์จากพระองค์ท่าน แต่ถ้าหากว่าเป็นสุกขวิปัสสโก ถึงพระองค์ท่านจะพยากรณ์ให้ ก็คงไม่มีปัญญาที่จะรับรู้ ดังนั้น...ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า

แต่ว่าการเข้าถึงมรรคผลนั้น พวกคุณดูในอนัตตลักขณสูตรที่สวดกันอยู่ทุกครั้งก็ได้ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น รู้ว่าการเกิดได้สิ้นสุดลงแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ รู้ว่าพรหมจรรย์นี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็คือไม่ต้องเสียเวลาปฏิบัติให้เข้าถึงความบริสุทธิ์อีก

แล้วบุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกจะรู้ได้อย่างไร ? เหตุที่รู้ก็เพราะว่าผู้ที่เข้าถึงจริง ๆ นั้น เมื่อสัมผัสกระแสนิพพานได้ จะรู้ได้เลยว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง พูดไปนี่เดี๋ยวไม่ทันกระผม/อาตมภาพ ก็ได้เพี้ยนกันไปข้างหนึ่งอีก..!

บุคคลที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะสัมผัสกระแสพระนิพพานได้ จึงรู้ว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากอยู่ที่ใจของเรา หรือจะบอกว่าอยู่ในทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก แม้ว่าจะไม่สามารถรู้เห็นหรือติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่มั่นใจในเรื่องพระนิพพานเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพระนิพพานเต็มอยู่ในจิตในใจของท่านเอง เอาไว้เดี๋ยวทำถึงก็จะเข้าใจ ถ้าอธิบายเป็นคำพูดนี้ยากมาก

สรุปว่าผู้ที่เข้าถึงมรรคถึงผล จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อเป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโตเท่านั้น ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รับการพยากรณ์ แต่ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าตนเองเข้าถึงแล้ว

แต่ด้วยความที่เป็นผู้ไม่ประมาท ก็จะไม่เชื่อว่าตนเองเข้าถึงจริง กฎเกณฑ์กติกาของความเป็นพระอริยเจ้ามีอย่างไร ก็พากเพียรทำไปเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าพยากรณ์ว่าได้แล้ว เราก็ขี้เกียจนอนทอดหุ่ย ไอ้นั่นเป็นไปตามกิเลสที่พวกคุณคิด แต่ว่าความจริงแล้ว ต่อให้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่เป็นปกติ ก็คือเป็นการไม่ประมาท ชำระจิตของตนให้สะอาดอยู่เสมออย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำตนเป็นแบบอย่างให้กับผู้อยู่ข้างหลัง ถึงเวลาเขาจะได้เดินตามรอยของตนเพื่อไปสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น...ในเรื่องของพระนิพพาน ถ้าหากว่าพูดไป ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงเพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่สมมติที่เราจะมาจับได้ต้องได้ แต่เป็นวิมุตติ ที่สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO