นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 11:39 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เกิด แก่ เจ็บ ตาย
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 31 พ.ค. 2022 7:09 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
"... หากไม่เร่งความพากเพียร ก็ไม่เห็นหรอก ความอัศจรรย์ก็ไม่เกิด
จิตมันไม่อยู่ จิตมันฟุ้งซ่าน ลองบังคับดู บังคับใส่พุทโธ เอ้า....
หนึ่งวันกับหนึ่งคืนนี้ ขอให้มันอยู่เถอะ มันจะปรากฏขึ้นมาแปลกๆหรอก
จิตใจมันเป็นอย่างนั้น มันก็สังเกตได้เท่านั้น

... อันนี้มันไม่อยู่ มันวิ่งตามอารมณ์ นั่งภาวนาอยู่ก็อยากเห็นโน่น
เห็นสวรรค์ เห็นความอัศจรรย์โน่น นั่นรูป นั่นเสียง
สำคัญว่ามีหูทิพย์กายทิพย์ ไปโน่น อยู่อย่างนั้น
แล้วเห็นอะไรล่ะ กายธรรมดายังดูไม่เป็นเลย มันเกิดจากใจเจ้าของนี่
ทรมานใจตนเองได้แล้วมันจะสบาย ชนะตัวเองน่ะสำคัญ ... "

#ถ้าชนะตัวเองได้นะ_โห_มันไม่กลับคืนนะ #ชนะคนอื่นน่ะมันไม่แน่_กลับไปกลับมา
#ภพไหนชาติไหนก็เช่นกัน_ก่อสร้างภพกันไป #ถึงคราวคนนั้นมาฆ่า_ชาติหน้าคนนี้กลับมาฆ่าอีก_แก้กันอยู่อย่างนั้น

#หลวงปู่ลี_กุสลธโร







ผู้ที่ไม่มีสติ มักมองออกนอกตัว
เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะโยนไปให้คนอื่นตลอด
โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองทำผิดหรือไม่
สุดท้ายแล้ว ความชั่วที่โยนออกไป
ก็ไม่ได้ไปที่ไหน ก็อยู่ที่ใจคนโยน นั่นเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนว่า..

"เมื่อให้สิ่งใดกับใคร สิ่งนั้นก็จะอยู่กับเรา"

พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ






"อันการแสดงสัมมาคารวะนั้น
แม้จะเหมือนเป็นการยกผู้ได้รับว่าสูง
และผู้ให้ว่าต่ำ แต่ที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น

ผู้แสดงสัมมาคารวะนั่นเอง
เป็นผู้ประกาศความสูงของตนให้ปรากฏ
แก่ตาผู้รู้ทั้งหลาย ผู้ได้รับมีฐานะอย่างไร
ก็คงอยู่ในฐานะเดิม ไม่อาจสูงขึ้นได้
เพราะสัมมาคารวะที่ได้รับ

การแสดงสัมมาคารวะก็เป็นกรรม
จึงเข้ากฎแห่งกรรม ตามที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้ คือ ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมได้รับ
เมื่อสัมมาคารวะเป็นกรรมดี ผลดีจึงเกิดแก่ผู้ทำ

แม้มีความรู้สึกไม่อยากจะแสดง
สัมมาคารวะเมื่อใด ก็ควรนึกถึงความจริงนี้
ไม่มีใครไหนอื่น จะได้รับผลดีจากการแสดง
สัมมาคารวะนอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม
ผู้แสดงความก้าวร้าวหยาบคาย
ไม่มีสัมมาคารวะ ก็ไม่มีใครไหนอื่น
จะต้องกระทบกระเทือน
นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น"

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวรฯ







#หลวงปู่บุญมา #คัมภีรธัมโม
#เดินจงกรมภาวนาทำจริงๆตั้งใจ
#วันนึงมันต้องสำเร็จมรรคผลนิพพานแน่

อะไรๆ อยู่ที่นี่ เกิดขึ้นที่นี่ ดับลงที่นี่ รักก็เกิดที่นี่ ชังก็เกิดที่นี่ โกรธก็เกิดที่นี่ โลภก็เกิดที่นี่ หลงก็อยู่ที่นี่ มันรวมอยู่ที่จิต...

ถ้าจิตเรารู้เแล้ว ก็พยายามบำรุงตัวรู้ ตัวสติให้มันเด่นขึ้นมา เมื่อตัวรู้มันเด่นขึ้นมา ความไม่รู้ ความหลง คือ อะไร ความไม่รู้-ความหลง ก็คือ ตัวอวิชชา ตัวอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้นี่แหละมันพาให้เราเกิด มันพาให้เราแก่ มันพาให้เราเจ็บ มันพาให้เราตายอยู่ในโลกนี้

ท่านจึงว่า "อวิชชา ปัจจยาสังขารา" เรามันเข้าใจลึกเกินไป มันอยู่แค่นี้ ใต้คางของเรานี่เอง ของดีมีอยู่แล้วแต่ไม่เอา

ความสุขก็เหมือนกัน ส่งไปนู่น ผู้ชายก็ไปหาความสุขกับผู้หญิง ผู้หญิงก็ไปหาความสุขกับผู้ชาย อันนี้มันหลอกกันเฉยๆ นะเนี่ย มันบ้ากันเฉยๆ นะเนี่ย ทำให้มัวเมากันอยู่ในโลกนะเนี่ย ทำให้หัวเราะ ทำให้ร้องไห้อยู่ในโลกนี้

เลิกซะ มันจบแล้ว อย่าไปสงสัย ความสุขที่มันมีอยู่ในโลกนี้ มันมีแค่นี้มันจบแล้ว...

อย่าไปตั้งความปรารถนาให้สวย ให้รวยอะไรแบบนี้ เพราะของพวกนี้มันมีได้มันก็หมดไปได้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็เคยมี เคยเป็นมาแล้ว

ให้ปรารถนาเอาของจริงในใจ... ดีที่สุด

ในทุกๆวันให้เราปฏิบัติข้อวัตรที่เคยทำให้สม่ำเสมอ เคยไหว้พระสวดมนต์ เดินจงกรมภาวนาก็ให้ทำไป มันจะสงบบ้าง ไม่สงบบ้างไม่เป็นไร

มันสงบก็อย่าไปยินดี มันไม่สงบก็อย่าไปยินร้าย ให้เห็นว่าสงบ ไม่สงบ มันก็ไม่เที่ยง

เราทำไปทำจริงๆ ตั้งใจ มันต้องเกิดผลแน่ วันนึงมันต้องสำเร็จมรรคผลนิพพานแน่

#หลวงปู่บุญมา #คัมภีรธัมโม







#หลวงปู่กวง #โกสโล
#ไฟรักไฟชังเกิดขึ้น
#เพราะเราหลงร่างกายนี่แหละ

ทำจิตให้สงบ พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง อาหารที่เราบริโภคเข้าไป พิจารณาดู ดูมันทุกวันนั่นแหละ

เข้าไปแล้วมันแปรสภาพเป็นอย่างไร แล้วมันไหลออกมาเป็นอย่างไร เหงื่อไคลไหลย้อยออกมาเป็นอย่างไร น้ำมูกน้ำลายพิจารณาได้หมด

ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็พิจารณาได้ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น อยู่ที่เราทำเอานะ ไม่ใช่คนอื่นทำให้เรานะ เอาย่อๆก็เหลือแต่เรื่องพิจารณากายให้มาก เราทำอย่างเดียวนี่ได้ก็เป็นสุขละ

มันอยู่ในธรรมจักรนั่นแหละ ยินดีในกามก็อยู่ในธรรมจักร กามสุขัลลิกานุโยโค ฝ่ายรัก อัตตกิลมถานุโยโค นี่ฝ่ายชัง ไฟรักไฟชังเกิดขึ้น เพราะเราหลงร่างกายนี่แหละมันจึงเกิดขึ้น

ถ้าเราปล่อยวางร่างกายได้แล้ว ก็วางหมดละยินดีพอใจ ไม่พอใจ ปล่อยวางหมด มันจึงจะเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเข้าสู่องค์มรรคได้..

หลวงปู่กวง โกสโล






#ท่านพ่อลี #ธัมมธโร
#อะไรเป็นเหตุแห่งความเวียนเกิด

ความยึดถือเป็นเราเป็นเขา เป็นตัวเป็นตน ยึดในดี-ไม่ดี อดีต-อนาคต-ปัจจุบันนี้ เป็นเหตุให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร

เมื่อเรารู้ว่าเรื่องของโลกเป็นของไม่ดีจริง จริงไม่ดี ดังนี้เราก็ต้องไม่ไปยึดถือมัน ต้องปัดทิ้งให้หมด

เขาจะว่าเราดีหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ของจริง เพราะดีมันก็อยู่ที่ปากคนเล่า ไม่ดีก็จริงอยู่ที่ปากคนพูด

ฉะนั้น เราจึงไม่ถือเอาทั้งหมดที่คนเขาว่า ให้ถือเอาดีหรือไม่ดีที่ตัวเราเอง

ท่านพ่อลี ธัมมธโร







#หลวงตาตอบปัญหาศิษย์สงสัยภาวนาแล้วเห็นเทวดา

“มีญาติผู้ใหญ่มาจากกรุงเทพฯ ค่ะ ท่านทำสมาธิมานานแล้ว ได้เห็นนั่นเห็นนี่ แต่ตัวท่านเองไม่เชื่อ หรือเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ได้พบพูดคุยกับวิญญาณต่างๆ เหล่านั้นมาจะร่วมสามสิบปีเข้าแล้ว อยากจะมากราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่ได้เห็นนั้นจริงหรือไม่จริง” ท่านอาจารย์นิ่งฟังเฉยๆ

ผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนพาไปได้กราบเรียนถามเพิ่มเติมขึ้นว่า “คือว่าผมสงสัยครับ เช่น ในขณะที่นั่งสมาธิได้เห็นเทวดา เห็นถนัดชัดเจนว่าแต่งตัวอย่างนั้นๆ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็ยังเห็นอยู่ อยากจะให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริง หรือว่าเราหลอกตัวเอง”

“มันมีทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
ท่านอาจารย์ตอบช้าๆ “เทวดาก็มี เทวเดาก็มี ส่วนมากเทวเดา” ลูกศิษย์หัวร่อ ท่านหันมาย้ำกับพวกหน้าเป็นทั้งหลาย

“อ้าว จริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นๆ มันมีอยู่ทั้งสองอย่าง เทวดานั้นมี เทวเดาก็มีเดาไปซิ ธาตุสิบสองไปหลอกเจ้าของให้เข้าใจว่าเป็นความจริง นั่นเรียกว่า “เทวเดา” แต่เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว เข้าใจจริงๆ แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้น

เหมือนอย่างเรามาหากันนี่แหละ มากันนี่นะ มากี่คน ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน สนทนาปราศรัยกันว่าอย่างไร แม้ไม่ได้เดินมาตรงนี้ มองเห็นกันอยู่ก็รู้ว่ามาหา เดินผ่านหน้าผ่านหลังไปก็รู้ เพราะมันเป็นความจริง แม้ว่าตาฝ้าฟางไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตาเห็นก็อีกอย่างหนึ่ง

ทีนี้ตาภายในเล่าก็เหมือนกัน ตาภายในที่มีความชำนิชำนาญเป็นส่วนมาก มันก็อาจจะมีฝ้าฟางไปบ้าง แต่โดยนิสัยแล้วมันจะรู้อย่างนั้น ทีแรกมันจะผิดๆ พลาดๆ ไปก่อน ถ้าเราไปพลัดไปหลงเข้ามันก็ผิดไปเอง

แต่ถ้าเราไม่หลง พยายามปรับปรุงหลักจิตของเราให้ดี เมื่อหลักจิตของเราดีแล้ว ความแม่นยำมันก็สูง เราก็ค่อยทราบเข้า ทราบเข้าเรื่อย สิ่งที่จริงก็รู้ สิ่งที่ปลอมก็รู้

เหมือนอย่างเช่น ธนบัตรปลอมกับธนบัตรจริง คนที่ไม่เคยเห็นธนบัตรปลอม หรือธนบัตรจริง แล้วจะเอาอะไรมาให้จริงเล่า เข้าใจไหม จะต้องคนที่ชำนิชำนาญในเรื่องธนบัตร เฉพาะอย่างยิ่งพวกธนาคาร เขาจับปั๊บรู้เลย นั่นมันเป็นอย่างนั้นนะ

อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ นักภาวนาจะต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านภาวนา เหมือนกับนายธนาคารจะต้องชำนาญในเรื่องการเงิน ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญนี้พูดไม่ถูก สอนกันไม่ได้

ผู้ที่จะเป็นไปอย่างนั้นพื้นฐานเบื้องต้น นิสัยเบื้องต้นมันมีมันจะรู้ พอจิตสงบแล้ว มันจะแยกออกไปรู้ ทีนี้มันก็จริงละ คืออาการของมันจะแสดงออกมา”

“อย่างที่ผมเห็นนี่ มันเกิดวิจิกิจฉาว่าจริงหรือไม่ จึงมากราบเรียนถาม”

“ก็อาจารย์ไม่ได้เห็นกับคุณ จะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือปลอม รับรองกันไม่ได้จึงไม่ทราบ”

“ถ้าเช่นนั้น เมื่อมีความชำนาญแล้ว จึงจะทราบด้วยตัวเอง รู้ได้เฉพาะตัวใช่ไหมครับผม”

“ถ้าเรามีความชำนาญ เข้าใจในทางออกทางเข้าของจิต ของกระแสจิตแล้วก็จะเข้าใจได้โดยลำดับ ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก มันสำคัญที่ความชำนาญ ความรู้ ความละเอียดลออของความรู้เราก็จะเข้าใจ

แต่ว่าถ้าอะไรเป็นตัวเดาขึ้นละก็เป็นของหยาบๆ ทั้งนั้น นี่มันต่างกันนะ ความรู้พื้นๆ ธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นี้อย่างหนึ่ง ถ้าฝึกมากก็จะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปโดยลำดับ จนกระทั่งเป็นปรีชาญาณ นั่น หยั่งทราบได้หมดตลอดทั่วถึง ไม่ต้องไปกำหนดกฎเกณฑ์ก็รู้

อย่างเช่น พระพุทธเจ้าของเรา นี่มันต่างกัน จะเทียบก็เหมือนกับการเขียนหนังสือ เช่น คำว่า “ท่าน” กว่าจะเขียนออกมาได้ ต้องนึกถึงตัวนั้นตัวนี้ ท.สระอา น หนู แล้วก็ไม้เอก จึงจะอ่านว่า “ท่าน” ได้

แต่สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว พอว่า “ท่าน” มันมาพร้อมกันหมดทุกตัว เข้าใจเสียทีซิ การภาวนานี่น่ะ”

“ก็อย่างที่ผมเห็นนี่นะครับ เป็นวิญญาณ พอนั่งปุ๊บเขาก็โผล่มาให้เห็น มาแสดงตัวว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่งตัวอย่างนี้ แล้วก็มาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง แต่ตัวเราเองมันเสียตรงที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ”

ผู้ถามพยายามถามย้ำ ท่านอาจารย์จึงตัดบทว่าเข้าใจละ ถ้าเราไม่เชื่อ ก็อย่าไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้น

ให้เราทำจิตของเราให้สงบเถิด หลักนี้ละเป็นหลักใหญ่ของการภาวนา นอกนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย มันจะเกิดมันก็เกิด มันไม่เกิดก็ช่างมันเถอะ ไม่มีความสำคัญอะไรนัก

สำคัญที่ทำจิตของเราให้สงบเย็น หรือพิจารณาให้แยบคายทางปัญญา ที่จะพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ข้างนอกข้างในให้ละเอียดทั่วถึงเพื่อความปล่อยวาง อันนี้ต่างหากที่เป็นหลักของพระพุทธเจ้าโดยแท้”

ท่านอาจารย์พยายามมิให้ผู้ฟังติดอยู่ในเรื่องของความเป็นผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งท่านเห็นว่าไม่สำคัญเลย

ท่านสอนเพื่อความหลุดพ้น แต่ผู้คนอื่นๆ เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วจะหลง และติดอยู่กับสิ่งที่ได้เห็นเพียงแค่นั้น ไม่มีทางหลุดพ้นไปได้จากวัฏจักรนี้ ท่านย้ำอีก

“การเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปลีกย่อย ขอให้ยึดเอาหลักเกณฑ์ไว้ให้ดีเถิด เห็นอะไรแล้วจะเชื่อหรือไม่ อาจารย์ไม่ได้ตำหนิตรงนั้นนะ

แต่ถ้าตรงนี้ตรงหลักใหญ่ยังไม่ได้เรื่องแล้วไปยุ่งกับตรงนั้น อันนี้ต้องตำหนิกันละ เพราะสำคัญมาก การภาวนาต้องเล็งถึงความสงบเป็นพื้นสำคัญ”

#หลวงตามหาบัว
#หนังสือ #เรื่องที่คุยกันกับศิษย์







#หลวงพ่อไชยศรี #ปัญญาวชิโร

สมาธิชั้นสูงของพระอริยเจ้าทั้งหลาย สมาธิที่ปราศจากข้าศึก จะต้องเป็นสมาธิที่ประกอบไปด้วยปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในสิ่งทั้งปวงแล้ว ไม่เข้าไปยึดมั่นในผู้รู้ ในสิ่งถูกรู้ เป็นสมาธิปล่อยวาง เป็นสมาธิว่างจากผู้ทำสมาธิ

เป็นสมาธิปล่อย สมาธิวาง เป็นสมาธิว่างจากผู้ทำสมาธิ ไม่มีใคร มีแต่ธาตุ มีแต่ธรรมชาติ มีแต่ธาตุตามธรรมชาติ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีคน ไม่สัตว์ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีฝรั่ง จีน ไทย แขก ไม่มีชนชาติชนชั้นใดๆ พระราชา ยกจกที่ไหน

ดินเท่ากัน น้ำเท่ากัน ลมเท่ากัน ไฟเท่ากัน รู้สึกเท่ากัน จำเท่ากัน คิดเท่ากัน รู้เท่ากัน ขันธ์เท่ากัน รูปเท่ากัน นามเท่ากัน สรรพสิ่ง สรรพธาตุ สรรพรูป สรรพนาม เป็นธาตุตามธรรมชาติเสมอกัน เป็นอันเดียวกัน ไม่มีความแบ่งแยกแตกต่าง ตกอยู่ภายใต้กฏธรรมชาติอันเดียวกัน

นิพพานเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง

นิพพานเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง

นิพพานเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง

หลวงพ่อไชยศรี ปัญญาวชิโร








#หลวงปู่ทุย #ฉันทกโร

ใครยังไม่แก้ให้รีบแก้นะ
จากนี้.. จะไปเป็นอะไร
มองไม่เห็นกัน

แล้วแต่กรรมของเจ้าของ
ที่จะสร้างให้ตัวเอง

กลับไปบอกลูกบอกหลาน
ก่อนนอนอย่าลืมพุทโธ.

หลวงปู่ทุย ฉันทกโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO