นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 5:46 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กรรมฐานทั้งหลาย
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 13 พ.ค. 2022 9:01 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
คนที่จับผิดแต่คนอื่น
มันก็จะได้แต่ความผิด
คนที่คอยจับถูกคนอื่น
มันก็จะได้แต่ความถูก...

#พระเทพมงคลวชิรมุนี
หลวงปู่หา สุภโร






เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของพระอรหันต์กับปุถุชนมีเหมือนกัน
แต่ท่านไม่ติด ท่านเป็นจิตวิมุตติหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว
นั้นแหละเป็นผู้พ้นแล้วจากกรรมฐานทั้งหลาย
พ้นแล้วจากโทษทั้งปวง
เอา พูดให้เต็มยัน
ไม่มีใครพูดหลวงตาบัวองค์เดียวเป็นผู้พูด
เมื่อหลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว
สังฆาทิเสส ปาราชิก ไม่มี
อาบัติอาจีทุกอย่างที่จะเข้าไปติดใจของพระอรหันต์ไม่มีเลย
เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตนั้นเป็นจิตตวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว
ยังเหลือตั้งแต่ธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติด้วยกันครองกันอยู่
จึงต้องรักษากิริยามารยาทอันสวยงามให้พอเหมาะพอสม
ทั้งฝ่ายศาสนาก็ยอมรับ ทั้งฝ่ายประชาชนก็ยอมรับ สังคมยอมรับกันด้วยมารยาทของผู้มีศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีกิเลส ทั้งผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว
มารยาทที่จะรักษาธาตุขันธ์นี้มีเสมอกัน ท่านรักษากันไปเพียงนั้น
แต่ที่จะให้ท่านมาเป็นสังฆาฯ ปาราชิก หมด สุดวิสัยแล้วที่จะเป็นไปได้
ท่านครองขันธ์อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ขันธ์อันนี้ก็ต้องปฏิบัติแบบโลกเขาปฏิบัติกัน
เราเป็นพระก็ปฏิบัติแบบพระสมบูรณ์แบบตามเดิม
โลกเขาก็เป็นโลกเขาตามเดิม
ส่วนจิตบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้ว
ไม่มีโทษมีภัย ไม่มีกรรมอันใดที่จะเข้าไปติดจิตที่บริสุทธิ์แล้ว
เพราะฉะนั้นจึงว่า สังฆาทิเสส ปาราชิก เป็นโทษที่หนักที่สุดในวงสมมุติ
กิเลสสลัดปัดขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นคนละฝั่ง เป็นนิพพาน เป็นธรรมธาตุแล้วหมดโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติ
สังฆาฯ ปาราชิกเป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ
หลุดพ้นแล้วครองขันธ์อยู่ ที่เป็นสมมุติก็คือขันธ์
ขันธ์นี้ต้องรักษาไว้จนถึงกาลเวลา เพศของพระรักษากิริยามารยาท
ความประพฤติปฏิบัติของพระให้อยู่ในศีลในธรรม
จนกระทั่งถึงวันนิพพานก็สิ้นสุดไป
หมดทั้งโลกทั้งธรรมอยู่ด้วยกัน
ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว วิมุตติหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด








วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พุทธศักราช 2565
ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องไม่ดีไม่งามในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าคราวนี้กระแสน่าจะตีกลับ แม้กระทั่งกระผมอาตมาภาพก็บันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า #ถ้าไปแตะหลวงปู่แสง_ญาณวโร คนแตะมีสิทธิ์เจ็บตัวแน่นอน
คือเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นทิพย์ก็สามารถที่จะตรองเอาตามตรรกะทั่ว ๆ ได้ เพราะว่าหลวงปู่แสงท่านอายุตั้ง 98 ปีแล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่นั้นเท่าที่ฟังนักข่าวสัมภาษณ์ก็ค่อนข้างจะสติปัญญาน้อย เพราะว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่างแทนที่จะชี้แจงแถลงไขให้ชัดเจนก็ไปนั่งเถียงกับนักข่าว เถียงไปเถียงมาก็ยกน้ำปัสสาวะขึ้นมาซดอีกต่างหาก ก็เท่ากับไปเตะลูกเข้าทางตีนเค้าอีก
เพียงแต่ว่าตรงนี้เราจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมเวลาถ่ายรูปแล้วโดนกระผมอาตมาภาพด่าประจำ ก็เพราะว่าถ่ายแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ โดยเฉพาะล่าสุดก็ที่หาดใหญ่ ไอ้ที่ด่าก็เพราะว่ากำลังตักข้าวเข้าปากแล้วมันก็ถ่ายรูป ซึ่งถ้าหากว่าดูกันทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าโพสต์ออกไปเป็นสาธารณะเมื่อไหร่ก็จะมีไอ้พวกปากหอยปากปูมาคอมเม้นต์ทันที มีหลายครั้งที่บรรดาลูกศิษย์เอารูปที่กระผมอาตมาภาพกำลังทำงานอยู่ไปลงในโซเชียล พอเห็นก็ต้องด่ากันเลย อย่างเช่นว่ารูปกำลังขุดดิน ฟันหญ้า ตัดต้นไม้อยู่ บรรดาลูกศิษย์ก็ปลื้มใจนักหนาว่าครูบาอาจารย์ของเราช่างขยันและเป็นตัวอย่างที่ดี ทำงานเพื่อคณะสงฆ์ ทำงานเพื่อวัด แต่ไม่ได้ศึกษาเลยว่าการขุดดิน การฟันหญ้า การตัดต้นไม้นั้นศีลพระห้ามเอาไว้หมดในเมื่อเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามก็จะมีไอ้พวกแสนรู้มันขุดขึ้นมาด่าทันที แต่ตัวมันเองก็ไม่มาช่วยทำความสะอาดวัดให้
ศีลพวกนี้พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเอาไว้เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายในยุคนั้นไม่ตำหนิติเตียนพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าในสมัยนั้นเค้าเชื่อกันว่าแผ่นดินมีชีวิต ต้นไม้มีชีวิต การไปขุดดิน การไปตัดหญ้า การไปตัดต้นไม้ ก็เท่ากับไปทำลายชีวิตของเขา ในเมื่อถ้าหากว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปทำในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของเขา ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราไม่ได้รับความเคารพเลื่อมใส การเผยแผ่พระพุทธศาสนาอาจจะไม่ได้ผล จึงต้องบัญญัติศีลทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อเอาใจชาวบ้าน
เหมือนอย่างที่กระผมอาตมาภาพมีโอกาสกราบเรียนถาม หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข ว่าถ้ากระผมปฏิบัติอยู่ในมรรค 4 ผล 4 แล้วจะมีอะไรเป็นเครื่องวัดว่ามาถูกทาง แต่ยังไม่ทันที่จะถามครบประโยค แค่ขึ้นว่า ถ้ากระผม หลวงปู่ว่าดูที่ศีล คนทั่วไปก็ศีล 5 อุบาสก อุบาสิกาก็ศีล 8 พระอรหันต์ก็ศีล 10 กระผมอาตมาภาพได้ฟังแล้วก็นั่งอึ้ง กำลังจะพูดว่าพระเราต้องถือศีล 227 ไม่ใช่เหรอครับ หลวงปู่ท่านบอกไอ้นั่นมันศีลเอาใจชาวโลก สามเณรแค่ศีล 10 ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ก็แปลว่าหงายท้องนับสิบไม่ฟื้น โดนหลวงปู่ทิ้งหมัดตรงใส่ปลายคางเข้า แล้วก็เห็นจริงตามที่หลวงปู่ท่านบอก
ดังนั้นในส่วนของศีลพระจำนวนมากเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพื่อให้เค้าเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ว่าเรามีพระภิกษุสงฆ์ที่เคร่งครัด ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีจุดแข็งที่จะเอาไปชนกับศาสนาอื่นเค้าได้ แต่คราวนี้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่างที่หลวงปู่ท่านทำ กระผมอาตมาภาพไม่ทำเพราะว่าถ้าทำก็ตายเร็ว อย่างเช่นเมื่อเช้า เดินผ่านพื้นที่ว่างที่เค้าติดป้ายอยู่ว่าอนุญาตให้บุคคลที่มีพืชผลการเกษตรผักผลไม้นำมาวางจำหน่ายฟรีได้ แล้วก็มีซุ้มขายไก่ย่าง ผมก็หันไปบอกท่านแม็คบอกว่าดู ไก่ย่างทอดกระเทียม กระเทียมจัดเป็นพืชผลการเกษตร คุณต้องเข้าใจว่าท่านแม็คเค้าเตรียมที่จะบอกว่าไก่ย่างมันเป็นพืชผลการเกษตรด้วยหรือ หรือไม่ก็เมื่อครั้งก่อนที่ทิดเฟิร์สกับทิดดอยเอารถมารับเพื่อที่จะไปงาน ขากลับวิ่งผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สนามหญ้าของเขาต้องบอกว่ามีของประดับบ้าน กระผมอาตมาภาพก็หันไปบอกกับทิดเฟิร์สว่าเหมือนคน ถ้ากลางคืนช็อคแน่ เพราะทิดเฟิร์สเค้าคิดว่าเหมือนคนมาก
แต่ว่าตรงนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนในเจโตปริยญาณ ไม่ได้สอนให้เราดูใจคนอื่น เพราะว่านั่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เนื่องจากว่าดูได้เฉพาะคนที่เสมอตัวเองหรือต่ำกว่า บุคคลที่สูงกว่าถ้าเค้าเจตนาปิด เราไม่สามารถที่จะดูได้ เจโตปริยญาณที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือดูกำลังใจของเรา ว่าตอนนี้มีความชั่วอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ขับไล่ออกไป แล้วคอยระมัดระวังไว้อย่าให้ความชั่วนั้นเขามาอีก ใจเรามีความดีอยู่หรือไม่ ถ้ายังไม่มีก็สร้างความดีให้เกิดขึ้น ถ้ามีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างนี้ถึงจะเป็นเจโตปริยญาณที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
คราวนี้ย้อนกลับมาใหม่ตรงจุดที่ว่า เมื่อหมอปลาไปแตะหลวงปู่แสงแล้วกระแสจะตีกลับ ถึงขนาดกระผมอาตมาภาพบันทึกเอาไว้ในบันทึกประจำวัน ตรงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความเป็นทิพย์ แค่เราตรองด้วยตรรกะธรรมดาก็สามารถที่จะฟันธงแบบนั้นได้ เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ หมอปลาไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมีอำนาจอะไรเลยที่จะไปทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ประการที่สองหลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ไม่มีโอกาสที่จะไปทำอะไรนอกเหนือเกินเลยไปจากสิ่งที่เห็น ประการที่สามจากในคลิปก็คือผู้หญิงเสนอไปให้หลวงปู่จับนมเอง แล้วเจตนาถ่ายคลิปไว้ทั้ง ๆ ที่เค้ามีข้อห้ามแล้วว่าห้ามถ่าย ก็เท่ากับว่าตั้งใจสร้างเรื่องเพื่อทำลายพระโดยตรง
ดังนั้นสิ่งหนึ่งประการใดที่เกิดขึ้น สำคัญที่สุดก็คือเราต้องมีสติ อย่าเพิ่งไปใส่อารมณ์ตามเขา หากแต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้าน อย่างที่กระผมอาตมาภาพเคยเล่าให้ฟัง ว่าในช่วงยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน พระวัดท่าซุงเหลือคาถาสุดท้ายไว้เหมือนกันหมดทุกรูปก็คือ กูไม่เชื่อ ยิ่งใครรู้เห็นชัดเจนเท่าไหร่โอกาสโดนหลอกยิ่งมีมากเท่านั้น ดังนั้นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญแบบมิจฉาทิฐิ ก็คือคนเลวกลายเป็นคนดัง อย่างเช่นว่า อดีตนักบวชชวนอดีตพริตตี้ไปชมสันเขื่อนก็มีคนจะหางานให้ จะให้เป็นดารา แค่ใช้หัวแม่เท้าตรองดูก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่
สังคมเราควรจะยกย่องคนที่ทำดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ใช่ไปยกย่องคนเลว คนชั่วที่ทำผิดศีลผิดธรรมแล้วไปสนับสนุนให้โด่งดัง ก็ลักษณะเดียวกับหมอปลา ไม่ได้มีอำนาจ ไม่ได้มีหน้าที่ สิ่งที่ทำนั้นผิดกฎหมายอย่างชัดเจนด้วยก็คือ บุกรุกสถานที่คนอื่น แต่ว่าทำไมกระแสสังคมในระยะหนึ่งถึงได้ฝากความหวังไว้กับหมอปลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มีหน่วยงานและองค์กรปกครองสงฆ์ที่ดูแลกันตามระดับชั้นลงมา
ตรงนี้ขอฝากเอาไว้สำหรับเจ้าคณะปกครองทั้งปวง เป็นการบ้านให้ท่านทั้งหลายไปคิด ไปพิจารณาและหาทางแก้ไข ว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายกลับมาเชื่อถือศรัทธาในองค์กรปกครองสงฆ์ของเราว่าจะเป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่อะไรก็วิ่งหาสื่อโซเชี่ยล ไม่ใช่อะไรก็วิ่งหาหมอปลา สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)








"เป็นตัวอย่างในการวางตัวของพระกับฆราวาส"
การวางตัวของพระต่อฆราวาสญาติโยม
ที่มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องละเอียดมาก
ท่านพ่อเคยพูดอยู่เสมอกับพระลูกศิษย์ว่า
"จำไว้นะ ไม่มีใครจ้างให้เราบวช
เราไม่ได้บวชเพื่อเป็นขี้ข้าของใคร"
แต่ถ้าพระองค์ใดมาบ่นกับท่านพ่อว่า
โยมที่อยู่ประจำที่วัดไม่ยอมทำตามที่ท่านขอไว้
ท่านพ่อจะย้อนถามทันที "ท่านบวชมาเพื่อให้เขารับใช้หรือ"
"ความเป็นอยู่ของเราก็อาศัยเขา
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำอะไรที่จะต้องหนักที่เขา"
"ถึงเขาจะปวารณา..เราอย่าเป็นพระขี้ขอ
ผมเองตั้งแต่บวชมา ถึงจะมีคนปวารณา
ผมไม่เคยขออะไรที่เขาจะต้องออกไปซื้อ
ได้ปัจจัยมาผมก็ทำบุญไป ไม่เคยซื้ออะไร
เก็บไว้เป็นส่วนตัวนอกจากหนังสือธรรมะ"
"พระเราถ้ากินข้าวของชาวบ้าน แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ
ให้สมกับที่เขาใส่บาตรเรา ชาติหน้าเรามีหวัง
เกิดมาเป็นควายใช้หนี้เขา"

"พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก"
วัดธรรมสถิต จ.ระยอง









…ถ้าเป็น “ ธรรมแท้ “ นี้
ต้องรักษาใจให้สงบได้ทุกเวลา
.ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ใจจะนิ่งจะเฉย จะไม่เดือดร้อน
จะไม่วุ่นวาย จะไม่หวาดกลัว
ถึงจะ..เป็นปัญญาจริงถึงจะเป็นธรรมแท้
.ธรรมแท้
จะรักษาใจให้สงบให้ปลอดภัย
จากความทุกข์ต่างๆ
.ถ้ายังมีธรรมะแล้ว..ใจยังทุกข์อยู่ก็
แสดงว่าไม่ได้เป็นธรรมะแท้
ไม่ได้เป็นปัญญาที่แท้จริง
ถ้าเป็นปัญญาที่แท้จริงนี้
“ ใจจะไม่ทุกข์กับอะไรเลย “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๙







"คำสอนของผมนอกตำรา แต่อยู่ในขอบเขต อาจไม่ถูกคัมภีร์แต่มันถูกสัจธรรม”
หลวงพ่อเขมธัมโม (ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดป่าสันติธรรม ณ เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ
"พระอาจารย์เขมธัมโม เล่าถึงบรรยากาศในขณะนั้นว่า หลวงพ่อชา ชอบเดินเล่นรอบๆ วัดในตอนเช้า หลังจากออกบิณฑบาต บางครั้งเมื่อหลวงพ่อชา เดินอยู่ตามลำพังท่านก็มักจะกวักมือเรียกใครสักคนให้เดินไปกับท่าน เพื่อสนทนาธรรมไปในตัว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านกำลังสับสนบางอย่างเกี่ยวกับคำสอน หลวงพ่อชา จึงได้พาท่านเดินไปด้วยอยู่สองสามวัน เพื่อจะช่วยหาทางแก้ปัญหาให้ จนวันหนึ่งมีกิ่งไม้หนักขวางทางอยู่ หลวงพ่อชา ได้ยกท่อนไม้นั้นขึ้นและบอกให้ท่านช่วยยกอีกข้าง แล้วถามว่า
“หนักไหมล่ะนี่ ?”
และเมื่อได้ช่วยกันเหวี่ยงไม้ท่อนนั้นเข้าไปในป่าแล้วหลวงพ่อชา ก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า
“ตอนนี้ล่ะเป็นไง หนักไหม ?” และสอนว่า
“ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้รู้จักการปล่อยวาง ถ้าทำได้ก็จะเบาตัว”
ครับ..ในเรื่องของการปล่อยวางนี้ เป็นตัวอย่างของการสอนในแบบฉบับของหลวงพ่อชา คือสอนด้วยการทำให้ดู อันเป็นการสอนในลักษณะของภาษาธรรม ซึ่งพระอาจารย์เขมธัมโม ก็ไม่ได้เป็นพระฝรั่งองค์เดียวที่เคยถูกสอนด้วยภาษาธรรม เพราะในครั้งหนึ่งเคยมีชาวตะวันตกที่หวังแจ้งเกิดในหลักธรรมได้ยิงคำถามตรงประเด็นแบบไม่ถนอมน้ำใจคนที่ต้องตอบว่า
“ศาสนาพุทธ สอนอะไร?”
แทนการตอบคำถามหลวงพ่อชา ท่านได้ชี้นิ้วไปที่ก้อนหินเขื่องบนดาน
“ยกก้อนหินนั้นขึ้นมาสิโยม”
ฝรั่งนายนั้นทำตามที่หลวงพ่อชา บอก
“หนักไหม” ท่านถาม
“หนักครับ” ฝรั่งเจ้าของปุจฉาที่ตนเองคิดว่าลึกล้ำร้องตอบ
หลวงพ่อเจ้าปัญญาจึงไขปริศนาธรรมนั้นว่า
“อะไรมันหนัก ก็วางลงเถิด สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มีเพียงเท่านี้”
ครับ “ก้อนหินก้อนนั้น” เปรียบเสมือน “กิเลสและตัณหา” ที่เกาะติดตัวเราอยู่ ถ้าเรารู้จักการปล่อยวางเสียบ้าง เราก็คงจะเบาสบายตัวอย่างที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้แหละครับ
"...เหตุไฉนบุคคลผู้มีความรู้ทางโลกเพียงแค่ชั้น ป.๑ อย่างหลวงพ่อชา จึงมีลูกศิษย์ชาวต่างประเทศที่ได้อุทิศตนเป็นพุทธสาวกอย่างจริงจังจำนวนมากแล้ว ในอีกมุมหนึ่งคือทางธรรมยังเป็นการสะท้อนให้เราทราบถึงความจริงที่ว่า
“ธรรมไม่เคยแบ่งชนชั้น ไม่เคยแบ่งประเทศ ไม่เคยแบ่งภาษา และไม่เคยแบ่งเพศวัย”
เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ถึงจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาและสามารถสัมผัสได้ด้วยการกระทำ ดังคำสอนของหลวงพ่อที่มักบอกลูกศิษย์เสมอๆ ว่า
“คำสอนของผมนอกตำรา แต่อยู่ในขอบเขต อาจไม่ถูกคัมภีร์แต่มันถูกสัจธรรม”

หลวงพ่อเขมธัมโม (ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดป่าสันติธรรม ณ เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ






ถ้าเอ่ยคำว่า ‘วิญญาณ’ หลายๆ คนอาจจะกลัว คิดโยงไปถึงเรื่องผีทันที แต่ในทางพุทธ วิญญาณเป็นชื่อของธาตุรู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเห็นอะไรก็ตาม หรือพูดภาษาธรรมะว่าตาเห็นรูป ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะเห็นรูปนั้น การเห็นรูปคือวิญญาณ จู่ๆ มีเสียงเกิดขึ้น หูได้ยินเสียง การได้ยินเสียงก็เป็นวิญญาณอีกวิญญาณหนึ่ง เป็นวิญญาณเกิดที่หู ส่วนวิญญาณทางตาก็ดับไป เมื่อจมูกได้กลิ่น วิญญาณก็เกิด ลิ้นได้รสก็เป็นวิญญาณ กายได้สัมผัสก็เป็นวิญญาณ เกิดความคิดอยู่ในใจก็เป็นวิญญาณ ความรู้ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นวิญญาณทั้งสิ้น แต่มันไม่ใช่มีวิญญาณตัวเดียวกัน มีวิญญาณที่ตา เกิดขึ้นดับไป วิญญาณที่หู เกิดขึ้นดับไป วิญญาณที่กาย เกิดขึ้นดับไป เป็นอย่างนี้ หากมองภาพรวม มันเป็นกระแสที่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เร็วมากๆ จนเหมือนต่อเนื่องเป็นสิ่งเดียว ส่งผลให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเราผู้ได้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้ได้กลิ่น ผู้ได้รส ผู้สัมผัส ผู้คิด
พระพุทธองค์ตรัสว่าที่จริงแล้วมันเป็นวิญญาณ คือ ความรู้เกิดขึ้นที่ตา เกิดขึ้นดับไป ความรู้เกิดขึ้นที่หู เกิดขึ้นดับไป ความรู้เกิดขึ้นที่จมูก เกิดขึ้นดับไป เป็นต้น วิญญาณที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัววิญญาณเป็นความรู้เฉยๆ ไม่ได้รู้รายละเอียด ไม่ได้รู้ว่าดีว่าชั่ว ไม่ได้รู้ว่าควรไม่ควร มันเป็นเพียงแค่พื้นความรู้เท่านั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งต้องอาศัยสติต่อเนื่องและปัญญาพิจารณาให้ดีให้เห็นว่ามันไม่ใช่

พระอาจารย์ชยสาโร






ผู้ที่มีจิตเคารพในศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีลที่มั่นคงและต่อเนื่องนานๆ จิตก็จะเกิดความผ่องแผ้ว ความดีใจ นึกถึงศีลแล้วก็เบาใจ นึกถึงศีลแล้วสบายใจ นึกถึงศีลแล้วอุ่นใจ จุดนี้แหละคือที่จะทำให้เกิดสมาธิ

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO