นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 7:03 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พุทโธ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 14 เม.ย. 2022 8:44 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4559
ลูกคนไหนทำผิดไม่เป็นไร ลูกคนนี้ต้องทำให้ถูก
โยมคนนี้กับพระองค์นี้ ต้องทำให้ถูกนะ

โตแล้วฝึกนิสัยผู้ใหญ่ได้
อดีตเคยทำผิดไม่เป็นไร มันผ่านมาแล้ว
ต่อไปทำให้ถูก
ทำดีได้ รักษาความดีได้

ขี้อะไรจะออกก็ไม่เป็นไร
แต่ขี้น้อยใจห้ามแสดงออกเด็ดขาด
ชีวิตโยมยุ่งมากวุ่นวายมาก
เอาไม่เป็นไร
ยินดีรับ ฝึกได้ รักษาความดีได้

อย่ายุ่งไม่พูดแน่นอน
จะยุ่งมากวุ่นวายมาก ยินดีรับ ฝึกได้โยม

คนไหนจะว่าๆๆๆ ไม่เป็นไรช่างเขา
เขาพูดไม่ถูกไม่ดีไม่งาม
โยมยกมือไหว้เลย
ขอโทษเค้า ให้อภัยเค้า ฝึกได้ รักษาความดีได้

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต
วัดป่าบ้านตาด






#ธรรมะเป็นของกลาง

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน เป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก ศรัทธาญาติโยมพากันมากราบท่านทุกวัน มาจากทั่วทุกทิศทุกทาง ท่านจะเมตตาเสมอในทุกๆ วัน แต่บางครั้งมีเจ้าใหญ่นายโตมา ก็จะขอเข้าพบเป็นการส่วนตัว ไม่ให้คณะอื่นๆ เข้าด้วย ท่านจะกล่าวว่า

“ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของกลาง รวยหรือจน - เล็กหรือใหญ่ - ชายหรือหญิง ท่านก็เทศน์เรื่องเดียวกัน ธรรมอันเดียวกัน ไม่แบ่งแยก”

ท่านจะบอกแบบนี้กับคนใกล้ชิด...

โอวาทธรรม
หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป






#จิตประเสริฐ_จิตเกษม

#มีลาภ.... เสื่อมลาภ
#มียศ.... เสื่อมยศ
#มีสรรเสริญ.... มีนินทา
#มีสุข.... มีทุกข์.
"...แปดอย่างนี้ พระพุทธเจ้า และ
สาวก
...ไม่มีความยินดีและโศกเศร้า ไม่มี
ความหวั่นไหว
...ไม่มีความยินดี ยินร้าย กับอารมณ์
แปดอย่าง นี่ล่ะ..."
#จึงว่าจิตประเสริฐ_จิตเกษม

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย






…ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เป็นมูลเหตุของความชั่ว
ตัณหาความอยากต่างๆ
เป็นมูลเหตุของความเลวร้าย

.ถ้ามีแล้ว จะฉุดกระชากลากพาเรา
“ ไปสู่การกระทำความชั่วทั้งหลาย “

.เราจึงควรทวนกระแสความโลภ
ของความโกรธ ความหลง
ตัณหาความอยากทั้งหลาย
ด้วยการกระทำในสิ่งที่ดี
“ ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล ภาวนา “

.ทำจิตใจให้สงบ แล้วก็เจริญวิปัสสนา ศึกษาดูสภาพความเป็นจริง
ของสภาวธรรมทั้งปวงว่า..
“ เป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา “.

……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕, กัณฑ์ที่ ๙๑
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔





“คุณสมบัติที่น่าชื่นชมประการหนึ่งของผู้มีปัญญา
คือ รู้จักการวางตัวให้เหมาะกับกาละเทศะ
เหมาะกับกลุ่มคน เหมาะกับตัวบุคคล รู้ว่าเมื่อใด
ควรพูด เมื่อใดควรฟัง เมื่อใดควรเป็นผู้นำ
เมื่อใดควรลงมือปฏิบัติ เมื่อใดควรวางเฉย”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ








เมื่อสิ้นวาสนากับขันธ์5 สังขารร่างกายนี้ หรือบุคคลอื่น สัตว์อื่น ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มันก็ต้องแยกจากกัน ต่างคนต่างไป เป็นธรรมดา ให้เรายอมรับกฏของธรรมดานี้ แล้วเราจะต้องไปผูกพันในฐานะกับใครกับสิ่งใดเพื่ออะไร

(สิ่งที่เราได้มา สิ่งที่เรามีอยู่ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามบุพกรรม สิ่งใดเกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดี ทุกอย่างล้วนแต่เป็นไปตามบุพกรรมที่เราสร้างไว้ทั้งสิ้น มีอะไร เจออะไร กระทบอะไรทั้งดีไม่ดี ให้คิดเสมอว่า กรรมมันให้ผลโดยสมบูรณ์ของมันแล้ว ถ้ายอมรับตัวนี้ได้จริงๆเมื่อไหร่ อกุศลกรรมในใจ โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาจะเบาบางลงไปมาก เปิดทางให้กุศลเข้ามาสู่ใจเราง่ายๆ อกุศลกรรมเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลนิพพาน)

ใช้ชีวิตให้เหมือนว่านี่คือความฝัน มีก็เหมือนไม่มี เอกายโน คือ เอาจิตออกห่างจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่กาย กายยังต้องเกี่ยวข้องแต่ใจไม่ผูกมัดกับสิ่งใด เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ และเป็นอิสระจากตัวมันเอง

ที่เรายังเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทั้งๆที่พระองค์ก็สอนเราชัดเจนแจ่มแจ้งในทุกเรื่องทุกอย่าง ก็เพราะเรายังไม่ยอม “ละ” ไม่ยอมตัดใจอย่างเด็ดขาดที่จะละอกุศลกรรมออกจากใจเรา เรารู้ว่าโกรธ โลภ หลงไม่ดี แต่เราไม่คิดที่จะละมัน ธรรมที่เป็นกุศลก็เข้าสู่ใจเราไม่ได้ 100%

แต่ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าจริงๆเมื่อไหร่ ท่านให้ละชั่วทุกอย่าง คือตั้งใจรักษาศีลให้ได้จริงๆเราก็ทำ ท่านให้ทำแต่ความดี อะไรที่เรียกว่าความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพระพุทธศาสนา ทาน ศีล ภาวนา เราก็ตั้งใจทำจนจิตผ่องใส แบบที่อกุศลกรรมไม่สามารถมาแทรกแซงใจเราได้ และท่านให้เราทำจิตให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป คือ ให้เราละวางความคิดปรุงแต่งทุกอย่างทั้งดีชั่ว คือไม่ให้เกาะยึดติดกับสิ่งใด อย่าคิดว่าตัวดีตัวเก่ง รู้ธรรมแล้ว จงวางความรู้นั้น

ในที่สุด การบรรลุธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนจึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่แต่ละคนสร้างเองนั่นเอง (สร้างเหตุปัจจัย =มรรคเกิด และเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมเมื่อไหร่ ผลจะเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องไปอยาก มรรค4 ผล4 นิพพาน1) เอวัง โหตุ นิพพานะ สุขัง

ลูกขอน้อมกราบระลึกบูชาคุณ ขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิได้

ปล. เวลาฟังธรรม อ่านธรรม ให้ใช้ใจเป็นภาชนะรองรับธรรมจริงๆ ฟังด้วยใจกลางๆ โดยปราศจากอารมณ์คิดปรุงแต่งใดๆ ธรรมนั้นจะไหลเข้าสู่ใจเราได้ 100% พอฟังจบแล้วค่อยมาใคร่ครวญพิจารณาธรรมนั้นซ้ำๆหลายๆครั้ง จนกว่าจิตจะยอมรับว่าธรรมที่ท่านแสดงมานั้นคือสัจธรรมความจริง (ที่ไม่ให้ใช้ความคิดปรุงแต่งตอนฟัง เพราะจิตเรายังเต็มไปด้วยทิฏฐิมานะ ให้วางอารมณ์นั้นไปก่อน) มีกูเมื่อไหร่ มีมานะเมื่อนั้น ใช้ขันธ์5 ฟังไม่รู้ ต้องใช้จิตฟัง แค่ปล่อยละวาง จิตมันจะรับสัมผัสธรรมเอง

จิตคิด จิตเกิด
จิตไม่คิด จิตไม่เกิด

———————

#ธรรมท้ายโพสต์ที่สุดแห่งธรรม

#หลักธรรมของ
#หลวงปู่ดุลย์ อตุโล








ถ้าปุถุชนเข้าอนาคามี จะรักษาศีล8เอง โดยอัตโนมัติ

หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน








#ให้ภาวนาว่า_พุทโธ_พุทโธ

พระพุทธเจ้าให้มองตามรูปมัน มองตามเรื่องของมัน เห็นตามสภาพของมันเสียว่า มันเป็นอย่างนั้นเท่านั้น เราก็ปล่อยมันเสีย เราก็วางมันเสีย เอาความรู้สึกนี้เองเป็นตนเป็นที่พึ่ง ให้ภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ

ถึงแม้ว่าจะเหน็ดจะเหนื่อยก็จริงเถอะ ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ หายใจออกยาวๆ สูดลมเข้ามายาวๆ หายใจออกไปยาวๆ แล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่ กำหนดลมหายใจ พุทโธ พุทโธ โดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งกำหนดจิตกำหนดอารมณ์ของเราให้ละเอียดเข้าไป ให้ละเอียดเข้าไปเท่านั้นทุกครั้ง

เพื่ออะไร

เพื่อจะต่อสู้กับเวทนา เมื่อกำลังมันเหน็ดมันเหนื่อยให้โยมหยุดคิดทั้งหลาย ให้โยมหยุดคิดอะไรทั้งปวงเสีย ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอาจิตกับลม รู้จักลม ภาวนา พุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับลูก อย่าไปเกาะกับหลาน อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้น ให้ปล่อยให้เป็นอันเดียว รวมจิตลงที่อันเดียว ให้ดูลม กำหนดลม เอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้นไม่ต้องให้รู้อะไรมากมาย กำหนดให้จิตมันน้อยไปๆ ละเอียดไปๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะมีความรู้สึกน้อยๆ แต่มีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด เป็นต้น

อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้นมันจะค่อยๆ ระงับไปๆ ผลที่สุดเราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมบ้านเรา เราจะตามไปส่งญาติขึ้นรถลงเรือ เราก็ตามไปถึงท่าเรือ ตามไปถึงรถ เราก็ส่งญาติเราขึ้นบนรถ เราก็ส่งญาติเราลงเรือ เขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละ เราก็มองไปเถอะญาติเราก็ไปแล้ว เราก็กลับบ้านเรา เราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้น

เมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จัก เมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จัก เมื่อมันละเอียดไปเรื่อยๆ เราก็มองไปๆตามไปๆน้อยไปๆทำจิตให้มันตื่นขึ้น ทำลมให้มันละเอียด เข้าไปเรื่อยๆผลที่สุดแล้วจนกว่าลมหายใจมันน้อยลงๆจนกว่าลมหายใจไม่มี มีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่ตื่นอยู่ นั่นก็เรียกว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้ว

หลวงพ่อชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO