นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 2:27 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 16 ต.ค. 2021 8:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
…เสื้อผ้าเต็มตู้ล้นตู้แล้ว
ยังซื้อมาอีกทำไม๊
ร่างกายก็มีร่างเดียว

.รองเท้าก็เต็มตู้ เท้าก็มีคู่เดียว
เวลาใส่ก็ใส่ทีละคู่ ไม่ได้ใส่ทีร้อยคู่
มีไว้ก็กลายเป็นภาระ …แต่ก็ยังไม่พอ

.มีร้อยคู่แล้วเชื่อไหม แต่ก็ยังไม่พอ
ถ้าเห็นคู่ใหม่ที่ร้าน..ก็ยังจะอยากได้อยู่.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะหน้ากุฏิ
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓








"...สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพรักษาศีล ๕ เกือบเท่าศีล ๘ ก็คือนอกจากกินข้าวเย็นแค่ไม่กี่นาทีแล้ว นอกนั้นรักษาได้หมด ท้ายสุดก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อทุกอย่างทำได้หมด เหลือแค่กินข้าวเย็นอย่างเดียว แล้วเอ็งจะกินไปทำไม ?

เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด ก็เว้นจากอาหารเย็นตั้งแต่ก่อนบวช ๒ ปี แล้วก็ไม่ได้รู้สึกหิว ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวาย สภาพร่างกายหลังเที่ยงเหมือนกับตัดระบบทิ้งไปเลย ไม่ได้ต้องการอาหารอะไรนอกจากน้ำดื่ม แม้กระทั่งพวกน้ำหวาน ของหวานอะไรก็ไม่ได้ต้องการ

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถยกระดับจากศีล ๕ ขึ้นมาเป็นกรรมบถ ๑๐ ใหม่ ๆ ก็อาจจะไม่คุ้นชิน เพราะว่ากรรมบถ ๑๐ นั้นนอกจากไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังต้องไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา ก็แปลว่าต้องประกอบไปด้วยเมตตา กรุณาอย่างสูง

นอกจากไม่ลักขโมยแล้ว ยังไม่หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ นอกจากไม่ละเมิดคนรักของคนอื่นแล้ว ของที่คนอื่นเขารัก เราก็ไม่ละเมิดด้วย ก็แปลว่าจะเป็นข้าวของเงินทอง หรือว่าสามีภรรยา ลูกเขาเมียใครเราก็ไม่ไปยุ่ง

นอกจากไม่พูดโกหกแล้ว ยังไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน แล้วก็ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ ซึ่งตรงวาจาเพ้อเจ้อนี้มีหลายระดับขั้น เพราะว่าบุคคลที่กำลังใจสูงกว่า ก็ย่อมเห็นบุคคลที่กำลังใจต่ำกว่านั้นกำลังพูดเพ้อเจ้ออยู่

ข้อสุดท้ายไม่ดื่มสุราเมรัยยังไม่พอ แม้กระทั่งยาเสพติดหรือว่าสิ่งอื่น ๆ ที่ดึงดูดให้เรายึดให้เราติดอยู่ อย่างเช่นว่าอาหารที่รสชาติถูกใจ เราก็ตัด เราก็ละออกไป

ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านทั้งหลาย รักษากรรมบถ ๑๐ ได้โดยที่ไม่หนักใจเลย ขอให้รู้ว่ากรรมบถ ๑๐ นั้นเป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี

ศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี ซึ่งตรงนี้ไม่มีตำราบอกเอาไว้ ส่วนศีล ๘ นั้น เป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี ใครสามารถที่จะรักษาศีล ๘ ได้ โดยไม่หนักใจ โอกาสที่ท่านจะเข้าถึงมรรคผลจะง่ายมาก เพราะว่าศีล ๘ เอื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง..."

คำสอนหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๔









#หลงป่า.

"...ท่านเดินทางเข้าไปในป่าลึกทางภาคเหนือ เดินวนเวียนอยู่ในป่าหลายวัน แล้วก็ไปพบชาวเขากำลังทำไร่ พวกเขาเห็นท่านก็สงสาร พูดขึ้นว่า
"ท่านครับ ท่านจะมาหาความลำบากทำไม ป่า
นี้เป็นป่าใหญ่ พวกผมยังไม่กล้าเดินเข้าไปใน
ที่ลึกๆเปลี่ยวๆ สัตว์ป่า ช้าง เสือ มีมาก อันตรายทั้งนั้น ถ้าท่านยังจะเดินบุกต่อไปอีก
มีแต่ตายเปล่าๆ..."

#โยมเอยอาตมาหลงป่ามาหลายวัน_ก็ยังน่าชื่นชม #ถ้าอาตมาหลงโลกโยมจะชื่นชมมั้ย..!!

...หลงโลกนี้หลงมานานแสนนานหลายภพหลายชาตินับไม่ได้ สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักเบื่อหน่าย ไม่คลายความกำหนัด พวกโยมที่ปลูกเผือกปลูกมันอยู่นี้ ไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือ..!!?
หลงทางหลงป่าเพียงสองสามวันเหนื่อยหน่อยเดี๋ยวก็หาทางออกเจอ แต่หลงโลกอันย้อมด้วยกิเลสเป็นเครื่องฉาบทานี้สิ....!!!

#โยมเอ๋ย_ตายจากความดีอย่างเดียว
#ตายเข้าโลงแล้ว_เขาเอาไปเผาไฟยังไม่รู้ตัวเลย.. "

#อัตตชีวประวัติส่วนหนึ่งของ
#ท่านพ่อลี_ธัมมธโร








#คนเข้าวัดกรรมฐานต้องเรียนรู้

อะไรที่ไม่ถูกเราก็ไม่ทำ เอาแต่แก่นแท้
ของพุทธะ อย่างงานศพไม่ต้องจุดพลุ
จุดตะไลหรอก เสียเงินเปล่าๆ คนตาย
ไม่รู้เรื่องแล้ว บุญก็ไปส่วนบุญ บาปก็ไป
ส่วนบาป แยกขันธ์กันไปแล้ว จะไปจุดพลุ
จุดตะไลยังไงมันก็ช่วยไม่ได้ คนขี้เมาตาย
แล้วจะจุดพลุจุดตะไลไล่ให้ไปสวรรค์
ยังไงมันก็ลงนรกอย่างเดียว ทำไม่ถูก
ก็เป็นทุกข์เสียเงินเสียทองกันเปล่าๆ ก็ควร
จะหยุด

ตายแล้วก็ไปเคาะโลงเรียกให้แม่
ให้พ่อรับศีลฟังธรรม เรียกให้กินข้าว โถ.!
มาเสียดายกันตรงนี้เอง กลัวจะหิว.!
ไปที่ไหนก็เจอที่นั่นแหละ ...
นึกกระดากแทนพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์อยู่
ท่านคงว่าพวกเรานี่โง่จริงๆเลย
มาเคาะโลงให้คนตายกินข้าว ฟังธรรม
อุตส่าห์วางศาสนาไว้แล้วยังทำอะไรไม่ถูก
การจะเคาะคนก็เคาะตอนเป็นๆนี่เอง
จะเรียกให้พ่อให้แม่กินข้าว

เข้าวัดถือศีล
ฟังธรรม ก็ชวนกันตั้งแต่ตอนเป็นๆ
นั่นแหละพ่อแม่จะได้ถูกพระจูง
ไม่ใช่รอจูงด้วยสายสิญจน์ตอนตาย
แต่จูงด้วยศีล ศีลนี่เป็นหลักใหญ่
ถ้าไม่มีศีลแล้ว ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งเลย
ฉะนั้น...ก็ให้เราทำกันก่อนนะ

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
วัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี









“ ญาติโยมก็เคยได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์เรื่องธรรมะ
แต่ว่าการปฏิบัตินั้นสำคัญกว่า
การไปนั่งภาวนา เดินจงกรม นี้เป็นหลัก
อะไรก็สู้ทำไม่ได้ การกระทำนี้ดีกว่า
ได้ยินได้ฟังไม่เอาไปใช้ก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าเอาไปใช้ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งภาวนา นี้ตัวสำคัญ
เพราะว่ากายของเราเกิดมาแล้วไม่รู้ว่าจะไปตรงไหน
ถ้าเราจะทำคุณสร้างความดีแล้ว ต้องรู้จักตั้งจิตตั้งใจ
อย่างทำวัตร ไหว้พระสวดมนต์แล้ว
ถ้าจะให้ดีต้องรู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล









“รักษาความเป็นมนุษย์ไปทุกภพทุกชาติ”

คำว่าบาปนี้ก็คือ ๑. การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำแท้งบาปไหม ฆ่าหรือเปล่า ฆ่าเด็กทารกในท้อง บาป ทำหมันบาปไหม ไม่บาปเพราะไม่ได้ฆ่า เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา ไม่ได้มีการตั้งครรภ์ ไม่บาป ถ้าได้ทำหน้าที่ศึกษาข้อง่าย ๆ แค่นี้ไม่น่าจะต้องมาถามกัน แสดงว่าไม่ได้เรียนกันเลย ไม่รู้ว่าบาปคืออะไร

“บาป” ก็คือ ๔ ข้อด้วยกัน คือข้อที่ ๑ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตน้อยชีวิตใหญ่ เช่น มด แมลง หรือชีวิตใหญ่ เช่น ช้างหรือมนุษย์หรืออะไรถือว่าเป็นชีวิตเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เจ้าของของชีวิตนั้นรักและหวงเหมือนกัน ช้างก็หวงชีวิตของเขา มดแมลงเขาก็หวงชีวิตของเขา ฆ่าเขาแล้วก็ทำให้เขาทุกข์ ชีวิตของเรา ๆ ก็รักเราก็หวง ใครฆ่าชีวิตเรา ๆ ก็ทุกข์

ดังนั้นการทำบาปก็คือการไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นนั่นเอง ดังนั้นให้เข้าใจว่าบาปคืออะไร คือการไปทำให้เกิดความทุกข์แก่ผู้อื่น ทุกข์มากทุกข์น้อย ทุกข์มากที่สุดก็คือการฆ่าชีวิตการทำร้ายชีวิตของผู้อื่น เพราะชีวิตนี้เป็นของที่มีค่าที่สุดของทุกๆ คน รองลงมาก็คือการลักทรัพย์ การไปเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทองชนิดไหนก็เรียกว่า “ทรัพย์” หมด โต๊ะเก้าอี้ กระเป๋ารองเท้า อะไรก็ตามของที่ไม่ใช่เป็นของเราอย่าไปเอามาถ้าไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของก่อน ถ้าไม่รู้ใครเป็นเจ้าของก็ต้องถามหาดูก่อน ถ้าหาเจ้าของไม่ได้ก็อย่าไปเอาดีกว่า

นี่คือบาปข้อที่ ๒ ก็คือการลักทรัพย์ ข้อที่ ๓ ก็คือการประพฤติผิดประเวณี ไปเอาลูกสามีภรรยาของผู้อื่นมาเป็นของตน ต้องไปขออนุญาตก่อน ขออนุญาตบิดามารดา มีการสู่ขอกันมีการทำประกาศเป็นทางการว่าบุคคลทั้ง ๒ คนนี้เป็นของกันและกัน ผู้อื่นไม่เกี่ยวข้อง ห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย นี่คือเรื่องประเพณีการประพฤติถูกประเพณี การประพฤติผิดประเวณีก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ คนที่เขาเป็นของกันและกันถ้าเกิดถูกคนอื่นมาล่วงเกินมาแย่งเอาไป ก็จะทำให้ต้องเกิดความทุกข์ใจนั่นเอง ถ้าภรรยาต้องเสียสามีให้คนอื่นไปหรือสามีเสียภรรยาให้คนอื่นไปก็ต้องเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ไม่ควรที่จะไปทำให้สามีภรรยาของผู้อื่นเขาเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

หรือในกรณีของผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อย่าไปทำให้พ่อแม่เขาต้องเสียอกเสียใจ ไปสู่ขอขออนุญาตจากบิดามารดาของบุคคลที่เราต้องการที่จะเอามาเป็นคู่ครองก่อน เรียกว่าเป็นการประพฤติถูกประเพณี ทุกคนแฮปปี้ทุกคนมีความสุข เห็นไหมเวลาจัดงานแต่งงานกันทุกคนดีใจยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้าได้ข่าวว่าคนนั้นหนีไปอยู่กับคนนู้น พอได้ยินข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ พ่อแม่ก็ทุกข์ใจที่ลูกไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามประเพณีของสังคม อันนี้ก็คือข้อที่ ๓ ของการทำบาป ไม่ประพฤติผิดประเวณี ประเวณีก็คือประเพณีนี่เอง

ข้อที่ ๔ ก็คือการไม่พูดปดต้องพูดความจริง ถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ไม่มีใครมาบังคับให้เราพูดได้ถ้าเราไม่พูดถ้าเราปิดปากไว้ เฉย ๆ ใครจะถามอะไรถ้ารู้ว่าพูดไปแล้วไม่เป็นความจริงก็อย่าพูด เพราะพูดไม่เป็นความจริงก็ทำให้ผู้อื่นเขาเสียหายได้ เช่น ไปกล่าวร้ายคนที่เขาไม่ได้ทำผิด แล้วคนที่ถูกกล่าวร้ายก็ต้องไปรับเคราะห์รับกรรมจากการพูดของเรา ความพูดไม่จริงของเรา อันนี้ก็ถือว่าเป็นการทำให้ผู้อื่นเขาทุกข์เดือดร้อน นี่คือบาปมีอยู่ ๔ ข้อ ควรละการกระทำบาปทั้งปวง คำว่า “ทั้งปวง” ก็มีสมุนของบาปด้วย นอกจากบาปแล้วยังมีผู้สนับสนุนในการกระทำบาปก็ถือว่าเป็นส่วนของการทำบาป ผู้สนับสนุนนี้เรียกว่า “อบายมุข”

“อบาย” แปลว่าทุคติ ที่ไปของผู้ทำบาป เช่น ไปเป็นเดรัจฉาน ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสูรกาย ไปนรก นี่คืออบาย ๔ ผู้ที่จะไปอบาย ๔ มักจะต้องไปยืนที่ประตูของอบายก่อน ก่อนจะไปอบายต้องเข้าประตูไปก่อน ใครไปยืนอยู่ที่หน้าประตูอบายก็มักจะเข้าไปง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู “อบายมุข” ก็แปลว่าประตูของอบาย “มุข” แปลว่าทวารทางเข้าออก “อบายมุข” ก็คือทางเข้าออกของอบาย ใครไปอยู่ที่หน้าประตูเดี๋ยวก็เข้าไปได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ประตู ใครไปเสพอบายมุขก็จะไปทำบาป เพราะทำบาปได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เสพอบายมุข พอทำบาปแล้วก็จะมีผลคือจิตใจก็จะกลายไปเป็นอบายทันที เป็นทีละเล็กทีละน้อยตามปริมาณของการกระทำบาปไป

อบายมุขมีอยู่ ๕ ข้อด้วยกันที่ไม่ควรที่จะไปกระทำกัน คือ ๑. การดื่มสุรายาเมา ๒. การเล่นการพนัน ๓. การเที่ยวเตร่ไม่ว่าจะเที่ยวกลางวันหรือกลางคืน ๔. ความเกียจคร้าน ๕. การที่ชอบคบคนที่ชอบอบายมุขเป็นมิตร นี่คืออบายที่ไม่ควรกระทำเพราะถ้ากระทำแล้วจะทำให้ไปทำบาปได้ง่าย หรืออาจจะถูกบังคับให้ไปทำบาปเพราะอบายมุขนี้ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่าย ดื่มสุราก็ไม่มีรายได้ เล่นการพนันถึงแม้จะได้ก็ได้ในระยะสั้น พอได้ก็อยากจะได้มากขึ้น ก็เล่นต่อ พอเล่นต่อเดี๋ยวก็ต้องเสีย พอเสียก็อยากจะได้คืนก็เล่นต่ออีก เดี๋ยวทำไปทำมาก็มีแต่เสีย พอเงินทองไม่มีก็ต้องไปขายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองเพื่อที่จะมาเล่นต่อเพื่อที่จะเอาคืน

อบายมุข เพราะว่าการพนันนี้มันโหดร้ายยิ่งกว่าขโมยขึ้นบ้าน โหดร้ายยิ่งกว่าไฟไหม้บ้าน เพราะว่าขโมยขึ้นบ้านก็เอาไปได้แต่ข้าวของที่มีอยู่ในบ้าน ยังเอาบ้านไปไม่ได้เอาที่ดินไปไม่ได้ ไฟไหม้บ้านนี้ก็ไหม้แต่บ้านไหม้แต่ข้าวของแต่ยังมีที่ดินเหลือไว้อยู่ไว้ปลูกบ้านใหม่ได้ แต่ถ้าเล่นการพนันนี้มันเอาไปหมดเลย พอเงินหมดก็ต้องขายของขายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองในบ้าน พอสมบัติหมดก็ขายบ้านต่อขายบ้านขายทั้งที่ดิน เลยจะไม่มีที่อยู่อาศัย นี่คือโทษของอบายมุข

อันที่ ๓ การเที่ยวก็มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ทุกครั้งออกไปเที่ยวลองดูซิว่าต้องเสียเงินครั้งละกี่บาท ถ้าห้ามใจได้อยู่ในบ้านนี้ก็ประหยัดทรัพย์ไปได้เยอะ ทุกบาทที่เราประหยัดก็เป็นเหมือนรายได้ที่เราได้มาอย่างสบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเราห้ามจิตห้ามใจไม่ให้ไปเที่ยวได้เราก็ไม่สูญเสียเงินทอง ก็เหมือนกับเรามีรายได้โดยที่ไม่ต้องไปหามา เพียงแต่รักษาทรัพย์ที่เรามีอยู่ให้อยู่กับเราได้ก็ถือว่าเรามีรายได้แล้ว ถ้าไปเที่ยวมันจะติดด้วย เที่ยวครั้งเดียวไม่พอเที่ยวแล้วก็อยากจะเที่ยวอีก วันไหนไม่ได้เที่ยวก็จะไม่รู้สึกไม่สบายอกไม่สบายใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเหงาว้าเหว่ พอไปเที่ยวแล้วก็ดีอกดีใจ โบราณท่านบอกว่า “เวลาไปเหมือนไก่บิน เวลากลับมาเหมือนห่ากิน” เวลาไปดีอกดีใจเวลากลับบ้านนี้คอพับกลับบ้าน นี่คืออบายมุข

ข้อที่ ๔ ก็คือความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านก็ไม่มีการผลิตเงินทอง ไม่มีรายได้จากความเกียจคร้าน ชีวิตก็ต้องมีรายจ่าย เช่น ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ต้องกินต้องอะไร ก็จะมีแต่เสียเงินทองที่มีอยู่ถ้าเป็นคนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน เมื่อไม่มีรายได้ก็จะต้องไปทำบาปเพื่อที่จะมีรายได้ ข้อที่ ๕ ก็คือไม่คบกับคนที่ชอบอบายมุข ถ้ามีมิตรเป็นคนที่ชอบอบายมุขเขาก็ต้องชวนเราไปเสพอบายมุข ถ้าเขาชอบดื่มสุราเขาก็จะชวนเราไปดื่มสุรา ถ้าเขาชอบเล่นการพนันเขาก็จะชวนไปเล่นการพนัน ชอบเที่ยวเขาก็จะชวนเราไปเที่ยว ชอบความเกียจคร้านเขาก็จะชวนให้เราเกียจคร้าน ชวนให้เราอย่าไปทำงานให้ไปเล่นไปทำอะไรกันดีกว่า

นี่คืออบายมุขที่เป็นสมุนหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำบาป เพราะเมื่อเสพอบายมุขแล้วเงินทองก็จะไม่พอใช้ แล้วก็จะต้องไปหาเงินทองโดยวิธีกระทำบาป คือตอนต้นก็อาจไปโกหกหลอกลวงคนนั้นคนนี้ขอยืมเงินเขามา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีปัญญาที่จะไปหาเงินไปใช้เขาได้ พอยืมแล้วไม่คืนเขาครั้งต่อไปจะไปยืมเขา ๆ ไม่ให้ยืม ก็เงินเก่ายังไม่คืนแล้วจะมายืมเงินใหม่ได้อย่างไร พอยืมเงินไม่ได้ขั้นต่อไปก็ไปขโมยแล้ว ไปลักทรัพย์ ไปลักทรัพย์อาจจะรู้สึกได้น้อยก็อาจจะไปคิดปล้นไปคิดจี้ตามร้านทองร้านขายของ เลยต้องหาอาวุธหาปืนหาอะไรมา แล้วถ้ามีการต่อสู้กันก็อาจจะมีการฆ่ากันต่อไป

นี่คืออบายมุข ใครไปเสพอบายมุขแล้วมันจะติด ตอนต้นก็อาจจะคิดว่าไม่เป็นไรเล็กๆ น้อยๆ ดื่มแค่ถ้วยเดียวดื่มแค่ขวดเดียว เบียร์ขวดเดียวมันจะเป็นอะไรไป แต่มันจะไม่ขวดเดียวละซิมันจะต่อไป เดี๋ยวเป็นสองเป็นสามดื่มทุกวัน ทุกอย่างมันจะเริ่มจากนิดหน่อย เหมือนไฟป่านี้บางทีมันเริ่มจากบุหรี่มวนเดียวเท่านั้นเอง โยนเศษบุหรี่ทิ้งไปในป่าเดี๋ยวมันไหม้ใบไม้เดี๋ยวมันก็เริ่มลามไปได้กลายเป็นไฟป่าลุกขึ้นมาได้ เพราะอยู่ในป่าไม่มีใครรู้ใครเห็นว่ามีไฟเกิดขึ้นมา มันก็จะลามปามกลายเป็นไฟป่าไหม้ป่าใหญ่ได้ ฉันใด อบายมุขก็เช่นเดียวกัน อย่าประมาทอย่าไปคิดว่า “เอ๊ย ทำครั้งเดียวไม่เป็นไร” มันไม่เป็นครั้งเดียวละซิพอมันได้ครั้งหนึ่งแล้วมันจะติดใจ มันจะได้ใจเดี๋ยวครั้งต่อไปก็ “เอา เอาอีกครั้งหนึ่ง ไม่เป็นไร” เดี๋ยวก็เพิ่มไปเรื่อยๆ

นี่คืออย่าไปกระทำ อย่าไปเสพอบายมุขเพื่อที่จะได้ไม่ไปถูกกดดันให้ไปทำบาป เมื่อไม่ทำบาป ผลของการทำบาปก็จะไม่เกิดขึ้น คือจะไม่ต้องไปเป็นเดรัจฉาน ไม่ต้องไปเป็นเปรตไม่ต้องไปเป็นอสูรกายไม่ต้องไปนรก ก็จะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ มนุษย์เรานี่ถ้ารักษาศีล ๕ ได้ ไม่เสพอบายมุขได้เวลาตายไปนี่ไม่ต้องไปอบาย กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อเพราะไม่มีบาปดึงให้ไปอบาย แต่ก็ไม่มีบุญดึงให้ไปสวรรค์ให้เป็นเทวดา ถ้าเพียงแต่รักษาศีล ๕ ละเว้นอบายมุข ผลก็คือจะรักษาความเป็นมนุษย์ได้ไปทุกภพทุกชาติ ตายไปก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อทันที

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน









“ ทรัพย์สินสมบัติ
ที่เราพากันสะสมทุกวัน
ก็อยู่ในชีวิตนี้พอได้
ใช้จ่าย ก็อยู่ในชีวิตนี้
แต่จะเอาไปใช้จ่าย
ในชีวิตหน้าไม่ได้ ส่วน
อริยทรัพย์นั้นเอาไปใช้
จ่ายปรภพเบื้องหน้าได้

เพราะฉะนั้น ท่านจึง
ให้พากันขุดทรัพย์
ขุมทรัพย์นี้มีเยอะ
นอกจากศรัทธา วิริยะ
สติ สมาธิ ปัญญาแล้ว
ก็ยังมีทานบารมี
ศีลบารมี ขันติบารมี

มีเยอะที่เราจะขุดมา
เมื่อเราขุดออกมาแล้ว
ทีนี้ก็จะเป็นทรัพย์
สมบัติของเราที่เรียกว่า
อยู่กันอย่างถาวร ”

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร








เรื่องทุกข์เรื่องไม่สบายใจนี่มันก็ไม่แน่หรอกนะ มันเป็นของไม่เที่ยง เราจับจุดนี้ไว้ เมื่ออาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา เรารู้มันเดี๋ยวนี้ เราวาง

กำลังอันนี้จะค่อย ๆ เห็นทีละน้อย ๆ เมื่อมันกล้าขึ้น มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด ต่อไปมันเกิดตรงนี้ มันดับตรงนี้

เหมือนกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง มันก็ละลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาอีกมันก็ละลายต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้

อนิจจัง ทุ กขัง อนัตตา คือ ฝั่งทะเล อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามามันก็เท่านั้นแหละ.

#หลวงปู่ชา สุภทฺโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO