นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 6:49 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความพากเพียร
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 01 ต.ค. 2021 6:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
คนไหนเค้าพูดนะ
มันเป็นลมของเขาเป็นความคิดของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา
แล้วทำไมต้องใส่ใจด้วย

เนี่ย! ปัญหานะ มันทุกข์มาจาก อยากได้อะไรไม่อยากได้อะไร

เวลาคนพูดไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา แล้วมันเป็นกรรมของเรา
เพราะว่าเราเคยทำกับเขา เราก็ต้องรับมัน

ยิ้ม ยินดีต้อนรับ เนี่ยวิธีแก้
ทำให้ทุกข์ลดลงนะ เอาแค่นี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมา มันก็เป็นเวรกรรมคนเรา ต้องยอมรับมัน
อันนี้มันจะกลับมาหาเราอีก เมื่อฟัดกับคนนั้นคนนี้ มันจะกลับมาหาเราอีก

ยอมรับมัน มันจะเสียอะไร มันเป็นลม เข้าหูซ้ายออกหูขวา
เนี่ย แค่นี้ ไม่ต้องลงในใจ เข้านี้ออกนี้
นั่งภาวนา เมื่อไม่มีความคิดขึ้นมาก็ไม่มีทุกข์ แค่นี้เอง
พุทโธๆๆๆๆ คนนพูดอะไรก็พุทโธๆๆๆๆ

ความจำความคิดทำให้เราเป็นทุกข์มากนะ
มันรวดเร็วด้วยนะ เห็นอะไรๆ ความจำความคิดขึ้นมานะ
ภายใน1นาทีโมโหขึ้นมา ยังไม่ได้พูดหรอกนะ โมโหขึ้นมานะ
จากความจำความคิดของเรา
มันไม่เกี่ยวกับเขา ความโมโหเกิดในใจของเรา

ไอ้ความคิดความจำนะทำให้เราไปโมโห แล้วเอาทำไม มันโมโหสบายใจไหม

เอ้อ! มันทุกข์ใจนะ เมื่อมันทุกข์ใจแล้วเอาทำไม

เนี่ยศาสนาพุทธนะ!!!
มันไม่เกี่ยวกับคนนี้ คนนู้นนะ
ไม่เกี่ยวกับผัวด้วยนะ

ส่วนมากก็เมียกับผัวก็มีทุกข์มาก
เมียอยากได้ผัวไม่ให้ ผัวอยากได้เมียไม่ให้ มันก็เป็นทุกข์แล้ว
สมัยก่อนนะ พบครั้งแรกนะมีความสุขมากนะ เนี่ยเดี๋ยวนี้ทำไมมันทุกข์
เพราะว่าไม่พอใจ ไม่เกี่ยวกับเขา
เมื่อไม่พอใจเลยเลยโมโหกับเขา

มันต้องสงสารเขา มันเห็นทุกข์ของเขา
มันทุกข์มันเยอะกว่าเรานะ thailand the land of smile
amazing thailand

หลวงพ่อมาร์ติน ปิยธัมโม
วัดภูฆ้องทอง






…เรื่องที่เราต้องทำ คือ
“ ดูแลใจของเราให้สงบให้ได้ “

.ด้วยการ ..เจริญสติ..อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อมีสติแล้ว ก็จะทำใจให้สงบนิ่งได้ .
…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๔๒, กัณฑ์ที่ ๓๘๕ 
วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑








เฮามันตุ๊หลวง บ่แมนตุ๊เจ้า (หลวงปู่หัวเราะ)
ตุ๊เจ้านั่นคือมีเจ้าของ เฮามันตุ๊หลวงบ่มีเจ้าของ
เป็นของสาธารณะ ไผอยากมาก็มาได้บ่ต้องไปว่า
ไปกีดกันเขา เฮาบ่แมนเจ้าของไผ
อันนี้ไผมากะสิไปกีดกัน ไปแสดงอาการกิริยา
ใส่คนที่เขามามันบ่แม่นแหลว คือตอนเฮาอยากมานี้เเหล่วถ้ามาแล้วมีคนกีดกันบ่ให้เข้า บ่ให้มา
เจ้าของจะเสียใจบ่ละ อันนี้ก็คือกัน
บางทีเขามาแต่ไกลมีเหตุจำเป็น
ถึงเฮาสิพักก็เข้ามาบอกเฮาโลด
คิดเห็นเขานำ ผู้เขามาแต่ไกลอย่ามาหวงเฮาบ่แมนเจ้าของไผ เฮาเป็นพระสาธารณะ....

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต
วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี







รู้ไหมว่าพ่อและแม่เรา คือ พระอรหันต์
ให้ของดีมาแล้ว ทุกสิ่งอย่างสมบัติอันล้นโลก
ก็คือตัวตนสกลกายเรา จะไปสวรรค์ชั้นไหน ?

"ก็เป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้"

"หรืออยากจะไปนรกก็ทำได้"

"ก็ทำเอาสิมนุษย์น่ะ...ถ้าโง่ !!"

อยากจะไปพรหมโลกก็ทำเอาสิ
อยากจะเดินไปสู่มรรคนิพพานก็ทำเอาสิ

"อยู่ที่ตัวเราหมด"

อยู่ที่โลกอันนี้ โลกธาตุอันนี้ก็ คือ โลกธรรม โลกธรรมก็ คือ ตัวธรรมชาติ ก็คือ ตัวนิพพาน
ก็อยู่ที่นี้ สรณะก็อยู่ที่นี้

อย่าไปคิดว่าไม่มีใครรู้น่ะว่าเราคิดอะไร (มี)

ทำอะไร เขาดูอยู่ เขาเห็นอยู่ เขารู้อยู่...

แต่พวกเราเห็นเขาไหม พวกเราไม่เห็นเขาหรอก

แต่เขาเห็นเราว่าเราทำอะไร..

ทำไมจึงเอาพระเหล่านี้ ตัวตนเรียกว่าพระวรกาย
เป็นกายที่พ่อแม่ให้มา แทนที่จะมาปฏิบัติกายอันนี้ปฏิบัติภายในอันนี้ ปฏิบัติพระอันนี้ให้สมบูรณ์แบบให้บริสุทธิ์ ทำไมจึงเอาพระที่มีอยู่ในตัวตนโลกธาตุอันนี้ ไปทำให้เป็นมลทิน...

"ทำทำไม"

ธรรมคำสอนหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร
วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
บันทึกธรรม : นรินทร์ ศรีสุทธิ์








เมื่อจิตบอกอะไรขึ้นมายังเป็นกิเลสอยู่นะ

เวลานั่งสมาธิก็นั่งสมาธิให้มันอยุ่กับพุทโธ
เมื่อความรู้ขึ้นมาเราก็รู้อยู่นะไม่ต้องตามไปไม่ต้องคิดไป
เมื่อความคิดขึ้นมาก็สลับกับพุทโธๆๆ มันจะลึกกว่านะ

เพราะว่าเมื่อเข้าสู่สมาธิแล้ว

เมื่อความคิดขึ้นมา
มันจะออกจากสมาธิทันทีนะ มันไม่ดี

ให้พุทโธอย่างเดียว
เมื่อนั่ง2-3ชั่วโมง จะพิจารณาทุกขเวทนาก็ได้
“เมื่อนั่งได้ชั่วโมงเดียวก็พุทโธอันเดียว”

หลวงพ่อมาร์ติน ปิยธัมโม
วัดภูฆ้องทอง








“… งานยุ่งไม่มีเวลามาวัด ให้ถามดูซิว่างานมันยุ่งหรือใจมันยุ่งกันแน่ คนเราเอาจิตใจไปยึดติดผูกพันกับเรื่องใด ก็จะทำให้เป็นทุกข์เสมอ ให้หมั่นมีเวลาสร้างความดีให้จิตให้ใจบ้าง…”

โอวาทธรรม
หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดป่าภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร








พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า​ ...
สาเหตุของความทุกข์
คือเราลืมไปเเล้วว่า
ไม่มีอะไรยั่งยืน
เราจึงยึดติดกับความสุข
ว่าสิ่งเหล่านั้น
จะไม่มีวันเปลี่ยนเเปลง
เเต่เมื่อมันเปลี่ยนไป
เราผิดหวังและเกิดทุกข์​ ...

“.. วางความสุข จิตก็พ้นซึ่งความทุกข์​ .."

พระวิมลเมธาจารย์(หลวงปู่สุพจน์ ฐิตพฺพโต)
วัดห้วงพัฒนา​ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด









“ปฏิจจสมุปบาท ความสุขแบบตะครุบเงา”

พ่อแม่นี่พอเราโตขึ้นออกมาจากท้องแม่ พ่อแม่ก็สอนให้หาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ป้อนเอาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายให้ ซื้อตุ๊กตามาให้นี้ก็ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ซื้อตุ๊กตาซื้อของเล่น ซื้อขนมซื้อลูกอม ซื้ออะไรให้กินมันก็เป็นรูปเสียงกลิ่นรสทั้งนั้น ไม่มีพ่อแม่คนไหนสอนให้หนูนั่งสมาธินะ หนูรักษาศีล ความสุขอยู่ตรงนี้ อย่าไปเอาตุ๊กตา อย่าไปเอาขนม อย่าไปเอาของเล่น แล้วเด็กก็ไม่ขออะไร ขอแต่ของเล่น เห็นไหม ปีใหม่อย่างงี้ คริสต์มาสนี้ขอของขวัญกัน ขอตุ๊กตาขอของเล่นอะไรต่างๆ ปีไหนของเล่นกำลังฮิตก็อยากจะได้อย่างงั้นกัน เอามาเล่นแล้วก็เพลิดเพลิน สุขเดี๋ยวเดียว เวลาได้มาก็ดีใจ เล่นกับมันไปสักพักก็เบื่อ หายตื่นเต้นหายสุข ก็อยากจะหาของเล่นใหม่ นี่แหละเราอยู่ในโลกของคนที่หลงทุกคน พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย พี่น้องเพื่อนฝูงเหมือนกันหมดเลย หลงกันเหมือนกัน หาความสุขไม่เจอกัน มีแต่ความสุขแบบตะครุบเงา รู้จักเงาไหม เคยเห็นเงาไหม เวลามันทอดไปข้างหน้าเราลองไปตะครุบเงาดูสิ จับมันได้ไหม พอจะไปจับหัวมัน มันไปโน่นแล้ว หัวมันก็หนีไปแล้ว นั่นแหละความสุขแบบลาภยศสรรเสริญ แบบรูปเสียงกลิ่นรสก็เหมือนแบบตะครุบเงา คิดว่าได้มาแล้วจะมีความสุข พอได้มาปั๊บ อ้าว! หายไปแล้ว สุขเดี๋ยวเดียว ไปเที่ยวสุขเดี๋ยวเดียว กลับมาบ้าน หมดไปแล้ว ไปดูหนังฟังเพลง ไปกินไปดื่ม ไปทำอะไรเสร็จ สุขเดี๋ยวเดียว พอกลับมาบ้าน หายไปแล้ว นี่แหละคือความหลงที่เรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อวิชชามันถึงหลอกเรา มันหลงมันคิดว่าความสุขอยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรส มันก็ปั่นใจให้เราคิด ปั่นใจให้คิดถึงรูปเสียงกลิ่นรส

อวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขารก็ส่งไปหาวิญญาณ เพื่อจะได้ไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายร่างกายเรา ตาหูจมูกลิ้นกายเนี่ยมันเชื่อมกับใจ เป็นสะพานเชื่อมด้วยวิญญาณ หรือถ้าแบบโทรศัพท์มือถือเนี่ย เวลาที่เราจะใช้สายเสียบเพื่อจะได้ฟังเพื่อจะได้พูดโดยที่ไม่ต้องไปพูดที่เครื่อง แล้วใช้สายเสียบมัน เสียบไปที่เครื่องโทรศัพท์ เราก็สามารถพูดได้ฟังได้ฟังเสียงได้ ใจเรานี้ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ใจเราอยากจะสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรส ใจเราเลยต้องมีสะพานเชื่อมระหว่างใจกับร่างกาย ใจเป็นคนหนึ่ง ร่างกายเป็นอีกคนหนึ่ง ร่างกายมีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เลยส่งสะพานมาเชื่อมที่ตาหูจมูกลิ้นกาย พอเชื่อมกันปั๊บ ใจก็สามารถรับรูปจากตาได้ ตาของร่างกายพอลืมตาเห็นรูปขึ้นมา รูปก็จะวิ่งเข้าไปที่ใจ ใจก็จะรู้ว่าอ๋อตอนนี้เห็นรูปแล้ว เห็นรูปที่ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบ ก็เปลี่ยนรูป หันไปหารูปที่ชอบ รูปที่ไม่ชอบก็หนีมัน นี่คืออวิชชาความไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่ใจ อยู่ในตัวเอง อยู่ที่ความสงบ กลับไปคิดว่าอยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรส ก็เลยต้องคิดไปหารูปเสียงกลิ่นรส คิดไปที่ตา ส่งไปที่ตา ให้ตาช่วยหารูป ให้หูช่วยหาเสียงรับเสียงให้ พอได้รับแล้วก็เกิดเวทนาขึ้นมา พอได้เห็นได้สัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา ความรู้สึกทุกข์หรือสุข ถ้าสัมผัสกับรูปที่ชอบก็สุข สัมผัสกับรูปที่ไม่ชอบก็ทุกข์ เห็นคนที่เรารักนี้ก็สุขดีใจ เห็นคนที่เราไม่รักก็ไม่สุขทุกข์ขึ้นมา แล้วพอเกิดความรู้สึกก็เกิดความอยาก อยากให้สิ่งที่เราชอบอยู่กับเราไปนานๆ ถ้าเห็นสิ่งที่เราไม่ชอบก็อยากจะให้มันหายไปเร็วๆ พอเกิดความอยากก็เกิดอุปทาน ความยึดมั่นยึดติดกับสิ่งที่เราชอบ ไม่อยากให้เขาจากเราไป อยากจะให้เขาอยู่กับเราไปตลอด พอเขาหรือเราต้องจากไป เพราะเราก็ไม่เที่ยงเขาก็ไม่เที่ยง เราก็ต้องไปหาใหม่ ก็ไปเกิดภพใหม่ ไปภพใหม่ ภว ก็คือ ภพ อยู่ภพนี้แล้วเดี๋ยวภพนี้จบ พอร่างกายนี้ตายไป ภพก็จบ ก็เลยไปหาไปภพใหม่ เพื่อจะได้ร่างกายอันใหม่ เพื่อจะได้เกิดใหม่ พอเกิดแล้วก็ต้องมาแก่มาเจ็บมาตายใหม่ นี่คือการดำเนินชีวิตของพวกเรา ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯฯ จังหวัดชลบุรี








#ต่ออายุพ่อแม่...

"..เมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ #หลวงพ่อเทียน_จิตฺตสุโภ เคยมีอาชีพเป็นพ่อค้า ไปทำมาค้าขายที่ประเทศลาวอยู่เป็นประจำ เมื่อบวชแล้ว ท่านก็ยังได้รับนิมนต์ให้ไปสอนธรรมที่นั้นอยู่หลายครั้ง เนื่องจากวัดป่าพุทธยานซึ่งเป็นสำนักแรกที่ท่านบุกเบิกที่จังหวัดเลยนั้นอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงเท่าใดนัก.."

...แนวการสอนธรรมของหลวงพ่อไม่เหมือนพระรูปอื่น ๆ ท่านเน้นที่แก่นธรรมมากกว่ากระพี้ จึงพยายามชักชวนผู้คนให้ปฏิบัติธรรม แทนที่จะหมกมุ่นกับพิธีรีตอง

...แต่ท่านไม่ได้ชักชวนด้วยการพูดเฉย ๆ
หากมักจะทำให้เห็นเป็นแบบอย่างในการ
จาริกไปประเทศลาวครั้งหนึ่ง ท่านได้รับ
นิมนต์ให้ไปสวดต่ออายุโยมคนหนึ่งซึ่งเป็น
แม่ของเจ้าภาพ เมื่อไปถึงท่านก็นิ่งเงียบ
ไม่ได้สวดเหมือนพระรูปอื่น ๆ เจ้าภาพจึงไม่ถวายจตุปัจจัย แต่หลวงพ่อหาได้สนใจไม่

...เสร็จพิธีแล้วหลวงพ่อก็ได้ชี้แจงเจ้าภาพ ว่า หากต้องการต่ออายุพ่อแม่จะต้องทำดีต่อท่าน ไม่ใช่เพียงแต่นิมนต์พระมาสวด แล้วหวังว่าท่านจะอายุยืนกล่าวจบ ท่านก็ชวนลูก ๆ ให้กราบพ่อแม่ตามท่าน

... ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ฮือฮากันว่าผิดประเพณีเพราะไม่เคยเห็นพระกราบโยม...!!

#หลวงพ่อจึงอธิบายว่า_อาตมาไม่ได้กราบโยม #อาตมากราบตัวเองที่สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า_การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร.. ”

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#โดยพระไพศาล_วิสาโล






" สมถะ คือตัวสติ
วิปัสสนา คือตัวปัญญา
มันอันเดียวกันนี่แหละ
เรียกชื่อต่างกัน

สมมุติว่า "สติ" เปรียบ
เหมือนไฟ แต่ "ปัญญา"
ก็คือแสงสว่างของไฟ
ต่างหาก ถ้าไฟมีกำลัง
มาก แสงสว่างก็มาก

ถ้าสติมันดี ปัญญามันก็ดี
เราจะเรียกว่าแสงสว่าง
เป็นไฟก็ไม่ได้ เรียกไฟ
เป็นแสงสว่างก็ไม่ได้
ไฟก็ต่างหาก แสงสว่าง
ก็ต่างหาก แต่ก็อันเดียว
กัน หยั่งลงที่เดียว
รู้เรื่องกัน ไม่สงสัยเลย

สมมติว่า เราจะพิจารณา
หนัง หนังเป็นของสกปรก
โสโครก เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อันอื่นก็เหมือนกัน มัน
เป็นอยางนี้เรื่องธรรมะ

ข้อสำคัญ พิจารณาให้
แน่วแน่ก็แล้วกัน
ให้เห็นชัด ให้เห็นชัดเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หาเหตุ หาปัจจัยของมัน
เท่านั้นมันก็รู็เรื่องกันขึ้น.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ








ครูบาอาจารย์ทุกรูป ท่านย่อมปรารถนาให้ลูกศิษย์ของท่านทุกคน มีความพากเพียรในการอบรมจิตอบรมใจของตน เพราะการอบรมจิตอบรมใจนี้ สามารถนำพาให้เราก้าวเข้าไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ส่วนอื่น ๆ นั้น มันไม่สามารถนำพาเราให้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ ความพ้นทุกข์ได้เลย ภายนอกแม้มันจะมีความจำเป็น ก็ให้อยู่ในขอบเขตของความจำเป็นเท่านั้น อย่าให้มันเกินขอบเขตของความจำเป็น

สิ่งที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการอบรมจิตอบรมใจของเราเอง แม้จะมีภาระหน้าที่ภายนอกที่ต้องทำก็ตาม ให้ทำไปตามเหตุตามผล ตามกำลังของแต่ละท่านแต่ละคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออย่าให้เสียหายไปถึงการภาวนา หรือเสียหายไปถึงจิตใจของเราเองเป็นอันขาด

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓







" ...เหตุนี้หละพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงห้ามไว้ ภิกษุทั้งหลาย #อย่าพึงเสพสองฝั่ง คือ #ความรักและความชัง นี่หละ #มันเป็นทุกข์

เมื่อบุคคลห้ามทั้งสองฝั่งแล้วมันก็เดินมัชฌิมาคือท่ามกลาง เหมือนเราเดินไปกลางทาง ไม่แวะเข้าข้างนั้น ไม่แวะเข้าข้างนี้ หากแวะเข้าข้างนั้นก็เป็นทุกข์ แวะเข้าข้างนี้ก็เป็นทุกข์ เหมือนกับมีทางไปท่ามกลาง สองข้างเป็นป่า เหมือนกับเรานั่งรถไปตามถนน ทั้งสองข้างมองข้างไหนก็ตกตายทั้งนั้น ข้างซ้ายตกถนนก็ตาย ข้างขวาตกถนนก็ตาย อุปมายังงั้น

นี่ก็เหมือนกัน #ใจของเราแวะออกไปข้างรักมันก็เป็นทุกข์ แวะออกไปข้างชังมันก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องแวะออกไปไหน #ก็ต้องนิ่งอยู่แห่งเดียวภายใน

ทำดวงใจให้รู้ไว้ ให้รู้เท่าสังขารไว้ ให้รู้เท่าวิญญาณไว้ ให้รู้เท่าสมมติของเราไว้
เราไปนึกระลึกเอา ถ้าเราไม่ไปนึกระลึกเอาแล้วมันก็ไม่มี ..."

พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๗
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร

พระธรรมเทศนาแสดงที่วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี พศ ๒๕๐๘ ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์

ถอดจากเทป อวย เกตุสิงห์ เรียบเรียง
คัดจากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๑
พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO