นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 1:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สิ่งทั้ง 5
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 17 ก.ย. 2021 5:22 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
"ความสงบ ความวุ่นวาย สุข ทุกข์ นรก สวรรค์ นิพพาน มันอยู่ที่ใจหมด พากันเฮ็ดเอาหาเอาเด้อ"

#สมาหิโตธัมโมวาท

แม้ด้วยวัยของท่านจะมีอายุถึง ๙๕ ปีแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ท่านคงข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
หลวงปู่ปั่น สมาหิโต
วัดป่าศิริดำรงวนาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร







#หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

หลวงปู่แหวนได้พูดธรรมะให้ท่านฟังว่า

“ เอามันให้ได้ มรรค ผล นิพพาน
มันยังมีอยู่ ไม่ได้ไปไหน
ให้ทำความสะอาด
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ให้มันสะอาด

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เป็นธรรมอยู่ในโลก

ตา หู ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นธรรม
ต้องล้างให้มันสะอาด ล้างให้หมดมลทิน

อายตนะพวกนี้ล่ะที่มันทำให้เราเกิดอยู่
เกิดวนเวียนในวัฏจักรวัฏวน
มันอยู่ในนี้
อยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ
มันติดอยู่ที่ตา ให้ล้างตา
ตามันมีแล้วดูไม่เป็น
มีหูแล้วมันฟังไม่เป็น
จมูกมีแล้วมันดมไม่เป็น
มีลิ้นแล้วกินไม่เป็น
มันไปติดรสอยู่ที่ไหน
แล้วเวลานั่งนอน มันไปติดกุฏิ
มันติดอยู่อย่างนั้น มันละไม่เป็น

ใจเรามันสัมผัสอารมณ์ มันเกิดขึ้น
มันทุกข์ มันสุข เราไม่รู้มัน
ไม่รู้จักละ ไม่รู้จักทิ้ง

เมื่อไม่รู้จักละ มันกวนก็เกิดอีก
ต้องทำความมืดมัวเมาให้สว่าง
อย่าไปหลง
โลกก็เป็นเรื่องของโลก
เสียงก็เป็นเรื่องของเสียง มันดังอยู่ในโลก
เรื่องสัมผัสทุกวันนี้
มันก็มีอยู่ในโลก มันจะไปไหน
เวลาร้อนมันก็ร้อน
เวลาเจ็บป่วยมันก็อยู่กับเรา
เวลามันคัน มันก็คันอยู่กับเราอยู่อย่างนี้
มันหนาวก็ต้องหนาว ห่มผ้าอยู่อย่างนี้
มันอยู่ในโลก
เราจะไปติดมันทำไม ต้องละมันให้ได้นะ

ถ้าละมันไม่ได้ มันก็เกิดอีก
มรรค ผล นิพพาน
ยังเต็มบริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา
ไม่เสื่อมหายไปไหน ต้องเอาจริงๆ จังๆ “

ถ่ายทอดโดยพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป











..ถ้าไม่เริ่มปฏิบัติ
ก็จะไม่ได้ปฏิบัติ..

.จะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้
มาคอยหลอกล่ออยู่ตลอดเวลา

.ก็จะผัดวันไปเรื่อย
อาทิตย์หน้า เดือนหน้า.
........................................
.
มหาเศรษฐีที่แท้จริง หน้า 28
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






#ภาวนาที่ใจ

เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม
#หลวงพ่อชา_สุภทฺโท ได้ใช้เวลาหลายปี
ในการเสาะหาครูบาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในธรรม ท่านเคยเดินธุดงค์จากลพบุรีไปยังนครพนม เพื่อศึกษาธรรมจาก
#หลวงปู่มั่น_ภูริทตฺโต แม้มีเวลาฟังธรรมโอวาทจากท่านเพียงแค่ ๓ วัน แต่ก็บังเกิดความอิ่มเอิบในธรรมอย่างยิ่ง มีกำลังใจในการปฏิบัติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ในพรรษาที่เก้าท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์
#หลวงปู่กินรี_จนฺทิโย ที่นครพนม หลวงปู่กินรีเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซึ่งเปี่ยมด้วยภูมิธรรมและมีประสบการณ์การภาวนาตามป่าเขาอย่างโชกโชน เมื่อท่านชราภาพได้มาเป็นหลักเป็นประธาน ณ วัดป่าหนองฮี

ในพรรษานั้นพระชาทำความเพียรอย่างไม่ลดละ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ระย่อต่อแดดฝนหรืออุปสรรคใด ๆ จนพื้นดินเป็นร่องลึก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังความสงสัยแก่ท่านมากก็คือ หลวงปู่กินรีนั้นกลับไม่ค่อยเดินจงกรมนั่งสมาธิ วันหนึ่ง ๆ ท่านเห็นหลวงปู่เดินเพียงไม่กี่เที่ยว เวลานอกนั้นท่านทำกิจอื่น เช่น เย็บผ้า ปะจีวร ดูท่านมีงานจิปาถะทำทั้งวัน

เมื่อเห็นเช่นนี้พระชาจึงคิดในใจว่า..!!
“ครูบาอาจารย์จะไปถึงไหนกัน เดินจงกรมก็
ไม่เดิน นั่งสมาธินาน ๆ ก็ไม่เคยนั่ง คอยแต่ทำนั่นทำนี่ตลอดทั้งวัน แต่เรานี่ปฏิบัติไม่หยุดเลย ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนหลวงปู่ปฏิบัติแค่นั้นจะเห็นอะไร”

แต่หลังจากที่ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่นาน ๆ และได้ฟังธรรมอันลุ่มลึกจากท่าน พระชาก็รู้
ว่าเป็นความเขลาของท่านเองที่คิดเช่นนั้น ท่านพูดถึงบทเรียนที่ท่านได้จากประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “เรามันคิดผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไร ๆ มากกว่าเราเสียอีก

คำเตือนของท่านสั้น ๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นสิ่งที่ลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหน ๆ ตัวแท้ของการปฏิบัติคือความพากเพียรกำจัดอาสวกิเลสภายในใจ ไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็นเกณฑ์”

ท่านมาได้ตระหนักชัดอีกครั้งว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าทำอะไร ก็สามารถเป็นการภาวนาได้

คราวหนึ่งพระชานั่งปะชุนจีวรที่ขาดวิ่น ใจ
นั้นนึกถึงการภาวนาอยู่ตลอดเวลา อยากรีบ
ปะชุนให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ ขณะนั้นเองหลวงปู่กินรีเดินผ่านมา สังเกต
เห็นอาการของพระหนุ่ม จึงพูดขึ้นมาว่า..!!

“ท่านชา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า”

“ผมอยากให้เสร็จเร็ว ๆ ครับหลวงปู่”

“เสร็จแล้วท่านจะทำอะไรล่ะ”

“จะไปทำอันนั้นอีก”

“ถ้าเสร็จอันนั้นแล้ว ท่านจะทำอะไรอีกล่ะ”

“ผมก็จะทำอย่างอื่นอีก”

“เมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว ท่านจะไปทำอะไรอีกเล่า”

เมื่อเห็นว่าใจของพระชาไม่ได้อยู่กับงานที่กำลังทำ แต่คิดถึงงานชิ้นอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะทำให้เสร็จไว ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไปภาวนาต่อ หลวงปู่กินรีจึงเตือนพระหนุ่มว่า “ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนนี้ก็ภาวนาได้ ท่านดูจิตตัวเองสิว่าเป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมัน ท่านจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ทำอย่างนี้เสียหายหมด ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านยังไม่รู้เรื่องของตนอีก”

คำพูดของหลวงปู่กินรีกระตุกใจของพระชาอย่างแรง ทำให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชัดเจนว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น ขอให้หมั่นดูใจของตนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี้เป็นบทเรียนที่ประทับใจท่านมาก และถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อท่านได้กลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ หากฆราวาสคนใดบอกท่านว่า #ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ท่านก็จะถามกลับไปว่า “#แล้วมีเวลาหายใจหรือเปล่าล่ะ..”

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล








>> คนที่ควบคุม อารมณ์ได้ คือผู้ชนะ

ผู้ให้อภัยง่ายก็คือไม่โกรธง่ายนั่นเอง
ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะฝึกจิตให้ไม่โกรธง่าย
จึงควรต้องฝึกตนให้เป็นผู้มีเหตุผล เคารพเหตุผล
นั่นคือให้คิดหาเหตุผลเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจผู้ที่ตนอยากจะโกรธ

เมื่อเห็นอกเห็นใจด้วยเหตุผลแล้วจะได้ไม่โกรธ
จะได้อภัยให้ในความผิดพลาดหรือบกพร่องของเขา

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง
#ก็คือให้คิดหาเหตุผลเพื่อให้เกิดเมตตาในผู้ที่ตนอยากจะโกรธนั่นเอง

โอวาทธรรม พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
#ธรรมถึงใจ_ใจถึงธรรม








ถาม : พวกประโยค ๙ บางคน เขาไม่เชื่อเรื่องอภิญญา เช่น ยิงปืนบังคับลูกกระสุนได้

ตอบ : ปล่อยเขา อย่าไปยุ่งกับเขา เขาคิดแต่เรื่องพลังคน ไม่ได้คิดถึงพลังจิต ลักษณะนั้นเป็นพลังจิตระดับกระสุนคด สั่งให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น หลวงปู่ศุขยิงปืนนัดเดียวกระสุนร้อยใบบัวได้ทั้งสระ อาวุธสมัยใหม่ของคุณสมัยนี้ทำได้ไหม ? ต้องไปติดเรดาร์ที่เป้ากันให้ครบก่อน..ใช่ไหม

ถาม : เขาเรียนจบประโยค ๙ เหมือนยิ่งเรียนยิ่งค้าน

ตอบ : เขาไม่ได้เรียนเพราะมีตถาคตโพธิสัทธา คือเรื่องของการบวชมีกัมมสัทธา...เชื่อกรรม วิปากสัทธา...เชื่อการส่งผลของกรรม ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุดคือตถาคตโพธิสัทธา ถ้าคุณไม่มีศรัทธาความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี่เจ๊งเลย เพราะว่าจะสงสัยในทุกเรื่อง แล้วก็เอาความสามารถของมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงธรรมดา ไปเปรียบกับท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติ จะไปเปรียบกันได้อย่างไร เหยี่ยวบินอยู่บนท้องฟ้า มดข้างล่างบอกว่ามีความสามารถเท่ากับเรา นั่นใช่หรือ

ถาม : (พระเจ้าอชาตศัตรูไปแย่งสมบัติโชติกเศรษฐี)

ตอบ : อันนั้นท่านกะว่าด้วยกำลังของตน พูดง่าย ๆ ว่า สามารถกระชากหลุดได้ทั้งแขน แต่ปรากฏว่าแหวนวงเดียวก็ยังถอดไม่ได้ คิดดูว่ากำลังคนกับกำลังบุญต่างกันแค่ไหน ? โชติกเศรษฐีออกปากเลยว่า "ของนี้เกิดด้วยกำลังบุญของเรา ถ้าเราไม่อนุญาต ใครก็เอาไปไม่ได้" แต่พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทรงเชื่อ

ถาม : ท่านบอกว่าแค่เศษด้ายในชายเสื้อคนอื่นก็เอาไปไม่ได้

ตอบ : บุญใครบุญคนนั้น คุณลองไปนึกถึงแผ่นดินไหวที่เนปาล เด็กอายุ ๒ เดือนติดอยู่ใต้แผ่นดินไหว ๖ วันแต่ไม่เป็นอะไรเลย ส่วนที่ญี่ปุ่นคุณยายอายุ ๘๐ ลูกหลานตายหมด แต่คุณยายไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่ได้สร้างกรรมร่วมกับเขามาก็ไม่เป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของบุญรักษากรรมรักษาอยู่แล้ว แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อตรงนี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
เก็บตก​บ้าน​เติม​บุญ​ ต้นเดือน​ตุลาคม ๒๕​๖​๐








#โอวาทสุดท้ายองค์หลวงปู่แหวน..

ท่านเร่งไม่ให้ประมาท เวลาทำความเพียรไม่ให้คิดถึงใครเลย อตีตาธรรมเมา- อนาคตาธรรมเมา คิดอดีต-อนาคตให้ตัดทิ้ง.

ปัจจุปันนังธรรมะ ใจของเราคิดอะไรอยู่ คิดดี คิดชั่ว. ให้ดูอยู่ทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่ง นอน. ปัจจุปันธรรม

อันเป็นธรรมแท้. ให้ดูในปัจจุบัน แก้ในปัจจุบัน อย่าไปคิดแก้ในอนาคต. แก้อยู่นั่น พอมันเกิดขึ้นมาก็แก้อยู่นั่น มันเป็นธรรมะ.

ถ้ามัวแต่ว่า ไม่นั่งหรอก ..วันนี้มันฟุ้ง!!. พอกิเลสเกิดขึ้นตอนนี้.. พรุ่งนี้ค่อยไปภาวนากับอาจารย์องค์นี้.. (ไม่ได้)

เรารีบแก้ซะให้มันหมดในปัจจุบัน. เค้าเรียกปัจจุปันธัมโม. อย่าให้มันหมักหมมอยู่ในใจ หลวงปู่แหวนท่านพูดอย่างนี้.

ฟังเทศน์หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








"คนที่เขาว่าเราไม่ดีนั้น
เขาก็ไม่ได้มาทำให้เราดีให้เราชั่ว
เราเองเป็นคนที่ทำให้เราดี
เราเองเป็นคนที่ทำให้เราชั่ว"

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล







"..ที่จะเกิดราคะความรัก
ความกำหนัดเพราะเห็นว่า
สิ่งทั้ง 5 คือ ผมงาม
ขนงาม เล็บงาม ฟันงาม
หนังหรือผิวงามนั่นเอง

เมื่อเห็นว่าสิ่งเหล่านี้งาม
ก็เกิดความรักความกำหนัด
ความพอใจยินดี ลุ่มหลง
อยู่ในสิ่งเหล่านี้ ลุ่มหลง
อยู่ในโลกอันนี้ ใน
ขันธ์ธาตุ รูปคือกายอันนี้

ท่านจึงว่า เมื่อคนลุ่มหลง
อยู่ในกายอันนี้ มันก็เป็น
กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ หมุน
อยู่อย่างนั้น ไปเกิด ไปแก่
ไปเจ็บ ไปตาย มันเป็น
ทุกข์เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าไม่ต้องการที่จะเพิ่ม
ทุกข์ ท่านให้พิจารณาสิ่ง
ทั้ง5 คือ กรรมฐานทั้ง5 นี้
คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ให้เห็นว่า สิ่งทั้ง 5
แต่ละอย่าง เป็นของ
สกปรกโสโครก เป็นของ
ปฏิกูลด้วยกันทั้งหมด
ทั้งสิ้น เป็นของบูด
ของเน่าเป็นของไม่สวยไม่งาม "

โอวาทธรรม
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO