นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 9:56 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ฝึกหัดตน
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 04 ก.ย. 2021 6:55 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
"หลวงพ่อฉันข้าวมื้อเดียว
หลวงพ่อไม่ใช้เงิน
หลวงพ่อไม่อ่านหนังสือพิมพ์
หลวงพ่อไม่ดูทีวี
หลวงพ่อไม่เล่นอินเตอร์เน็ต

หลวงพ่อ...มีใจที่สบาย"

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







…มี “ รสแห่งธรรม “เท่านั้น
ที่เป็น ..นิจจัง สุขัง อัตตา

.เป็นนิจจัง เป็นของที่จีรังถาวร
เป็นความสุขล้วนๆ
ไม่มีความทุกข์เข้ามาเจือปน.
…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๓







“ใครที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็เลี้ยงด้วยอาหารทางใจ ให้ความรักความคิดถึง ให้ความอบอุ่นผูกพัน

ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ บุญอื่นไม่ต้องพูดถึง ทำยังไงก็ขึ้น ทำอะไรก็สำเร็จได้แน่นอน”

โอวาทธรรม

หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ









#สมาธิแบบหมูขึ้นเขียง

".. ในยุคนี้ไม่มีศิษย์หลวงปู่มั่นท่านใดที่ผู้คนรู้จักและเคารพนับถืออย่างกว้างขวางเท่า.. #หลวงตามหาบัว_ญาณสมฺปนฺโน หรือ
#พระธรรมวิสุทธิมงคล ขณะเดียวกันท่านก็เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สาธุชนทั้งประเทศรู้จักหลวงปู่มั่นและเลื่อมใสปฏิปทาของท่าน.."

".. หลวงตามหาบัว ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวง
ปู่มั่นตั้งแต่ยังเด็ก เพราะหลวงปู่เคยมาจำพรรษาที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ไม่ไกลจากบ้านเกิดของท่าน ต่อมาเมื่อท่านอุปสมบทเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตามประเพณี ได้ศึกษาพุทธประวัติและประวัติพระอรหันต์แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ปรารถนาความพ้นทุกข์ แต่ท่านเห็นว่าควรศึกษาปริยัติธรรมก่อนจะได้เข้าใจวิธีการปฏิบัติ

เจ็ดพรรษาแรกของท่านจึงเป็นช่วงแห่งการเล่าเรียนปริยัติธรรม เมื่อสำเร็จเปรียญธรรม
๓ ประโยค ท่านก็มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติอย่างเต็มที่ โดยบุคคลแรกและบุคคลเดียวที่ท่านปรารถนาให้เป็นครูบาอาจารย์ก็คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ท่านได้จาริกข้ามจังหวัดจนได้พบ หลวงปู่มั่น
ที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงปัจฉิมวัยแล้ว เมื่อได้ศึกษากับท่าน ก็รู้สึกประทับใจ และมั่นใจว่า “#นี่แหละอาจารย์ของเรา” ท่านจึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะไม่หนีจากหลวงปู่มั่นจนกระทั่งวันที่ท่านล่วงลับ

หลวงปู่มั่นแนะนำพระหนุ่มว่า ให้ยกปริยัติไว้ก่อนแล้วการปฏิบัติจะประสานกลมกลืน นับแต่นั้นท่านก็ทำความเพียรอย่างจริงจัง หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ นั่งสมาธิจนถึงรุ่งเช้าติดต่อกันหลายวันอยู่เนือง ๆ เป็นเช่นนี้ตลอดสองพรรษาแรกที่ได้อยู่กับหลวงปู่มั่น เมื่อถึงพรรษาที่สิบแห่งการบวช จิตของท่านก็เป็นสมาธิอย่างมั่นคง

ท่านได้พูดถึงภาวะตอนนั้นว่า “สมาธิมีความแน่นหนามั่นคงถึงขนาดที่ว่าจะให้แน่วอยู่ในสมาธินั้นสักกี่ชั่วโมงก็อยู่ได้ และเป็นความสุขอย่างยิ่งจากการที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน รำคาญ ไม่อยากจะออกยุ่งกับอะไรเลย ตาก็ไม่อยากดู หูก็ไม่อยากฟัง เพราะมันเป็นการยุ่งรบกวนจิตใจให้กระเพื่อมเปล่า ๆ”

ท่านเล่าว่า “เราติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี จิตสงบแน่วแน่ไม่หวั่นไหวดั่งภูผาหิน อยู่ที่ไหนสงบสบายหมด” ความสุขที่เกิดขึ้นจากสมาธิทำให้ท่านเข้าใจว่า “#นี่ละจะเป็นนิพพาน” ท่านจึงหยุดนิ่งไม่ก้าวสู่การเจริญปัญญา เพื่อถอดถอนกิเลสให้สิ้นซาก ไม่ว่าจาริกไปไหน จิตของท่านก็แน่วแน่อยู่ในสมาธิ

อาการดังกล่าวอยู่ในความรับรู้ของหลวงปู่มั่นโดยตลอด วันหนึ่งท่านจึงเรียกพระมหาบัวมาแล้วถามว่า..

“เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ?”

“สงบดีอยู่ สงบดีอยู่ครับ”

หลวงปู่มั่นนิ่งสักพัก ก็ถามอีกว่า “เป็นยังไงจิตสงบดีอยู่เหรอ?”

“สงบดีอยู่ครับ”

และแล้วหลวงปู่มั่นก็พูดเสียงแข็ง สีหน้าเอาจริง “ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ? สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง มันถอดถอนกิเลสตัณหา
ที่ตรงไหน? สมาธิทั้งแท่ง เป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม? สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันเรามันเป็นสุขที่ไหน? ท่านรู้ไหม?”

ฝ่ายพระหนุ่มก็แย้งว่า “ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่ง แล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหนในมรรคแปด”

หลวงปู่มั่นตอบว่า “มันก็ไม่ใช่สมาธิตายนอนตายอยู่อย่างนี้ซิ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนสมาธิแบบหมูขึ้นเขียงอย่างท่านนี่นะ สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่
นี้เหรอเป็นสัมมาสมาธิน่ะ เอ้า ๆ พูดออกมาซิ”

การสนทนาแบบร้อนแรงอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในสำนักของหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวเล่าว่า ตอนนั้นพระทั้งวัดแตกฮือกัน มายืนอออยู่ใต้ถุนกุฏิ เพื่อฟังการโต้เถียงระหว่างท่านกับหลวงปู่มั่น

หลังจากที่โดนอาจารย์สั่งสอนอย่างแรง พระหนุ่มก็ได้คิด

หลวงตามหาบัวพูดถึงความรู้สึกตอนนั้นว่า “พอท่านซัดเอา เราก็หมอบ พอลงมาจากกุฏิท่านแล้วก็มาตำหนิตัวเอง เราทำไมจึงไปซัดกับท่านอย่างนี้ เรามาหาท่านเพื่อหวังเป็นครูเป็นอาจารย์ มอบกายถวายตัวกับท่านแล้ว แล้วทำไมจึงต่อสู้กับท่านแบบนี้ล่ะ ถ้าเราเก่งมาหาท่านทำไม ถ้าไม่เก่งไปเถียงท่านทำไม”

นับแต่นั้นท่านก็ออกจากสมาธิ หันมาพิจารณาธาตุขันธ์ ปัญญาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีสมาธิเป็นฐานอยู่แล้วทำให้สามารถแก้กิเลสได้เป็นลำดับ ท่านได้เห็นด้วยตัวเองว่า กิเลสนั้นแก้ไม่ได้ด้วยสมาธิ แต่ต้องแก้ด้วยปัญญาต่างหาก ข้อสรุปดังกล่าวทำให้การทำกรรมฐานของท่านก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องจนสามารถรื้อถอนกิเลสได้ในที่สุด..

เมื่อย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงตา
มหาบัวกล่าวด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณของหลวงปู่มั่นว่า “#หากไม่มีท่านอาจารย์มั่นมาฉุดมาลากออกไป #ก็จะติดสมาธิอยู่เช่นนี้กระทั่งวันตายเลยทีเดียว.. ”

#จากหนังสือ_ลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล









ให้ตำหนิตัวเอง อย่าไปเที่ยวตำหนิคนอื่น ให้ดูตัวเอง อย่าไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิตัวเองนี่ล่ะดี อย่าไปเที่ยวตำหนิคนอื่นมันบ่งบอกควมมืดดำในใจตนเองเห็นความผิดคนอื่นใหญ่โต ความผิดตนเองเล็กน้อย ใช้บ่ได้นะ แสดงว่าการปฎิบัติธรรมนั้นยังบ่ก้าวหน้า ถอยลงเหว ถ้ามีคนตำหนิ หรือ กล่าวโทษ ให้ร้ายเรา อย่าไปถือโทษโกรธเขานะ ให้แผ่เมตตาให้เขา แล้วกะขอบคุณเขา ที่เขาอุตส่าห์มีน้ำใจสอดส่องดูแล ถึงได้รู้ลึกตื้นหนาบางเกี่ยวกับเฮา แล้วกะน้อมนำคำที่เขาตำหนิ ติเตียน กล่าวโทษ ให้ร้าย มาพิจารณาวิเคราะห์ว่าคือคำเขาเว้าบ่ ถ้าคือคำเขาเว้ากะปรับปรุงตัวเอง ถ้าบ่แมนกะเฉยไป บ่ต้องไปโกรธเกลียดเขานะ ให้แผ่เมตตาให้เขา มีตะแนวดีนะที่เขาเห็นความสำคัญเฮา ถึงได้ตำหนิ ติเตียน กล่าวโทษ ให้ร้าย บ่มีแนวเสีย ว่าแต่เฮานี้อย่าได้เฮ็ดคือเขาเป็นพอ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่จะมองเห็นคนอื่นเฮ็ดนั่นเฮ็ดนี้แล้วขัดหูขัดตาบ่ดี แต่ถ้าตัวเจ้าของเฮ็ดนั่นดีเริ่ดประเสริฐศรีถึงแม้จะเฮ็ดในสิ่งที่เคยเว้าให้เฮากะตาม เขากะต้องมีข้อแก้ตัวว่าเฮ็ดน้อยกว่าเฮา เฮาเฮ็ดหลายกว่าเขา เฮานี่ผิดเต็มๆส่วนเขานั้นบ่ผิด นั่น เห็นบ่ทางโลก ส่วนทางธรรม เผิ่นบ่คิดจังซั่น เผิ่นกลับนำมาพิจารณาไตร่ตรองแล้วนำมาปรับปรุงตนเอง เมตตานำสุขมาให้ ปล่อยให้เขาทุกข์ไปกับความคิดของเขา ปล่อยให้เขาทุกข์ไปกับการจับผิดคนอื่น ส่วนเฮากะขอบคุณเขา นำคำเขามาปรับปรุง แผ่เมตตาให้เขา ไผล่ะได้ประโยชน์ถ้าบ่แมนเฮา

หลวงปู่ไม อินทสิริ







...ศีล...ก็คือธรรม...
...ธรรม...ก็คือศีล...
...อยู่ในตัวเดียวกัน...
...อยากมีธรรม..ให้มีศีล...
...คำว่า "...ศีล..."จึงสำคัญ...
...ไม่มีศีล...ธรรมก็ไม่มี...

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร








".. ความเมตตานี้ทำให้สัตว์ไม่อยากทำร้ายมนุษย์ แล้วทำอย่างไรถึงจะมีเมตตา ก็การ “#ให้อภัย” เป็นทานนี้ไง ทำให้เกิด “#ความเมตตา”

การให้อภัยไม่คิดอิจฉา ริษยา อาฆาตร้ายต่อ
ผู้อื่น ใครทำไม่ดีกับเราก็พยายามปล่อยวาง
ให้ได้ พยายามรักทุกคนให้เสมอกันให้ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำแบบนี้เรื่อย ๆ ความเมตตาจะบังเกิดขึ้นเอง คราวนี้ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะถ้าเราไม่คิดร้ายใคร ใครก็ไม่คิดร้ายเราเช่นกัน.. ”

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่กงมา_จิรปุญฺโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๕๐๕








#เมตตาผู้เล่า

#ท่านพระอาจารย์มั่น_เป็นผู้รู้จักอัธยาศัยของบรรดาสานุศิษย์เป็นอย่างดี
.. ท่านเคยพูดเสมอว่า...

".. คุณทองคำนี้เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาอ่อน และวาสนาน้อย ถ้าจะอุปมาเปรียบสานุศิษย์ทั้งหลาย เหมือนเหล็กซึ่งถูกหลอมเป็นแท่งมาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถูกไฟเผา เนื้อเหล็กอ่อน ก็ต้องตีด้วยฆ้อนแปดปอนด์ มันไม่เสียหายอะไร แต่คุณทองคำนี้ เปรียบเหมือนเนื้อเหล็กผสมอยู่กับหินที่มันเกิดทีแรก ถ้าเราใช้ฆ้อน
ทุบก็จะแหลกละเอียดหมด.. "

#ตอนที่ท่านพระอาจารย์เริ่มอาพาธ_ได้เมตตาผู้เล่าว่า..

"ทองคำเอย เราก็สงสารเธอ ไม่มีอะไรจะให้ ขอให้เธอจงจดจำไว้ อันนี้เป็นคำสั่งสำหรับคุณโดยเฉพาะ ครั้งสุดท้ายเมื่อเราตายไปแล้ว จะไม่มีใครสั่งสอนคุณ เหมือนดังเราสั่งสอน ขอให้คุณปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ ที่สอนครั้งแรกตั้งแต่วันบวช คือ การตั้งศรัทธาความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยอย่างแน่วแน่"

"ต่อจากนั้นก็พิจารณาองค์กัมมัฏฐาน ๕
คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ขอให้ยึดมั่นอย่างนี้ เพราะว่า นอกเหนือจากพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นบรมครูแล้ว ก็มีครูคนที่สองรองจากพระพุทธเจ้า คือ พระอุปัชฌาย์นี้เอง"

พระอุปัชฌาย์จะสอนตั้งแต่สรณคมน์ จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ให้ตั้งศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ให้พิจารณากัมมัฏฐาน ๕ คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ให้ยึดมั่นในหลักนี้ รับรองไม่ผิด ท่านว่าอย่างนั้น

..นี้เป็นการสั่งสมวาสนาบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ถึงไม่รู้ชาตินี้ ชาติต่อไปก็สามารถรู้ได้..

ผู้เล่ามาคิดเฉลียวใจว่า.."เราปฏิบัติไปอย่างนี้ เกิดเป็นบ้าเป็นอะไรขึ้นมา จะทำอย่างไร"

ท่านบอกว่า.."อย่าไปนึก เป็นบ้าอะไรไม่ต้องห่วง เพราะว่าถ้าคุณไปเพ่งออกนอก คุณจะเป็นบ้า หากมีอะไรเกิดขึ้น คุณมาเพ่งในนี้ คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ มันจะแก้ของมันไปเอง" ..ท่านว่าอย่างนั้น

"แล้วก็ทำให้มันต่อเนื่องเป็น ภาวิตา พหุลีกตา เจริญให้มาก ถ้าหากว่าบุคคลที่มีวาสนาบารมีแล้ว..

..อย่างเร็ว ๗ วัน หรือ ๗ เดือน ต้องได้บรรลุคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง มีพระโสดาบันเป็นต้น

..แต่วาสนาพอปานกลาง อบรมต่อเนื่องบ้าง
ไม่ต่อเนื่องบ้าง ก็ไม่เกิน ๗ ปี ต้องได้บรรลุ
คุณวิเศษ

..ผู้ที่อบรมต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง ย่อหย่อนไป แต่ว่าไม่ท้อถอย มีความเชื่อมั่นอยู่ในคำสอนของพระอุปัชฌาย์ อย่างช้า..
ก็ ๑๖ ปี"

ท่านพระอาจารย์ว่าเป็นไปได้ทุกคนนั้นแหละ ถ้ายึดมั่นในคำสอนของพระอุปัชฌาย์ได้ รับรองไม่มีผิด ท่านว่างั้น และมรรคผลในธรรมวิเศษนั้น เป็นของคนไทยโดยเฉพาะ ทำไมจึงว่าเป็นของคนไทยโดยเฉพาะ เพราะเราได้ปฏิบัติสืบธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นพันๆ ปีแล้ว ความพร้อมของคนไทยจึงมี เพราะฉะนั้นผู้ที่ประสงค์จะได้บรรลุคุณธรรมวิเศษนั้น มีโอกาสทุกคน

#หนังสือ_รำลึกวันวาน_อันเป็นบันทึกของ #หลวงตาทองคำ_จารุวัณโณ
#เกี่ยวกับเกร็ดประวัติและปกิณกธรรมของหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต










แผ่เมตตาให้กับบิดามารดาเป็นของสำคัญ เพราะขันธ์ ๕ เอามาจากพ่อแม่ ที่เอามาทำบุญสุนทาน ทำคุณงามความดีนี่ ถ้าไม่มีขันธ์นี้จะเอาอะไรมาทำเล่า ถึงจะไปสวรรค์ไปพรหม มันก็ต้องอาศัยขันธ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาภาวนา จะพ้นความมืดไปได้ ก็เพราะเอามาจากพ่อแม่นี่ละ

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปันฑิโต






“ร่างกายเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง”

ถ้าต้องการความสุขที่แท้จริง ควรหันเข้ามาชำระจิตใจของเรา ดีกว่าไปหลงอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่ต้องแสวงหามาด้วยความยากลำบาก เมื่อได้มาแล้วก็มีภาระทางจิตใจ ต้องคอยถามตัวเราเองอยู่เสมอว่า จะไปทางไหนดี ไปข้างนอกหรือเข้าข้างใน ข้างนอกก็คือการออกไปแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก ข้างในก็คือแสวงหาความสุขภายในใจของเรา ด้วยการชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน ให้มีเมตตากรุณานี้ก็เป็นวิธีชำระกิเลส คือความหลงวิธีหนึ่ง

คนเราส่วนใหญ่มักจะหลงคิดว่าเรามีตัวมีตน แต่พระพุทธเจ้าหลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นว่าไม่มีตัวตนในร่างกายหรือในจิตใจเลย ร่างกายก็เป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานของอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วก็แปลงเป็นผม เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง เป็นเนื้อ เป็นเอ็น เป็นกระดูก เป็นอวัยวะต่างๆ ไม่มีตัวตนในอวัยวะเหล่านั้น ผมก็ไม่มีตัวตน ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกก็ไม่มีตัวตน จะมีตัวตนได้อย่างไรเมื่อมันมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ เวลาที่ร่างกายแตกดับสลายไปตายไป ธาตุทั้ง ๔ ก็แยกออกจากกันไป ดินก็กลับคืนสู่ดิน น้ำก็กลับคืนสู่น้ำ ลมก็กลับคืนสู่ลม ไฟก็กลับคืนสู่ไฟ ตัวตนไม่มีในร่างกาย

ถ้าย้อนเข้ามาดูในใจก็เช่นเดียวกัน ก็ไม่เห็นว่ามีตัวมีตนอะไร ใจเป็นเพียงตัวรู้เท่านั้นเอง เช่นขณะนี้ใจกำลังรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่พูดเป็นเสียงและเข้าไปในหู แล้วก็เข้าไปรับรู้ที่ใจ เมื่อเสียงนั้นยังมีอยู่ ก็มีการสัมผัสรับรู้ เมื่อเสียงหายไปก็รู้ว่าหายไปแล้ว นี้คือใจ แต่ไม่ตัวตนภายในใจ มีแต่ตัวรู้ ตัวตนมาจากไหน ก็มาจากความหลงนั่นเอง ที่คิดว่ามีตัวตน มีฉัน มีเรา มีตัวเรา เมื่อมีตัวเราก็มีของเราตามมา เช่นร่างกายนี้ก็กลายเป็นของเราไป มีอะไรก็กลายเป็นของเราไปหมด มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นของเรา มีสามี มีภรรยา มีบุตร มีธิดา ก็กลายเป็นของเราไปหมด เมื่ออะไรเป็นของเราแล้ว ก็เกิดความผูกพัน ความยึดติด ความรัก ความหวงแหน เกิดความอยากให้อยู่กับเราไปตลอด ให้ดีเสมอ ไม่เสื่อมไม่เสีย ไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอได้อะไรมาแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ไม่ดีเสมอไป มีการเปลี่ยนไป มีการเสื่อมไปเรื่อยๆ ดูสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องตายจากกันไป บางครั้งก็จากกันก่อนที่จะตายเสียด้วยซ้ำไป ก็มีอยู่มากมายในสมัยนี้ อยู่ร่วมกันได้ไม่กี่เดือนกี่ปีก็แยกทางกันแล้ว นี้คือความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่พวกเราไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักคิด คิดไปในทางที่ไม่ถูก คิดไปตามความหลง คิดว่ามีตัวตน ว่ามีเรา มีของเรา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยต้องแบกความทุกข์ไปเรื่อยๆ

กำลังใจ ๒๑, กัณฑ์ที่ ๒๔๘
วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







#ของดีที่แท้จริง

".. ในวัยหนุ่ม #หลวงปู่ดู่_พฺรหฺมปญฺโญ นิยมเดินธุดงค์และปลีกวิเวกอยู่ตามป่าเขาเถื่อนถ้ำต่าง ๆ แต่ครึ่งชีวิตหลังของท่าน ซึ่งยาวนานถึง ๔๓ ปี ท่านแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย พำนักอยู่แต่ในวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กิจวัตรประจำวันคือนั่งรับแขกหน้ากุฏิตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

แม้ชรามากแล้วท่านก็ไม่เคยทิ้งกิจวัตรดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อช่วยคลายความทุกข์ของญาติโยมที่มาจากทุกสารทิศ หลายคนมาหาท่านเพื่อขอหวยเพราะ อยากรวยทางลัด จำนวนไม่น้อยอยากให้ท่าน รดน้ำมนต์เป่าหัวจะได้หายจากความเจ็บป่วย ไม่มีใครที่ถูกท่านปฏิเสธ แต่ใช่ว่าท่านจะสนองความต้องการของญาติโยมในทุกกรณีก็หาไม่ บางครั้งท่านก็ให้ของที่ดีกว่านั้น.. "

"คราวหนึ่งเกิดไฟไหม้ที่วัดสะแก บริเวณตรงข้ามกุฏิของหลวงปู่ถูกเพลิงเผาพินาศ แต่กุฏิของท่านไม่เป็นอะไร เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้คนทั่วไป โยมผู้หนึ่งเชื่อว่าหลวงปู่มี พระดี
เป็นแน่ จึงไปหาหลวงปู่

“หลวงปู่ครับ ผมขอพระดีที่กันไฟได้หน่อยครับ”

หลวงปู่ยิ้มก่อนตอบว่า “#พุทธัง_ธัมมัง_สังฆังไตรสรณคมน์นี่แหละ_พระดี”

“ไม่ใช่ครับ ผมขอพระเป็นองค์ ๆ อย่างพระ
สมเด็จน่ะครับ”

หลวงปู่กล่าวย้ำว่า “#ก็พุทธัง_ธัมมัง_สังฆัง นี่แหละ มีแค่นี้ล่ะ ภาวนาให้ดี”

เป็นอันว่าหลวงปู่มิได้ให้อะไรเขา เมื่อโยมผู้นั้นกลับไป หลวงปู่จึงได้ปรารภกับศิษย์ว่า “คนเรานี่ก็แปลก ข้าให้ของจริงกลับไม่เอา จะเอาของปลอม”

ท่านเคยพูดถึงพระเครื่อง ซึ่งใคร ๆ อยากได้เพื่อบูชา โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังว่า
การนับถือพระเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นดีภายนอก มิใช่ดีภายใน แล้วท่านแนะว่า “ให้
หาพระเก่าให้พบ นี่ซิของแท้ของดีจริง”

เมื่อศิษย์ถามท่านว่าพระเก่าหมายถึงอะไร หลวงปู่ตอบว่า “ก็หมายถึง #พระพุทธเจ้าน่ะซินั่นท่านเป็นพระเก่า_พระโบราณพระองค์แรกที่สุด”

นอกจากวัตถุมงคลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนปรารถนาและเสาะแสวงหาก็คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย โดยไม่ตระหนักว่ามีสิ่งอื่นที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า นั่นคือบุญกุศล คุณธรรมความดี ประเสริฐสูงสุดคือนิพพาน.. ความพ้นทุกข์..

มีเรื่องเล่าว่า พระรูปหนึ่งมาบวชที่วัดสะแกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลาสิกขาก็มาหาหลวงปู่เพื่อขอให้ท่านพรมน้ำมนต์และให้พร ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้ พระรูปนั้นก็อธิษฐานในใจว่า “ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี มีกินมีใช้ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมาก ๆ”

พอท่านอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็มองหน้าพร้อมกับพูดว่า “ท่าน...ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง”

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่มาขอโชคลาภหรือวัตถุมงคลจากท่าน จำนวนไม่น้อยมาหาท่านเพื่อสนทนาธรรม มีคนหนึ่งถามท่านว่า เขาขี้เกียจปฏิบัติธรรม จะทำอย่างไรดี คำตอบของท่านคือ “หมั่นทำเข้าไว้ ถ้าขี้เกียจให้นึกถึงข้า ข้าทำมา ๕๐ ปี อุปัชฌาย์ข้าเคยสอนไว้ว่า ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ ก็ต้องทำวันไหนเลิกกินข้าว..นั่นแหละถึงไม่ต้องทำ.. ”

หลวงปู่พูดเสมอว่า “#ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต_รักษาจิต”

เคยมีผู้ปฏิบัติตามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครับ ขอธรรมะสั้น ๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส ๓ ตัว คือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ”

หลวงปู่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “#สติ”

คืนที่ท่านจะมรณภาพนั้นมีคณะศิษย์มากราบท่าน หลวงปู่ได้เล่าให้ญาติโยมกลุ่มนี้ด้วยสีหน้าปกติว่า “ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้าที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้องไอซียูไปนานแล้ว”

แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า “#ข้าจะไปแล้วนะ”

ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านจะจากไปเพราะท่านไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยให้เห็น ท่านทิ้งท้ายว่า..!!
“ถึงอย่างไรก็ขออย่าได้ทิ้งการปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่าเงอะ ๆ งะ ๆ”

ตีห้าคืนนั้นหลวงปู่ได้ละสังขารอย่างสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิของท่าน สิริอายุ ๘๖ ปี

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล







".. ปรกตินั้นเมื่อโกรธก็มักจะไป
#เพ่งโทษคนอื่น" ว่าเป็นเหตุให้ความโกรธ
เกิดขึ้น คือมักจะไปคิดว่าผู้อื่นนั้นพูดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ที่กระทบกระเทือนถึงผู้โกรธ

#การเพ่งโทษผู้อื่น เช่นนี้ ไม่ใช่การทำให้
จิตใจตัวเองสบาย ตรงกันข้าม กลับเป็นการเพิ่มความไม่สบายให้ยิ่งขึ้น ยิ่งเพ่งเห็นโทษ
คนอื่นมากขึ้นเพียงใด ใจตัวเองก็ยิ่งจะไม่สบายยิ่งขึ้นเท่านั้น

แต่ถ้า "#หยุดเพ่งโทษผู้อื่นเสีย" เขาจะพูด
จะทำอะไรก็ตาม ที่เป็นการกระทบกระเทือนถึงตนเองจริงหรือไม่ก็ตาม อย่าไปเพ่งดู ให้ย้อนเขามาเพ่งดูใจตนเอง ว่ากำลังมีสุขทุกข์อย่างไร มีอารมณ์อย่างไร ใจจะสบายขึ้นได้ด้วยการเพ่งนั้น

กล่าวสั้น ๆ "#การเพ่งโทษผู้อื่น" ทำให้ตัวเองไม่เป็นสุข แต่ "#การเพ่งดูใจตนเอง" ทำให้เป็นสุขได้ แม้กำลังโกรธมาก

หากเพ่งดูใจตัวเองให้เห็นว่ากำลังโกรธมาก ความโกรธก็จะลดลง
หากเพ่งดูใจตัวเองให้เห็นว่ากำลังโกรธน้อย ความโกรธก็จะหมดไป.. "

#สมเด็จพระญาณสังวร_สมเด็จพระสังฆราช







"..คนไม่ถูกนินทาไม่มีใน
โลก คนไม่ถูกสรรเสริญ
ไม่มีในโลก เสื่อมลาภ
เสื่อมยศ นินทา
ทุกข์อย่างเดียว ไม่มีใน
โลก
มีแต่มีลาภ มียศ สรรเสริญ
สุข ก็ไม่มีในโลกอีกเหมือนกัน
มันต้องเจอทั้งสองด้านไม่
มากก็น้อย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอก
ไว้ว่า ในเมื่อโลกธรรมแปด
เข้ามา อย่ายินดีในสิ่งที่
ปรารถนา อย่ายินร้ายในสิ่ง
ที่ไม่พึงปรารถนา ยินร้ายก็
คือไม่พอใจ อย่ายินดีอย่า
ยินร้าย

ทำใจให้เป็นทุกกับสิ่งที่ไม่
พึงปรารถนา
อย่าไปลืมตัวในสิ่งที่พึง
ปรารถนา
ทำใจให้เป็นกลาง ๆ เอาไว้

ในเมื่อโลกธรรมส่วนไหน
เข้ามาหาเรา เราก็ต้องได้
คิดไว้ว่า สิ่งที่ไม่พึง
ปรารถนานั้น อีกสักวันหนึ่ง
มันคงจะหมดไป
เมื่อสิ่งที่พึงปรารถนามัน
เข้ามาหาเรา
เราก็ต้องคิดไว้อีกว่า สิ่งที่
พึงปรารถนานั้น อีกสักวัน
หนึ่งอาจจะพลัดพราก
อาจจะจากเราไปก็ได้
มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน
หรอก

# หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “โลกธรรม”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔







" การภาวนานี้
มิใช่ท่านหมายเอา
การเดินจงกรมตลอดวัน
นั่งสมาธิตลอดคืน

ความจริงแล้วท่านหมายเอา
ผู้ที่มี "สติ" จดจ่อ
อยู่กับกายอยู่กับใจ

ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน
นั่ง นอน เป็นประจำอยู่ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่คำดี ปภาโส






" การนั่งสมาธิ
สำคัญที่สุดคือ "ใจ"

ไม่ว่าจะอยู่อริยาบถใด
ใจไม่นิ่งก็ใช้ไม่ได้
ถ้าใจนิ่งก็ถือว่าใช้ได้ "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร







#การเอาเงินทองใส่บาตร ถ้าใครเอามาใส่บาตรอาตมา อาตมาจะไม่รับ อาตมาบอกว่า อาตมาบิณฑบาตเฉพาะอาหาร ถ้าโยมจะถวายปัจจัย โยมก็มอบไว้ให้กับไวยาวัจกรวัด เมื่ออาตมาต้องการอะไรในปัจจัยสี่ อาตมาจะเรียกจากไวยาวัจกรมีมูลค่าเท่ากับปัจจัยที่โยมปวารณาถวายไว้

ส่วนบาตรนี้ ถ้าโยมเอาเงินทองมาใส่แล้ว เงินทองนั้นเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทำให้อาตมาเป็นอาบัติ อาตมามีความผิด แล้วการที่จะแก้ความผิดนี้ อาตมาต้องเอาเงินนั้นไปทิ้ง โดยไม่หมายว่าจะตกไปที่ไหนไม่รู้ หรือต้องเอาไปสละให้คนที่เราไม่รู้จักที่เราไม่หวังผลตอบแทนมา เมื่อเราไปสละหรือไปทิ้งแล้ว เราจึงไปประจานตัวเองกับสงฆ์ว่าข้าพเจ้าผิดแล้ว ข้าพเจ้าไปรับเงินทองของโยมมาอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ท่านรับทราบด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้สำรวมระมัดระวังต่อไป เราจึงจะแก้ไขความผิดนี้ นี่คือการบิณฑบาตรับเงินทองที่ใส่มา

เพราะฉะนั้น การใส่เงินทองลงไปในบาตรนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าเราอยากถวายเงินทอง เราก็มอบไว้กับไวยาวัจกร แล้วเมื่อท่านต้องการอะไรในปัจจัยสี่มีมูลค่าเท่ากับที่เราปวารณาไว้ ท่านจะเรียกร้องจากไวยาวัจกรให้ไปหามา

เช่น พวกเราถวายปวารณามามีมูลค่าเท่ากับ ๑,๐๐๐ บาท เมื่ออาตมาต้องการเสนาสนะ อาตมาก็จะไปเรียกคนที่ดูแลให้ไปหามาในมูลค่า ๑,๐๐๐ บาทนั้น เขาก็จะไปหามาในมูลค่า ๑,๐๐๐ บาท นี่คือให้ยืนดีในปัจจัยสี่ที่มีมูลค่าเท่านั้น ไม่ใช่ให้เราไปยินดีในเงินทอง พระไม่รับเงินทอง ท่านจะรับปัจจัยสี่ที่มีมูลค่าเท่ากับราคานั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปว่า ว่าพระไม่รับเงินทองแต่ให้ลูกศิษย์รับ

เวลาเราถวายซองปัจจัย เราไม่ต้องไปถวายท่าน มอบให้ไว้กับไวยาวัจกรของท่าน แล้วไปบอกท่านหรือเขียนใบปวารณาบอกท่านว่า เราขอถวายปัจจัยสี่มีมูลค่าเท่ากับ ๑,๐๐๐ บาท ได้มอบไว้แก่ไวยาวัจกรของท่านแล้ว หากท่านเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดควรแก่ปัจจัยสี่นี้ ก็จงเรียกร้องแก่ไวยาวัจกรของท่านเถิด

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม





“..#ให้ถามตัวเองนะ คำว่า “เลวไหม” ถามผู้ใดไม่ถูก ต้องถามตัวเอง ถามตัวเองแล้วมันได้ฟิตตัวเองขึ้นไปเพื่อความดีงาม แล้วก็เล็ดลอดไปได้ๆ มหาสมุทรมันกว้าง แต่เรือในมหาสมุทรก็มีเยอะ เขาหาปลากันอยู่เขามีเรือ เราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรก็ตาม เรามีเรือคือบุญคือกุศล เรามีฝั่งมีฝา มีความสุขความเจริญ อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรของคนที่จนตรอกจนมุมหาทางออกไม่ได้ หาทางขึ้นฝั่งไม่ได้นั้นแหละ เราอยู่ท่ามกลางเราก็ไม่เป็นทุกข์ เรามีเรือมีแพ
.
นี่เรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องฝึกหัดตนให้เป็นคนดี เป็นล้วนแล้วตั้งแต่เรือแต่แพที่จะได้เกาะได้ยึดทั้งนั้น ให้พากันยึดให้ดี เกาะให้ดี วันหนึ่งคืนหนึ่งควรจะได้รับความสงบจากการฝึกใจ ภาวนาพุทโธๆ จะพาให้จมหรือ ให้มาบอกหลวงตาบัว มาบอกว่าไง ให้ยกขบวนมาก็ได้หลวงตาบัวเปิดประตูรับเลย มาอะไร โอ๊ย คนนั้นเขาเจริญ พุทโธ เขากำลังจะจมลงนี่ ให้หลวงตาบัวไปช่วย เออ ว่างั้นแหละเรา เอาโคตรมันมาเจริญ พุทโธ เราจะเสริมทั้งนั้นแหละ เราว่างี้นะ อย่าว่ามันพุทโธคนเดียวมันจะจมน้ำ ให้เอาทั้งโคตรมันมาพุทโธด้วยกัน มันจะจมน้ำจริงๆ เราไม่ต้องไปหาโคตรหาแซ่ เราจะไปคนเดียวลากขึ้นมาได้ทั้งโคตรมันเลย เข้าใจไหม แต่นี้มันไม่ทำซิ มันจะตกคนเดียวมันไม่ทำ มันตกนรกลึกๆ มันไม่ว่า บทเวลาภาวนาพุทโธมันว่าจะตกนรก เวลามันตกนรกอยู่ตลอดเวลา มันไม่เห็นพูดเลย โคตรแซ่มันไปไหนก็ไม่รู้ มันตกทั้งโคตรทั้งแซ่มันนั่นแหละ บทเวลาจะภาวนามันให้หาโคตรหาแซ่ที่ไหนอีกมาช่วย พิจารณาซิ เอาให้มันเน้นหนักอย่างนี้ซิ”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO