นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 2:16 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ฝึกหัดอบรมภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ก.ย. 2021 9:05 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
เรื่อง #ลักษณะนิสัยผู้เป็นเทวดาลงมาเกิด
(ทำอย่างไร จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นไป)

คนที่รู้จักทำทาน รักษาศีลได้บริสุทธิ์
ไม่ว่าจะเกิดมาชาติใดนี่
จะเกิดมาในตระกูลที่ดี
ตระกูลที่ดี คือ ตระกูลที่มีศีล
ตระกูลที่มีธรรม
จิตของตัวเองนี้ที่เกิดมานี่ ก็มีศีลมีธรรมตั้งแต่วันเกิด เกิดมาตัวเล็กๆ เห็นมดไต่มาก็สงสารมดอย่างนี้ เห็นคนยากจนเข็ญใจมา ก็อยากให้เขาอย่างนี้ นี้มันเป็นธรรมชาติของจิตที่ได้สั่งสมบารมีมา นี้แหละมันเป็นอย่างนี้ !!

เพราะฉะนั้นให้เรามีสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ในจิตใจของตนเอง ก็งดเว้นในสิ่งพระพุทธเจ้าห้ามนั่นแหละ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่ไม่ควรทำ เราก็ระงับไม่ให้มันเกิดขึ้น บางทีมันก็จะแสดงออกมาทางใจของเรา อย่างที่ความอยากได้คือความโลภอย่างนี้ เรามองเห็นว่ามันเป็นโทษมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นของคนอื่น แต่ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะเอามาได้ คือ ต้องทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ว่าไปคดโกงขโมยเขามาเด้

เราเอาสติสัมปชัญญะพิจารณาว่า...
สมบัติอันนี้ข้าวของเงินทองต่างๆทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มันเป็นของอยู่ในโลก ไม่มีใครสงวนลิขสิทธิ์ ถ้าใครรักษาได้ก็เป็นของคนนั้น คนที่จะมีปัญญาหาก็คือคนที่มีบุญวาสนาบารมี ได้ทำบุญเอาไว้มาก่อน ถ้าเราเคยทำบุญในชาติปางก่อนเอาไว้ ทำอะไนก็จะสำเร็จอย่างที่เราเคยทำทานอย่างนี้

เราเสียสละสิ่งที่เรามีอยู่ พอเกิดมาในชาตินี้เราก็ไม่อดอยู่อดกิน เราทานอะไรเราทานข้าวปลาอาหาร เราเกิดขึ้นมาเราก็ไม่เคยอดอาหารตั้งแต่วันเกิดขึ้นมา เราเคยทำบุญอย่างอื่นด้วยจตุปัจจัยของเราอย่างนี้ เราได้สั่งสมเอาไว้ เมื่อเกิดขึ้นมาในภพปัจจุบัน เราไปทำงาน เราก็ได้ตังค์ เราไปค้าขายเราก็ได้ตังค์

สำหรับคนที่ไม่เคยได้ทำอะไรไว้เลยนั้น หาได้อยู่เหมือนกัน แต่หาได้ก็ใช้หมดเพราะไม่มีปัญญา หาได้แต่พอกินไปวันๆ ก็หมดไปเป็นวันๆ แต่สำหรับคนที่มีบุญนี้ มันเหลือได้มามันเหลือมือล้นกระเป๋าเลยพุ่นนะ มันเลยกินไม่หมด นี้คือบุญกุศลที่เราได้เห็นอานิสงส์การทำบุญให้ทาน เราก็รักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ มันเลยกินไม่หมด

"สีเลนะ สุคะติง ยันติ" : บุคคลใดที่จะมีความสุขได้ก็เพราะศีล (พระพุทธเจ้าได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้)

"สีเลนะ โภคะสัม ปะทา" : บุคคลใดที่จะมีโภคทรัพย์ก็เพราะศีล

"สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" : บุคคลใดที่จะไปสู่พระนิพพานก็เพราะศีลนี้แหละ

พระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา








อย่าไปรีบ ไปเร่ง อย่าไปเคร่ง ไปเครียด ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เวลาจะได้ มาเองนั่นแหละ อย่าไปยึดมั่นในสิ่งใดๆ แม้การปฏิบัติ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน จังหวัดเลย






หลวงปู่ปั่น สมาหิโต ท่านบอกว่า "ปัจจัยที่โยมลูกหลานถวายหลวงปู่ ท่านนำไปสร้างพุทธเจดีย์ฯ เพื่อให้โยมลูกหลานได้มีที่พึ่งพิงอาศัยกัน..."

หลวงปู่ปั่น สมาหิโต
วัดป่าศิริดำรงวนาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร






…ความดีชั่วของคน
ต้องวัดด้วยพฤติกรรม
คือการกระทำของคนๆนั้น
ว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไร

.ถ้าเขายังเกี่ยวพันกับอบายมุขทั้งหลาย
ทำผิดศีลผิดธรรม
โกหกพูดปดมดเท็จ
ประพฤติผิดประเวณี เสพสุรายาเมา
ฉ้อโกง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

.ถ้าเขากระทำในสิ่งเหล่านี้
ก็ให้ตัดสินใจได้เลยว่า
“ เป็นคนไม่ดี “
ถึงแม้จะไม่ได้ติดคุกติดตะรางก็ตาม.
………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๑๑, กัณฑ์ที่ ๑๖๓
วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๖







ความตายนั้นเป็นอารมณ์ อันเป็นสิริมงคลชนิดหนึ่ง คนระลึกถึงความตายก็หมดปัญหาที่จะไปคิดฆ่าใคร คิดเบียดเบียนอิจฉาพยาบาทคนอื่น มันก็หมด หมดความที่เป็นบาป เรียกว่ากุศลกรรม

หลวงปู่คำพอง ติสโส
วัดถ้ำกกดู่ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี






"คุณธรรม ๔ ประการ"

ความสุขความเจริญนั้น เกิดจากการกระทำของเราเอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าทำดีได้ดี ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี ถ้าทำดีก็จะได้ความสุขความเจริญ ถ้าทำไม่ดีก็จะได้ความทุกข์ ความเสื่อมเสียต่างๆ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราทำความดี ละการกระทำความไม่ดีกัน เพื่อเราจะได้มีแต่ความสุขความเจริญโดยถ่ายเดียว จะไม่มีความทุกข์ไม่มีความเสื่อมเสียต่างๆ ตามมา เพราะนี่เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม กฎของเหตุของผล

กรรมคือการกระทำ ความสุขความเจริญ ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย เป็นผลที่เกิดจากการกระทำ ทำดีก็สุข ทำไม่ดีก็ทุกข์ ถ้าเราอยากจะมีแต่ความสุขความเจริญ ปราศจากความไม่ดีปราศจากความทุกข์ความเสียหายต่างๆ เราก็ต้องละการกระทำที่ไม่ดีไป การที่เราจะทำดีได้ ละเว้นจากการไม่กระทำการไม่ดีได้ เราต้องมีคุณธรรมอยู่ในใจเรา ๔ ข้อด้วยกัน คือ

ข้อที่ ๑. เราต้องมีจาคะ แปลว่าความเสียสละ
ข้อที่ ๒. มีสัจจะ ความซื่อสัตย์
ข้อที่ ๓. มีขันติ ความอดทน
ข้อที่ ๔. มีทมะ ความอดกลั้น

นี่คือคุณสมบัติที่เราควรที่จะสร้างขึ้นมา ว่าถ้าเรามีความเสียสละ มีความซื่อสัตย์ มีความอดทน มีความอดกลั้น เราจะทำความดีได้ เราจะละเว้นการกระทำไม่ดีได้ สาเหตุที่เราทำความดีกันไม่ค่อยได้ ละการกระทำไม่ดีไม่ค่อยได้ ก็เพราะเราไม่มีจาคะ ไม่มีความเสียสละ เรามีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้จะทำให้เราทำความดีได้ยาก ละการกระทำความไม่ดีได้ยาก เราไม่มีสัจจะ คือไม่มีความซื่อสัตย์ เราชอบคดชอบโกง ก็เลยทำให้เราทำความดีไม่ได้ เราไม่มีขันติความอดทน เวลาเจอปัญหาเจออะไรก็ไม่สามารถที่จะทนกับสภาพ ต้องไปทำไปแก้ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และ ๔ ไม่มีทมะไม่มีความอดกลั้น เวลามีอารมณ์ไม่ดีก็ไม่สามารถยับยั้ง ไม่ปล่อยให้ระบายออกมาพอมีอารมณ์ไม่ดี ถ้าปล่อยให้พูดปล่อยให้กระทำ ก็จะพูดไม่ดีทำไม่ดี แล้วก็จะเกิดความเสียหายตามมาต่อไป

ดังนั้น เราจึงต้องมาพยายามสร้างจาคะความเสียสละ สร้างสัจจะความซื่อสัตย์ สร้างขันติความอดทน สร้างทมะความอดกลั้น ถ้าเรามีคุณธรรมเหล่านี้แล้ว เวลาที่ใจเราคิดที่จะพูดไม่ดีทำไม่ดี เราก็จะหยุดได้ เวลาที่เราอยากจะทำความดี เราก็จะทำได้

ธรรมะในศาลา
วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







" ความเฒ่า ความแก่
ก็ให้รู้ล่วงหน้าไว้
ความเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็ให้รู้ล่วงหน้าไว้
ความพลัดพรากจน
ถึงความตาย ก็ให้รู้ล่วงหน้าไว้
รู้แล้วพวกเราจะได้ฝึกทำใจทีนี้
ฉะนั้นการฝึกทำใจ
เรียกว่าปฏิบัติ ปฏิบัติศีล
ปฏิบัติธรรม "

โอวาทธรรม : หลวงปู่อุทัย สิริธโร







บางบุคคลเคยได้ยินบ่อยๆว่า การทำบุญนี้อ่อนใจมาก เพราะไม่เลื่อมใสในคนดังนี้เป็นต้น ไม่อยากทำบุญสุนทานเลยไม่มีกำลังใจจะทำ เบื่อมากแท้ๆ..

แต่ก็น่าพิจารณาอยู่ พิจารณาว่าเราจะเที่ยวไปเลื่อมใสคนอื่นเราจึงพอใจสร้างความดีคือบุญ นั้นเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเราสำคัญตัวว่าเราเห็นธรรมแล้ว ไม่มีผู้ใดทำก็ตาม ไม่น่าเลื่อมใสคนก็ตาม ของใครของมันดอก ใครทำใครได้ เพราะเชื่อขาดตัวแล้วว่าความดีแล้วแต่ใครจะทำเอา เป็นอิสระของใครของมัน
คนอื่นไม่ทานอาหาร เราหิวอยู่เราก็ต้องทาน เว้นไว้แต่สิ่งที่เป็นโทษแก่ร่างกายและผิดศีลธรรม...

#หลวงปู่หล้า_เขมปัตโต







"ในขณะที่ฝึกหัดอบรมภาวนา อย่าไปคิดถึงเรื่องอันใดสิ่งใดในโลกนี้ว่าจะมาช่วยส่งเสริม ว่าจะมาช่วยแก้ไขดัดแปลงหรือปราบปรามกิเลสให้ จะมาช่วยให้ได้มรรคผลนิพพาน..ไม่มี ธรรมชาติแต่ละอย่าง ๆ เต็มโลกเต็มสงสาร เป็นธรรมชาติของเขาเองอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมากดขี่บังคับ ไม่เคยมาส่งเสริมเราให้มรรคผลนิพพานฉิบหายและเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้เลย นอกจากกิเลสภายในหัวใจดวงเดียวเท่านั้น ให้ตั้งลงจุดนี้แล้วทำความพากเพียร โดยความมีสติกับงานของตนที่ทำนั้น ประหนึ่งว่าโลกสงสารนี้ไม่มีในขณะนั้น มีเฉพาะงานที่ทำกับความรู้ที่สืบต่อกันอยู่เท่านั้น

นี่ละทางขึ้นไปเพื่อความสงบเย็น และจากนั้นเมื่อถึงกาลเวลาที่ควรจะพิจารณาทางด้านปัญญา เอ้า ให้ค้นให้คิดให้ตั้งปัญหาถามตนเอง หาเรื่องใส่ตัวเองเพื่ออรรถเพื่อธรรมไม่เป็นไร นี่ละจะเป็นปัญญาที่แตกแขนงไปโดยลำดับ ต้องหาเรื่อง ตั้งแต่กิเลสมันยังหาเรื่องให้เราวันยังค่ำคืนยังรุ่งทั้งเก่าทั้งใหม่ เลอะเทอะขนาดไหนก็ยังเอามาอุ่นกินกันอยู่นั้น มันจะเฟ้อตายแล้วท้องถ้าเป็นกิเลสพาให้ท้องเสีย เพราะคิดแล้วคิดเล่าในอารมณ์ของเก่า มีอะไร”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๗








#โอ้ย_ข้าพเจ้าถวายทองคำ
#เกิดมาภพใดชาติใดก็ขอให้มีทองคำมากๆ"

(ก็ยังไปปรารถนาอีกอยู่เด้ ยังจะไปห่วงใยอีกอยู่)

บางคนมาก็ตั้งจิตอธิฐาน ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงดวงธรรม นี้คือความปรารถนาที่มาฉลองเจดีย์วันนี้ และก็มาขอให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาเฉียบแหลมเหมือนกับยอดฉัตรเจดีย์

บางคนก็เอาแก้วแหวนเงินทอง มาถวายอาจารย์เชาว์อย่างนี้ อยากจะให้เอาไปบรรจุบนยอดเจดีย์

บางคนก็เอาองค์พระมีหลายอย่าง ที่เป็นองค์ตัวแทนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธรูปน้อยๆใหญ่ๆและก็มีทั้งเหรียญหลวงปู่ครูบาอาจารย์หลายๆชนิดที่มีอยู่ ทั้งเป็นหยก เป็นทองคำ เป็นทองเหลืองทองแดงมีหมด มีเป็นทั้งผงว่านมีหมด เป็นโลหะก็มี

ที่เอามานี้บางคนก็คิดว่าถ้าเราเก็บไว้ ก็จะเป็นห่วงเวลาที่เราตายไปแล้ว คนอื่นก็จะเอาไปเฉยๆ เราเอาไปบรรจุเจดีย์ไม่ดีกว่าหรอ คนจะได้กราบไหว้ทั่วประเทศ...เขาก็คิดอย่างนี้ !

#เมื่อเราเสียสละอย่างนี้ถือว่าเราตัดห่วงออกไปจากจิตใจของพวกเราน่ะ

บางคนที่มีทองคำที่เป็นแก้วแหวนเงินทอง
ก็ได้มาคนละอย่างน่ะ บางคนก็ได้แหวน บางคนก็ได้สร้อยทองคำมา บางคนก็ได้อะไรมาที่ห้อยอยู่หูนี่
หลวงปู่ไม่รู้หรอกเขาเรียกว่าอะไร...ตุ้มหูบ่ ?
นั้นละเขาก็เอามาร่วมบริจาคกันที่นี้

คนที่มาก็เอามาถวายที่นี้...
"โอ้ย!!...ข้าพเจ้าถวายทองคำ เกิดมาภพใดชาติใดก็ขอให้มีทองคำมากๆ"

(ก็ยังไปปรารถนาอีกอยู่เด้ ยังจะไปห่วงใยอีกอยู่ ! )

บางคนปรารถนาว่า..."ต้องการต่างหูใหญ่ๆ"
ที่อยู่ข้างหูน่ะ ถ้าเกิดว่ามีโจรมา มันก็จะมาตัดหูข้าพเจ้า หูข้าพเจ้าก็จะฉีกขาด ถ้ามันไม่ขาดโจรก็จะเอามีดมาฟันคอขาด เราจะมาตายเพราะอันนี้หรอ?
อยู่ที่มือเขาก็จะตัดนิ้วเรา อยู่ที่คอเขาก็จะตัดคอเรา

โอ้ย...มันมีแต่โทษ !

“ เอามาถวายอาจารย์เชาว์ ให้ท่านบรรจุบนยอดเจดีย์ เอามาไว้ที่นี้เป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไป ”

เหมือนสมัยก่อนที่พม่ามาตีแล้วขนเอาทองคำไปบ้านเขา หลวงปู่ก็ยังชื่มชมเขาอยู่เด้ แต่พวกเรานี่อาจจะไม่เข้าใจเหมือนอย่างหลวงปู่ อาจจะเก็บความแค้นไว้ในใจว่ามันมาเอาของบ้านเมืองเราไป แต่ถ้าเหลือไว้ในประเทศเรา มันจะเหลือหรือเปล่า?

มันไม่ไปอยู่กับนักการเมืองหมดแล้วหรอ ?
แต่ถ้าอยู่ใน “ชเวดากองล่ะ” เขาไปตีเป็นแผ่นๆปิดไว้ในเจดีย์รักษาให้เรา เจ้าหน้าที่เขาก็ดูแล ไม่มีใครมาขโมย มีแต่คนจะเสริมเข้าไปอีกน่ะ รักษาไว้ให้คนมากราบไหว้บูชา

ถ้าอยู่ในไทยมึงเสร็จแล้ว...เหลือแต่ทองเปลว!! ขนาดทองเปลวยังจะไปขูดดูอยู่ สงสัยว่ามันเป็นทองแผ่นหรือเปล่า ?

"โอ้! ประเทศไทยนี้ไม่สมศักดิ์ศรีว่าเป็นเมืองพระพุทธศาสนาเลยนะ ของเขานี่เอาจริงเอาจังนะ

ขนาดพระที่หล่อด้วยทองคำ (ในประเทศไทย)
ยังจะเอาปูนไปปิดอยู่ ทั้งๆที่มันดีอยู่ใช่ไหมล่ะ ทำไมไม่ให้คนเห็น (กลัวเขาขโมย) ขนาดไม้พยุงเสาศาลา มันยังมาตัดนะ อย่าว่าอะไรแต่ทองคำน่ะ

คนที่นั้นตอนเช้าเขาจะไปทำงาน
เขาจะหิ้วปิ่นโตมาด้วย ก่อนไปทำงานเขาจะขึ้นมา “กราบเจดีย์ชเวดากองก่อน” สวดมนต์ นั่งสมาธิพักหนึ่งเขาก็ไป

พอไปทำงานแล้วตอนเย็นกลับมา เขาก็จะมากราบสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา แล้วก็ควักเงินออกจากกระเป๋าหยอดใส่ตู้บริจาคทุกวัน

ตู้บริจาคนี้ใหญ่เท่าธรรมาสน์นี้ สูงขนาดนี้แหละ
เงินอยู่ในนั้นเต็ม รอบๆมีหยากไย่ ไม่มีใครไปแตะต้อง เงินก็หล่นออกจากตู้กองลงข้างล่าง

ถ้าบ้านเราล่ะ ?
หมดทั้งตู้ทั้งข้างนอกข้างใน ไม่มีเหลือเลยว่างั้น !
นี้คือความซื่อสัตย์สุจริตของคนในประเทศพม่าน่ะ น้ำใจของโยมในพม่าเป็นชาวพุทธ

แต่ถ้าบ้านเราล่ะไปไหนมาไหน กอดกระเป๋าไว้แน่น จะนั่งสมาธิภาวนา ก็วางห่างๆทิ้งไว้ไม่ได้ กลัวมันหายจริงไหม ?

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ในงานพิธียกยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ศรีสามหมื่นทุ่ง วัดป่าบ้านมูเซอสามหมื่นทุ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก
วันที่ ๐๔ ธ.ค.๕๙

บันทึกธรรม : นรินทร์ ศรีสุทธิ์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO