นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 1:58 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: หลักการทำสมาธิ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 01 ก.ย. 2021 10:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
กรรมจากการด่าพ่อด่าแม่ ต้องชดใช้เป็นหมื่นๆ ปี ‼
พระครูกิตติอุดมญาณ (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

...#กรรมที่ลูกกับพ่อกับแม่นี้นะ #พ่อแม่ด่าลูกนี่ด่าได้เพราะพ่อแม่ด่าลูกนี่อยากจะให้ลูกดีนะ #แต่ถ้าลูกด่าพ่อแม่นี่ถึงพ่อแม่จะทำผิดเป็นบางครั้ง ที่เรามองเห็น #แต่เราไปพูดคำเดียวนี่บาปแล้วนะ บาปเลย (กรรมหนัก) ถ้าด่าพ่อคำเดียวตายไปหน้าฝั่งนี้ตกหมึก น้ำหนองไหลเยิ้มลง แต่ข้างนี้ดีๆ อยู่

แต่ถ้าด่าแม่อีก...หมดทั้งสองหน้า หน้าสวยๆ ขาวๆ งามๆ นี่ปึ้ดเลย คันละทีนี่ คันแต่เกาไม่ได้ น้ำเหลืองมันไหล ไหลอาบลงตามแก้มนี่ เปื่อยตลอดชีวิต จนกว่าจะหมดกรรมนี้...

“โอ้ย ‼ หมื่นๆ ปี ‼”

โทษด่าพ่อด่าแม่นี่ไม่ใช่ธรรมดาเด้ ‼
#เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงได้ตักเตือนไว้...
“#ผู้มีอุปการคุณนี่ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่เทิดทูนไว้ที่สูง”

เราเป็นลูกนี่ต้องตอบแทนบุญคุณ ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีน่ะ ธรรมสองอย่างนี้พระพุทธเจ้าว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก ไม่ใช่ธรรมดาเด้ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก ทำไมถึงว่าหาได้ยากนี่ ลูกที่จะรักพ่อรักแม่เท่ากันนี่ก็ยาก บางคนรักแต่พ่อ บางคนรักแต่แม่ใช่ไหมละ แล้วลูกๆ หลายๆ คนนี่เป็น ๑๐ คนนี้ จะรักพ่อรักแม่เสมอกันนี่ มีไหม...ยาก ‼

บางครอบครัวนี่ มีคนเดียวรักพ่อรักแม่ บางครอบครัวไม่มีสักคนเลย ปล่อยพ่อแม่ทิ้งเลยก็มี นี้แหละมันถึงเป็นวิบากกรรม มันถึงเป็นบุคคลที่หาได้ยาก แล้วก็พ่อแม่ที่จะรักลูกเสมอกันนี่...พ่อจะรักลูกคนนั้น แม่จะรักลูกคนนั้น มึงรักคนนั้นกูรักคนนี้ บางทีไม่รักทั้งหมดเลยก็มี นี้แหละบุพการียังรักลูกไม่เท่ากัน ลูก ๑๐ คนนี่ อาจจะรักแค่คนเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นการยาก พระพุทธเจ้าว่ายาก แค่สองคำนี้นะ บุคคลที่หาได้ยากสองอย่างนี้นะ บุพการีบุคคลผู้ทำอุปการะแต่ก่อนนี้ จะรักลูกสม่ำเสมอกันนี่...ยาก

กตัญญูกตเวที บุคคลคุณูปการะที่จะตอบแทนคุณบิดามารดาของตนเองสม่ำเสมอเท่ากันนี้ยาก นี้ ๒ คำของพระพุทธเจ้านี้ถือว่ายากแล้ว แต่พวกเรานี่อย่าให้มันยาก

อย่าให้มันเป็นเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอย่างที่พระพุทธเจ้าว่านี้มันเป็นบาปนะ มันเป็นบาปกับเรา ถ้าเราไม่เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่านี้...โอ้ย ! ทางไปพระนิพพานอยู่ที่ตรงนี้ ทางที่เข้าอริยมรรค อริยผลนี่อยู่ที่ตรงนี้นะ ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นที่ไกล

พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพระโพธิสัตว์ที่จะได้มาเกิดเป็นมหากษัตริย์ ครั้งแรกนี่เป็นคนขอทานเด้ เป็นคนขอทานมาก่อนเด้ แล้วเลี้ยงดูบิดามารดาของตัวเองนี่ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก ไร่นาก็ไม่มี ไปรับจ้างมาเลี้ยงพ่อแม่จนเฒ่าแก่ชรามา พอตายก็เผาซากศพ ตัวเองก็ไปบวชเป็นดาบส รักษาอุโบสถศีลตลอดชีวิต ตายจากภพนั้นไปเป็นท้าวสักกะเทวราช เป็นหัวหน้าเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

พอสิ้นบุญจากบนสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เป็นพระราชามหากษัตริย์ ได้สร้างบารมีเต็มเปี่ยมมากขึ้นไปอีกทีนี่ นี้แหละพระเจ้า ๑๐ ชาติอยู่ในนี้น่ะ ต่อจากนั้นก็ได้เป็นพระราชามหากษัตริย์มาถึง ๑๐ ชาติน่ะ จนถึงเป็นพระเวสสันดร และจนถึงได้มาเป็น “พระสิทธัตถะราชกุมาร” น่ะ (เป็นภพๆ ชาติมา)

“นี้แหละอานิสงส์เต็ม”

แล้วปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้า นี้คือความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างแบบอย่างให้กับพวกเรา ไม่ใช่เป็นของว่าเล่นเด้ ‼

บางคนก็อาจจะคิดว่า “พ่อกูไม่แบ่งสมบัติให้ รักแต่พี่ชาย น้องสาวไม่สนใจเลย แม่ก็รักแต่พี่ชาย” (บางคนโกรธ มาฟ้องหลวงปู่เด้)

หลวงปู่ : โอ้ย...อย่าไปคิดแบบนั้น เดียวมันเป็นบาป (ทนไม่ได้ก็ร้องไห้ เพราะตัวเองนี่เคยคิดอย่างนั้นมา)

แต่หลวงปู่ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น เราได้สมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าพ่อกับแม่ไม่รักเรา...น้ำขันเดียวกดหน้าใส่นั้นนะ ตายตั้งแต่คลอดใหม่ๆ แล้ว เราได้แล้วสมบัติของพ่อของแม่นะ อาการ ๓๒ ได้มาแล้ว นั้นแหละเราทำตัวให้ดี ตั้งใจเก็บหอมรอมริบทรัพย์สมบัติที่มีอยู่สะสมไปเรื่อยๆ มันก็เป็นก้อนเป็นกำขึ้นมาเอง แต่ทำดีกับพ่อกับแม่ด้วย บุญกุศลมันก็จะหนุนให้เจริญขึ้นไปเองนะ ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มัวแต่คิดอย่างนั้น มีแต่โศกเศร้า จิตไม่ดี สติปัญญาก็ไม่เกิด ทำอะไรมันก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ก็จะตกต่ำอยู่ตลอดเวลา

นี้แหละไม่อยากให้คิดอย่างนั้น ถึงแม้มันไม่มีอะไร ก็ให้คิดว่าบุญวาสนาบารมีของเราในชาติปางก่อน เราไม่ได้ทำอะไรเอาไว้ เราไม่ได้สร้างกุศลเอาไว้ ชาตินี้เรามารู้มาเห็น ถึงว่าไม่มีเราก็จะทำดีให้ถึงที่สุดต่อผู้มีพระคุณของเราให้คิดอย่างนี้ ไม่ได้อะไรก็ขอให้ได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์

“ตายไปแล้วชาติหน้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้มาเกิดตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้อีก แล้วก็ปรารถนาถึงธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม ได้พบพระศาสนา ได้พบพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้เป็นครูอาจารย์ของเรา จะได้นำทางเราไปในทางที่ถูก”

นี้คือความคิดของหลวงปู่ที่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ทุกๆคน ไม่อยากจะให้คิดเข้าข้างตัวเอง ที่คิดไปในทางที่เกิดความโลภ ไม่ให้อยากไปคิดอย่างนั้น

พระคุณหลวงปู่ไม อินฺทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
(เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม
หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาแล้วเสร็จ)









ถ้าเราปฏิบัติดีเขาก็อยากให้อยู่
ถ้าปฏิบัติไม่ดี ไปอยู่ที่ไหน เขาก็ไล่ไปเรื่อย
ต้องเรียนวิชาปฏิบัติดีนะ

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
เช้าวันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๐







…เราเท่านั้น
ที่จะทำตัวเราให้ดีขึ้นได้

.ด้วยการปฏิบัติให้มากขึ้น
ด้วยการตัด ด้วยการละสิ่งต่างๆ
ในโลกนี้ให้มากขึ้น

.ปล่อยวางให้มากขึ้น
ไม่ไปยึด ไปติด ไปแสวงหา
ความสุขทางตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

.แต่..หาความสุขทางใจ
“ด้วยการ ทำใจให้สงบ”.
…………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรม ๙, กัณฑ์ที่ ๓๓๗
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๐








"โลกนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป
จะอยู่ที่โน่น ก็เปลี่ยนแปลง อยู่ที่นี่ หรือที่ไหน
ก็เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเราทั้งหลาย
อยู่ได้ด้วย การเปลี่ยนแปลง
ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่ไม่ได้

หายใจออกมาแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นหายใจเข้า
แล้วก็หายใจออก ไม่เช่นนั้น เราก็อยู่ไม่ได้
ลมออกไปหมด ก็อยู่ไม่ได้ ลมเข้ามาแล้วไม่ออก
ก็อยู่ไม่ได้

เราทั้งหลาย อยู่ในโลกนี้ ก็เป็นของโลก
มันเป็นของของโลก ไม่ควรทำความน้อยใจ
ไม่ควรทำความเสียใจใดๆ เราต้องเป็น
ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง

จะตกไปอยู่ที่ไหน ก็สร้างแต่คุณงามความดี
แม้หมดชีวิต ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี"

หลวงปู่ชา สุภทฺโท







..#หลักการทำสมาธิ..
..เมื่อเรามีสติคุมจิตของเราแล้ว เราจะมีสติในการพูด จะคุมเรื่องพูด กิเลสมันมีต่างๆนานา พอเราคุมพูด เราพูดเรื่องอะไร มันมีประโยชน์บ้างไหม หรือจะมีเหตุผลอุปมาอุปไมยอย่างไร เหมือนอาตมาพูดนี่มีประโยชน์บ้างไหม เรื่องนี้ให้ความสุขและให้ประโยชน์อย่างไร เราต้องมีสติในเรื่องที่เราพูดนั้น คนพูดไม่มีสติ มันผิดพลาด ทีแรกมันต้องพูดผิดพลาดก่อนบ้างทุกคน จึงรู้ว่าตนเองผิดพลาดมาก่อน เราจึงจะพูดถูกต้องได้ กระทำดีได้
..เมื่อเรารู้จักคุมการพูดของเราได้แล้ว จึงมาคุมการคิดอีก เราคิดไม่ดีต้องรู้ คิดดีต้องรู้ ต้องมีสติในการคิด ถ้าคิดเรื่องไม่ดีอย่าไปคิดขึ้นมา ถ้าคิดเรื่องดีจึงคิดถ้าละเอียดขึ้นอีกนิด การบำเพ็ญด้านจิตใจ ควรคุมได้ห้ามได้ ถ้าคุณคิดไม่ดีปล่อยมันไปเสีย ถ้าคิดดีจึงควรคิด ยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ ควรจะคิดอยู่แต่สิ่งนั้น คิดแต่สิ่งที่ดี คิดดีแล้วจิตมีความสุข รู้แล้วมันก็ขยันของมันเอง ถ้าคิดดีมันมีความดี
..ถ้าเอาด้านวัตถุออกมาอ้าง ทำถนน ทำรถ เครื่องบิน เรือ เครื่องนุ่งเครื่องห่ม ฯลฯ คุณคิดดี ทำดี คุณก็ขายได้ มีเงิน มีความสุข จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของคุณคิดดี จิตของคุณก็ไม่ทุกข์ จิตของคุณต้องสุข จิตของคุณต้องเบา แต่ถ้าคุณคิดไม่ดีคุณก็ทุกข์ ถ้าคุณทำไม่ดี ผลงานของคุณก็ไม่ดี ขายไม่ออก ถ้าคุณพูดไม่ดี เดี๋ยวก็ผิดเถียงกัน ทุบตีกัน มันจะทุกข์เกิดขึ้น ถ้าคุณโกรธคุณเกลียด คุณต้องมีความทุกข์ของคุณเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..หลักการทำสมาธิ#







สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนให้เราทั้งหลายรู้เท่าทันจิตใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา ความรู้เท่าทันดังกล่าวนี้คือ การรู้แจ้งสภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม ว่าไม่ใช่ตัวตน ว่าไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา หากแต่เป็นสภาวะที่เกิดและดับ สลับกันไปมิรู้จบสิ้น ความไม่รู้เท่าทันสภาวะเช่นนี้เองที่อำพรางให้คนเราคิดผิด เปรียบเสมือนการใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อชมมายากลโดยมิรู้เท่าทันว่าภาพอันดำเนินต่อเนื่องนั้นเป็นเพียงมายาที่ลวงตาทั้งสิ้น

ถ้าเมื่อใดบุคคลมีความรู้แจ้งในสภาพทุกข์ ความเปลี่ยนแปลง และความว่างจากตัวตน เขาย่อมสามารถละความโลภ ความ โกรธ และความหลง ที่ล้วนเกิดจากความเห็นแก่ตัวได้ อย่างไรก็ตาม การจะละคลายความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย หากขาดสภาพธรรมะที่เรียกว่า "สติ"
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก








#เกร็ดธรรมในฝัน ที่ได้จาก

#องค์หลวงปู่ไม อินทสิริ (ก่อนละธาตุขันธ์ )

เราเป็นเจ้าของกรรม

ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว

ใครก็ขโมยเอาไปไม่ได้

เจ้าของย่อมได้รับผลกรรมนั้น (โดยประมาณ)
...........................................................

นำเรื่องกรรมที่ประสบณ์ต่อองค์หลวงปู่ไมมาเล่าสู่กัน

#อาการปวดคอ กรรมจากแมวน้อย

หลวงตาสมหมาย : ใสคือว่าปวดคอเบาะผม

หลวงปู่ไม : แม่นล่ะ โอ้..ปวดหลาย

หลวงตาสมหมาย : เป็นตะเหิงล่ะ

หลวงปู่ไม : เป็นตะมาจากวัดอโศฯ พุ้นล่ะ

หลวงตาสมหมาย : ปวดหลายบ่ผม ใสมาเบิ่งหม่องใด๋

หลวงปู่ไม : นี่ๆ..(มือจับๆ) ปวดหลายอยู่

หลวงตาสมหมายเอามือจับพิจารณาดูสักครู่ยิ้มแล้วกล่าวเชิงหยอกเย้าหลวงปู่ไม

หลวงตาสมหมาย : ซั่นล่ะ กรรมเนาะผม กรรมเฮ็ดกับแมวน้อยเนาะ กำคอแมวน้อย (หัวเราะ)

หลวงปู่ไม : ฮ่วย...ตะเป็นเด็กน้อย แมวน้อยนี่กำคอฟ้าดลงล่างเลยล่ะ หมาน้อยหมู่นี้ตายคามือพุ้นแหล่ว (หัวเราะ..)

(ทุกๆคนที่อยู่บนกุฎีต่างก็ขบขันไปกับคำพูดหลวงปู่ทั้งสอง)

28/7/2563
ณ กุฎีหลวงปู่










หลวงปู่บุญมี เทศน์สอนว่า

"มื้อหนึ่งๆ คนตายอยู่นี่ มันตายไปลำดับ ลำดับ นี่คือความจริง บ่อยากเป็น มันก็เป็น บ่อยากเห็น มันก็เห็น

สถานที่นี้มันเป็นบ่อนแก่ บ่อนเจ็บ บ่อนตาย หากเห็นตรงกับความจริง เกิดมาต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เป็นธรรมดา

หากเกิดมาแล้ว บ่อยากแก่ บ่อยากเจ็บ บ่อยากตาย เป็นความเห็นผิด มันฝืนความจริง"

หลวงปู่บุญมี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO