นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 23 เม.ย. 2024 9:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความดี ความชั่ว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 31 ส.ค. 2021 8:06 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4537
"มีน้อยก็ให้มีความสุข

มีมากก็ให้มีความสุข

ไม่มีก็ให้มีความสุข

ความสุขของคนเราอยู่ที่การรู้จักพอ

พอใจในการเสียสละ พอใจในการรักษาศีล

พอใจในการทำการทำงาน”

โอวาทธรรม

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม








พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนและย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าอยากสบายในอนาคต ก็ควรทำบุญให้มากๆ ไม่ใช่เฉพาะบุญจากทรัพย์ แต่รวมถึงบุญในการรักษาศีล และบุญในการทำสมาธิภาวนาด้วย เหตุผลก็คือ จะได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ

การให้ทาน ส่งผลให้ มีทรัพย์มาก ทำอะไรก็รวย

การรักษาศีล ส่งผลให้ รูปร่างหน้าตาดี คนรักคนชอบ มีความสุขกายสบายใจ

การเจริญภาวนา ส่งผลให้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีความคิดสร้างสรรค์

หรือบางคนอาจจะคิดว่า ไม่ได้หวังมนุษย์สมบัติ บุญต่างๆเหล่านี้จึงไม่ต้องการ แต่คนที่เขามีปัญญาจริงๆ สิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณงามความดีนั้น เขาทำหมดนั่นแหละ แต่ไม่หวังผลตอบแทนเท่านั้นเอง

ดังนั้นถึงแม้เราจะปรารถนาพระนิพพาน ก็ควรทำบุญให้ครบถ้วนด้วยความศรัทธา เพราะเราจะทราบได้อย่างไรว่า เราจะทำตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ในชาตินี้ หากเราเป็นคนประมาทไม่ทำบุญไว้ก่อน ชาติต่อๆไปนั้นลำบากแน่นอน

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าภูเขาหลวง จ.นครราชสีมา







ถ้าไม่มีบุญหรือบุญวาสนาไม่พอจะอธิษฐานไม่ขึ้น...จึงต้องหมั่นทำบุญ

คติธรรม
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม








“สิ่งที่จะทำให้เราดีใจเสียใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นโลกธรรม เป็นธรรมที่มีอยู่กับโลกนี้ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ไหนแต่ไรมา ได้แก่ สุข ทุกข์ ความสุขกับความทุกข์นี่เป็นคู่กัน มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีทุกข์แล้วมีสุข สลับซับซ้อนกันอยู่ แล้วก็ลาภและเสื่อมลาภ นี่ก็เป็นคู่กันเป็นฝ่ายที่ทำให้พอใจและไม่พอใจ ยศและเสื่อมยศ นี่เป็นคู่กัน นินทาและสรรเสริญ นี่ก็เป็นคู่กัน
นี่รวมโลกธรรมทั้งแปดอย่างแล้ว เป็นของที่มีอยู่เป็นของที่ทำให้ดีใจและเสียใจ คือ ฝ่ายที่ทำให้ไม่พอใจ ก็คือ ทุกข์หนึ่ง นินทาหนึ่ง เสื่อมลาภหนึ่งและก็เสื่อมยศหนึ่ง ทั้งสี่อย่างนี่ย่อมไม่มีใครย่อมที่จะปรารถนา ที่ว่านี้เป็นธรรมที่ไม่พึงปรารถนา แต่ถึงแม้จะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็มีประจำอยู่ในโลก อันนี้มีอยู่อย่างนั้น แต่อันนี้คือส่วนที่ทำให้ไม่พอใจ
ส่วนที่ทำให้พอใจก็คือ ความสุขหนึ่ง ความมีลาภหนึ่ง ความมียศหนึ่ง และความสรรเสริญหนึ่ง นี่คือธรรมสี่ประการ เป็นธรรมที่ทำให้พอใจ แล้วบุคคลเราก็มาพอใจเสียใจอยู่กับโลกธรรมทั้งแปดนี้ ถ้าหากไม่พิจารณาให้เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะจิตใจของตนเองได้ เพราะปัญญายังไม่แจ่มแจ้ง เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยสติ สมาธิ ปัญญามีกำลัง จึงจะสามารถพิจารณาถึงโทษคุณของโลกธรรมทั้งแปดประการนี้ให้เข้าใจได้”

องค์หลวงตาสมหมาย อตฺตมโน
๑๘ กันยายน ๒๕๒๘ วัดป่าโนนม่วง
(บ้านโคกใหญ่)







"..ยาขนานเดียวแก้โรค
ได้ทั้งล้านๆ อย่าง ก็คือ
พระอานาปานสติ นี้

ไม่แยบคายในอานาปานสติ
แล้ว ไฉนจะเห็นเจตสิก ที่
เกิด-ดับ ได้ง่ายๆ เล่า เพราะ
ตามลมเข้า-ออกไม่ถึงจิต
และเจตสิก เมื่อไม่เห็นความ
เกิด-ดับได้ละเอียด ไฉนจะ
เห็น ไตรลักษณ์ละเอียดเล่า

นิพพิทา ความเบื่อหน่าย
คลายหลง จะเปิดประตู
และหน้าต่างช่องใดให้
ปรากฏแก่ตาปัญญาญาณเล่า

ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทั้งโลกอดีต ทั้งโลกอนาคต
ทั้งโลกปัจจุบันด้วย.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต








พอท่านเทศน์ จิตในขั้นปัญญานี้มันจะขยับตาม ขยับตาม เหมือนนิพพานมันอยู่ชั่วเอื้อม

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







#พระพุทธเจ้าฝึกฝนทรมาน '#พระนันทะ' #จนบรรลุธรรม : #หลวงตามหาบัว

เมื่อเวลาพระองค์ได้ฝึกฝนทรมานพระนันทะ เนื่องจากพระองค์ทราบอุปนิสัยของพระนันทะโดยสมบูรณ์แล้วว่า จะได้บรรลุธรรมอย่างแน่นอน จึงต้องได้แยกจากสิ่งเหล่านั้นออกมา ถึงจะเสียดายก็ตาม เสียดายขนาดไหนก็ตาม รักขนาดไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้มันเคยรัก เคยชัง เคยเสียดายมาแล้วขนาดไหน มันวิเศษขนาดไหน นี่พูดง่ายว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงทราบหมดแล้ว และธรรมเหล่านี้พระนันทะเคยทราบแล้วเหรอ ซึ่งเป็นของวิเศษนี้


เพราะฉะนั้น จึงแยกพระนันทะออกมาจากความรัก ความชอบใจในนางชนบทกัลยาณีที่ว่า งามในโลก นั่นงามขนาดไหน รักชอบขนาดไหน ทั้งๆที่จะแต่งงานกันอยู่สดๆ ร้อนๆ ในขณะนั้นพระองค์ก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ เคยผ่านมาแล้ว เคยเป็นมาแล้ว มันพาโลก พาสงสาร พาใครให้วิเศษที่ไหน มันก็คือเรื่องของการจมในวัฏฏะนั่นเอง ส่วนที่จะพรากพระนันทะออกไปบวช เพื่อได้สลัดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจถึงพระนิพพานสดๆ ร้อนๆ ทั้งเป็นทั้งตาย อันเป็นของวิเศษมากนี้ มันวิเศษยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ

เพราะฉะนั้นถึงไม่อาลัยเสียดาย แม้พระนันทะจะคิดถึงนางชนบทกัลยาณีมั่นมากเพียงไรก็ตาม นางชนบทกัลยาณีร้องตามขนาดไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส ร่ำรี้ร่ำไร รักเสียดายอาลัยอาวรณ์ต่อกัน เป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโส เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่อาลัยเสียดาย จึงไม่สนพระทัยกับสิ่งเหล่านี้ นอกจากที่จะให้พระนันทะที่เป็นพระอนุชา ภาษาตลาดเราเรียกว่าน้องชายนั่น ได้สลัดปัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว อันเป็นของวิเศษเท่านั้น

พระองค์ไม่เห็นอะไรเป็นของวิเศษ จึงต้องยอมพระองค์ลงเพื่อธรรมชาติอันนี้แก่พระนันทะ โดยเป็นผู้รับรองยืนยันพระนันทะ เอาเถอะนันทะ จะพาปฏิบัติ เราจะพาไปเห็นของดี เอาของดียิ่งกว่านี้ แล้วก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์หลายด้านหลายทาง เอาไปดูลิง เป็นยังไงลิง เทวบุตร เทวดาพาไปดูหมด มีแต่ผู้สวยๆงามๆ แล้วดูนางชนบทกัลยาณีเป็นยังไง โห! เหมือนกับลิงตัวนั้นแน่ะ สุดท้ายก็มาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ จนกระทั่งได้บรรลุธรรม
..............
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









#กลัวตรงไหน #ก็เดินเข้าไปตรงนั้น...

วิธีแก้ความกลัวผี กลัวป่าช้า ถ้ามีแต่กระดูกเขากองไว้ที่โคนต้นไม้ ใช่มั๊ย ใส่หม้อเอาไว้ กองเอาไว้ ตอนเย็นๆอย่างนี้แหละ อาตมากวาดวัดไปถึงที่นั่น จะไปอยู่ที่นั่น นั่งสมาธิอยู่ที่นั่น เดินจงกรมอยู่ที่นั่น

เมื่อก่อนเขายังไม่ได้สร้างเมรุ ศาลาก็น้อยๆ บัดนี้มันคิดขึ้นมา
ที่นี่ คนมาตายมาก มาเผามาก วิญญาณมันจะ บ่หลาย บ้อ..
ไปดูหม้อกระดูกเขานะ กองอยู่ ก็ไปยืนเฝ้าใต้ต้นโพธิ์ ตัดสินใจว่า
ใครจะลุกขึ้นมาคุยกันบ้าง ไม่ลุกมาสักคนเลย เอาละเว้ย.. ตัดสินใจได้แล้ว

บัดนี้ คริสเตียนมาฝังไว้สองคน ไม้กางเขน ตอนที่เรากวาดวัดนี่ เดินไปที่เขาฝัง เอาคันตาดไปเคาะไม้กางเขน ลุก ลุก คริสเตียนมาคุยกันหน่อยซิ ไม่ลุกเลยทั้งสองราย

มันน่ากลัวที่โรงครัว ไปๆมาๆ มันน่ากลัว ที่นี่เนาะ ผีในท้องเรานี่ มีหมด กุ้งก็มี ปลาก็มี ไก่ก็มี วัวก็มี มีแต่ผีหลอกหลายกว่าทุกที่เลยโอ๊ย.อยู่ในท้อง มันน่ากลัวตรงนี้นะ กลัวตรงท้อง มันหลายอย่าง ไม่รู้เท่าไหร่เลย

พูดให้ฟังนะ กลัวที่ไหนที่สุด เวลาจะเข้าประตูนี่ มันมืด กลัวมันเข้ามาทางข้างหลัง ตามหลังมา กลัวผีหลอก

ใครล่ะ มันกลัว

จิตที่มันคิดขึ้นมา ใช่มั๊ย.. ที่มันกลัว ต้องไปเรียนที่นั่น จิตมันปรุงแต่งขึ้นมา เขาเรียก จิตตสังขารจิตปรุงแต่งจินตนาการขึ้นมา สร้างมโนภาพขึ้นมา เขาคิดขึ้นมาเองของเขา ทั้งๆ มันไม่มี เข้าใจ บ่

ป่าช้านี่ มันไม่มีอะไรเลย เขาตาย วิญญาณเขาหนีตั้งแต่อยู่ที่บ้าน แล้ว ตั้งแต่ยังไม่เอามาเผาเลย มันเป็นอย่างนี้นะ

โอวาทธรรม
#หลวงปู่เปลี่ยน #ปัญญาปทีโป









#การเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมเนี่ย #ถ้าผู้ที่หวังผลจริง ๆ #ทำเฉพาะตามคอร์สไม่ได้หรอกนะ

ทำไมถึงว่าไม่ได้ การจัดคอร์ส พอเราไปปฏิบัติ ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ต่างคนต่างคึกคักเลยนะ ตัวเตรียมอะไรต่ออะไรไป พอไปถึงเข้าคอร์สปุ๊บ อยู่เนสัชชิก อดหลับอดนอน อดอาหาร เอาจริงเอาจัง ทุ่มเท ๗ วันแทบจะเป็นไข้ พอกลับมาบ้านเลิกออกจากคอร์ส ทิ้งเลย นอนเลย แล้วพอไปอีกสัก ๒-๓ เดือน ไปเข้าคอร์สอีก ๔-๕ วัน โอ้ยเอาจริงเอาจัง อดหลับอดนอน อดอาหารเป็นไข้ เป็นอะไรไม่คำนึงถึง พอเลิกจากคอร์สก็ปล่อยเลย อ่อนปวกเปียกไปเลย

พอทำไป เอ้ เราก็เข้าคอร์สมาบ่อยแล้ว ก็เข้าคอร์สนั่นคอร์สนี่ ยังไม่เห็นเราได้อะไรมาเลย ผลสุดท้ายก็ล้มเหลว

#กิเลสมันไม่ได้มีคอร์สเลยนะ

คือเราเข้าคอร์สมันเหมือนกับทำแบบไฟไหม้ฟาง ไฟไหม้ฟางลุกฮือไปแป๊บเดียวแล้วก็มอด ไม่ได้อะไรเลย แต่การปฎิบัติต้องให้ปฏิบัติแบบไฟไหม้ขอน ฝนตกแดดออกก็ลุกอยู่เรื่อย

#กิเลสมันไม่เคยหยุดนิ่งนะ
#การปฎิบัติธรรมจะหยุดนิ่งได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปกดดันตัวเองว่าฉันปฏิบัติแล้วจะต้องได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ มันกดดันตัวเอง เลยมีแต่ความเครียดในการปฏิบัติ

ตราบใดที่ถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องการความสุข เราไม่ต้องการความทุกข์ เพราะความทุกข์นี่ ตัวกิเลสเป็นตัวสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์

ตราบใดเรายังเป็นปุถุชนมีกิเลสครอบงำอยู่ในหัวใจ เราจะไม่หยุดนิ่งในการปฏิบัติ ปฏิบัติเหมือนไฟไหม้ขอนไปเรื่อย ๆ

เวลามีโอกาสเข้าคอร์ส เราก็ไปเข้าคอร์ส เหมือนกับว่าโดยปกติธรรมดา เราบังคับตัวเราเองไม่ได้ เพราะเราเคยชินไปในฝ่ายกิเลส ไปในฝ่ายความขี้เกียจขี้คร้าน ความมักง่ายอะไรต่ออะไรของเรา พอเราตั้งใจว่า เออ วันนี้เราจะไปสวดมนต์ไหว้พระนะ จะนั่งภาวนาให้ได้ครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง พอถึงเวลาไปนั่ง โอ้ย นั่งภาวนาไม่ไหว จะสวดมนต์หน่อยมันขี้เกียจล้มเหลวไปเลย ไม่รู้ตัวเลย พอตั้งใจเอาจริงเอาจัง พอมีอะไรมาไอ้นั่นไอ้นี่หน่อยก็ล้มเหลวไปแบบหัวใจไม่มีกระดูกเลย มันล้มเหลวไปโดยว่าตัวเองไม่สามารถบังคับตัวเองได้ มันก็เลยล้มเหลวไปในการปฎิบัติธรรม แต่เวลาไปเข้าคอร์ส เราถือเป็นกรณีพิเศษที่จะมาฝึกเป็นตัวอย่างแก่เรา เราไปเข้าคอร์สเพราะว่าเราไม่สามารถบังคับตัวเราเองได้ เราไม่สามารถฝืนความขี้เกียจขี้คร้านของตัวเราได้ เราก็หาโอกาสไปเข้าคอร์ส พอเข้าคอร์ส หมู่คณะเขาว่าวันนี้เราไปนั่งภาวนา ไปเดินจงกรม เราจะขี้เกียจขี้คร้าน เราจะไปเหลวไหล เราอายหมู่อายเพื่อน ผลที่สุดไปฝืนไปเดินจงกรมตามเพื่อน ไปนั่งภาวนาตามเพื่อน ไปสวดมนต์ตามเพื่อน เอาหมู่เพื่อนจูงไป ๆ พอมันได้หลักได้เกณฑ์บ้าง เวลาหมดคอร์สเราก็ปฏิบัติของเราไปเรื่อย อย่าไปล้มเหลว อย่าไปเลิก คือคอร์สนี่เป็นครั้งเป็นคราวที่มาจูงเรา แต่ไม่ใช่ว่าพอเอาจริงเอาจังแค่ไปเข้าคอร์สแล้วก็ล้มเลิก เข้าคอร์สแล้วก็ล้มเลิก มันไม่ได้อะไร

เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรมอย่าไปปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง ให้ปฏิบัติแบบไข่ไฟไหม้ขอน ไปดูในป่าไฟไหม้ขอนไม้ ฝนตกขนาดไหนมันยังลุก มันมีขี้เถ้ากลบไว้ มันก็คุของมันอยู่เรื่อย แดดออกมันก็คุโชนของมันอยู่อย่างนั้น ไฟไหม้ขอนมันไม่ดับนะ ส่วนไฟไหม้ฟาง ลุกฮือเหมือนจะท่วมฟ้าแป๊บเดียวเท่านั้นมอด ต้องเป็นแบบนั้นแหละ

#พระอาจารย์สุธรรม #สุธัมโม









“ทุกสิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีอะไรถาวร
จะต้องเสื่อม โดยธรรมชาติธรรมดา
ทุกอย่าง ฉะนั้น จึงไม่ควรไปสนใจ
กับสิ่งที่ไม่ถาวรเหล่านี้

คนจะสวยจะงาม ก็ต้องแก่ และตาย
กุหลาบสวย ก็ต้องโรย ดอกบัวงาม
ก็ต้องร่วง มะม่วงสุกหอม ก็ต้องมีแมลงกิน

สิ่งที่ถาวร และไม่ตายนั้น คือ
ดวงจิตอย่างเดียว สิ่งนี้ จึงควรสนใจ
และรักษาให้มาก”

ท่านพ่อลี ธัมมธโร










"เมื่อเราแยกดีชั่วออกจากกันไม่ได้
เหมือนไม่อาจแยกกายกับใจ
ก็ควรเพิ่มปริมาณความดีให้มากขึ้น
ต้องเอาดีออกมาให้เขาเห็น
มิใช่เอาเด่นออกมาอวด
ดีอวดได้ แต่อย่าอวดเด่นเลย"

หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO