นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 10:54 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 29 ส.ค. 2021 5:47 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
ความดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม
ทุกอย่าง #มีกาลมีเวลาหมด จะให้ผลตอนไหน
ก็แล้วแต่ “เหตุปัจจัย” ที่เราทำ เราสร้างขึ้น

พวกเราก็เหมือนกัน ยังไม่พอ
ก็สร้างกันไปก่อน บำเพ็ญไปก่อน

ฝึกฝน อบรมจิตใจตนเอง
สร้างคุณงามความดี ให้เกิด ให้มีขึ้นแก่ตน
ไม่ได้ทำเพื่อใคร #ทำเพื่อตนเอง

(พระธรรมคำสอน…หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล)







พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนและย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าอยากสบายในอนาคต ก็ควรทำบุญให้มากๆ ไม่ใช่เฉพาะบุญจากทรัพย์ แต่รวมถึงบุญในการรักษาศีล และบุญในการทำสมาธิภาวนาด้วย เหตุผลก็คือ จะได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ

การให้ทาน ส่งผลให้ มีทรัพย์มาก ทำอะไรก็รวย

การรักษาศีล ส่งผลให้ รูปร่างหน้าตาดี คนรักคนชอบ มีความสุขกายสบายใจ

การเจริญภาวนา ส่งผลให้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีความคิดสร้างสรรค์

หรือบางคนอาจจะคิดว่า ไม่ได้หวังมนุษย์สมบัติ บุญต่างๆเหล่านี้จึงไม่ต้องการ แต่คนที่เขามีปัญญาจริงๆ สิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณงามความดีนั้น เขาทำหมดนั่นแหละ แต่ไม่หวังผลตอบแทนเท่านั้นเอง

ดังนั้นถึงแม้เราจะปรารถนาพระนิพพาน ก็ควรทำบุญให้ครบถ้วนด้วยความศรัทธา เพราะเราจะทราบได้อย่างไรว่า เราจะทำตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ในชาตินี้ หากเราเป็นคนประมาทไม่ทำบุญไว้ก่อน ชาติต่อๆไปนั้นลำบากแน่นอน

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าภูเขาหลวง จ.นครราชสีมา








…ความรู้สึกสุขหรือความรู้สึกทุกข์
เกิดขึ้นทันที ในขณะที่
“ มีการทำดี หรือทำไม่ดี “

.ทำดีทำบุญก็เกิดความสุขใจขึ้นมา
ทำชั่วทำบาปก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

.ความสุขใจและความทุกข์ใจ
“ จะสะสมเก็บไว้อยู่ในใจ “

.และจะแสดงผลออกอีกครั้งหนึ่ง
เวลาที่..” ร่างกายนี้ตายไป “.
………………………………………..
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒








#หมู่เปรต_๕๐_แสน

“เมื่อคืนนี้ใกล้แจ้งมีหมู่เปรต ๕๐ แสน มาหา..ถามเขาว่า ทำไมจึงรู้ว่าอาตมาอยู่ที่นี่ ”

เปรต : มาตามแสงสว่างของหลวงปู่

หลวงปู่ : พวกสูมากด้วยกันเท่าใด ?

เปรต : ๕๐ แสน

หลวงปู่ : ต้องการอย่างใด ?

เปรต : มาขอให้ช่วยเหลือ เพราะเดี๋ยวนี้ ตกนรกขุมแห้งร้อน เหมือนกับยืนตากแดดบน
พะลานหินกว้างใหญ่

หลวงปู่ : กรรมอันใด ?

เปรต : ไม่เชื่อฟังพ่อเจ้า เมื่อครั้งหลวงปู่เป็นพ่อเจ้าเศรษฐีน้ำข้อนเมืองงาย บัดนี้กรรมเบาบางแล้ว จึงได้แสงสว่างจากหลวงปู่ส่องไปถึง

หลวงปู่ : เอ้า.... ตั้งใจให้ดี อาตมาไม่มีอะไรจะให้ จะได้ก็เมตตาธรรมนี้ล่ะ

"จากนั้นก็เมตตาภาวนา เจริญพรหมวิหารอยู่
๓ รอบ จึงได้เป็นเสื้อผ้า อาหารตกลงจากฟ้าให้หมู่เปรตเหล่านั้น"

แล้วจากนั้นพวกเขาก็กราบไหว้ลาไป ผู้ได้เกิดก็มี ผู้ยังต้องเสวยวิบากกรรมต่อไปก็มี อย่างมากก็เกิดเป็นมนุษย์ทุคตะ เป็นสัตว์มากกว่า

กรรมของเปรตหมู่นี้เป็นเพราะเขาไม่ยอมทำงานให้เมื่อคราวพาเขาสร้างวัด แล้วว่าจ้างเลี้ยงดูพวกเขาให้บำรุงดูแลวัดอยู่น้ำข้อน เมืองงาย เมืองฝาง (จ.เชียงใหม่)

เราไปตรวจทีเขาก็ทำที เราไม่ไปเขาก็ไม่ใส่ใจ ละเล่นมัวเมากันไปตามเรื่อง มันสืบต่อกันมาตกทอดถึงลูกถึงหลาน อ้างแต่ว่าเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้อง แต่บาปกรรมไม่เป็นญาติกับใคร จึงเป็นกรรมที่ตกทอดกันมาจนมากถึง ๕๐ แสนคน

การเกี่ยวข้องกับวัดวาอารามนี้มิใช่ บุญก็ได้ ไส้ก็เต็ม มิใช่อย่างนี้ เพราะว่าเขาสละมาบำรุงศาสนา มิใช่สละให้ผู้คนญาติโยมต้องเหลือเดนจากพระสงฆ์แล้วคนจึงเอาได้

เรื่องการสงเคราะห์เจตภูติ ภูมิอื่นๆ เช่น พวกพรหม หมู่เทวดามาขอฟังเทศน์ธรรม หรือหมู่ครุฑ นาค ยักษ์ พวกหิมพานต์ มาขอฟังเทศน์ธรรม เปรต ผี มาขอให้ช่วยเหลือ ก็มีมาก จากที่องค์หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังนับลำดับมาหลายปี...

“..แต่เริ่มเป็นพระมาโน่น ไม่รู้อย่างใด มันได้โปรดสัตว์โลกทุกหมู่เหล่า มิได้เว้นมิได้ขาด มิใช่แต่หมู่มนุษย์ผู้คนอย่างเดียว มิใช่อวดอ้างหรอก มันเป็นของมันมาอย่างนี้ ใครจะว่าบ้า ก็บ้าเสียเราคนเดียวก็พอ..”

(#องค์ท่านมักจะพูดสำทับตอนท้ายเช่นนี้เสมอถ้าหากได้เล่าเรื่องในทำนองวันนี้)

#ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม_มหาปุญโญ









“…การทำความดีเพื่อให้คนรัก ที่สำคัญมี 2 ทาง คือ ทำความดีภายนอก 1 ทำความดีภายใน 1 …
การทำความดีภายนอกได้แก่ การทำบุญให้ทานรักษาศีล ตั้งใจสู้งานเพื่อครอบครัว ขยันทำงาน เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฯลฯ …
การทำความดีภายในได้แก่ การเจริญสติบารมี การเจริญปัญญาบารมี ให้เด็ดขาดเกรียงไกร เพื่อก้าวขึ้นสู่บารมีธรรม ที่สูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป …
นี้คือคุณงามความดีที่ลูกหลานควรทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุข แก่ตนเองและครอบครัว และพ่อแม่พี่น้อง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต”

คำสอน หลวงปู่ไม อินทสิริ








#รอดได้เพราะธรรม

#พระกรรมฐานกับการออกธุดงค์เป็นของคู่กันก็ว่าได้....
".. โดยเฉพาะสมัยก่อนซึ่งยังมีป่าเขามากมาย อันที่จริงคำว่า “#ธุดงค์” หมายถึงข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส ส่งเสริมความมักน้อยและสันโดษ มีทั้งหมด ๑๓ ข้อ หนึ่งในนั้นคือ การอยู่ป่าเป็นวัตร แต่จะไม่ถือข้อนี้ก็ได้ เช่น บางท่านฉันวันละมื้อ ฉันในบาตรอยู่ป่าช้า ไม่นอน ข้อวัตรเหล่านั้นก็ถือเป็นธุดงค์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลายท่านเห็นความสำคัญของการจาริกไปอยู่ป่าเพื่อบำเพ็ญธุดงควัตรข้ออื่น ๆ ให้เข้มงวดขึ้น เมื่อทำจนกลายเป็นประเพณี.. "

คำว่า “#ธุดงค์” จึงมีความหมายหดแคบลง
จนกลายเป็นการเดินจาริกในป่า หรือจาริกไปในที่ต่าง ๆ ที่ลำบาก สมัยก่อนการธุดงค์ในป่าเต็มไปด้วยภยันตราย ทั้งจากสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ งูพิษ และจากเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะมาลาเรีย มีพระจำนวนไม่น้อยที่ทิ้งชีวิตไว้ในป่า ส่วนที่รอดมาได้ก็มักมีเรื่องเล่า..!!
ที่น่ากลัวชวนครั่นคร้าม แต่ก็มิอาจสกัดกั้นพระกรรมฐานที่มุ่งบำเพ็ญเพียรโดยพร้อมเอาชีวิตเข้าแลก

หลายท่านได้ประสบพบภัยต่าง ๆ อย่างไม่คาดคิด แต่ก็ได้อาศัยเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องฝึกฝนจิต ช่วยเสริมสร้างบารมีธรรมของท่านให้กล้าแกร่งขึ้น

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ที่นิยมจาริกในป่าแต่ผู้เดียว คืนหนึ่งขณะที่ท่านเดินจงกรมในป่าจังหวัดลำปาง ได้ยินเสียงช้างร้องดังสนั่นและหักกิ่งไม้มาตลอดทาง ตรงมายังท่าน ท่านจึงรีบออกจากทางจงกรม และจุดเทียนปักรอบ ๆ ทางจงกรม เผื่อจะช่วยยับยั้งช้างไม่ให้มาทำร้ายท่าน จากนั้นท่านก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขออำนาจพระรัตนตรัยคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย

เมื่อช้างป่ามาถึง ท่านเดินจงกรม จิตกำหนดอยู่กับพุทโธอย่างเดียว ไม่สนใจช้าง ตอนนั้นท่านเตือนใจตนเองว่า “ขอเพียงให้ใจเราอยู่กับพุทโธเป็นพอ เมื่อเวลาจิตจะดับด้วยถูกช้างกระทืบจะได้ไปสู่สุคติ หรือไม่ก็บรรลุนิพพานไปเลย”

ช้างป่าเห็นท่านเดินจงกรมอย่างสงบ ก็ยืนนิ่ง ไม่เข้ามาทำอะไรท่าน ครั้นแสงเทียนเริ่มดับไปทีละดวง ช้างป่าก็หันกลับไปทางเก่า แล้วไม่หวนกลับมาอีก ส่วนหลวงปู่ขาวก็ยังคงเดินจงกรม จิตเป็นหนึ่งเดียวกับพุทโธ พักใหญ่ท่านก็ออกจากสมาธิ

หลวงปู่ขาวได้พูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“#ได้เห็นความอัศจรรย์ของจิตและพุทโธประจักษ์ในคราวนั้นอย่างลึกซึ้งมาก"

นับจากนั้นมาแล้วทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นว่า ถึงจะเป็นเรื่องอะไรเหตุการณ์ใดก็ตามที ถ้าจิตกับพุทโธได้เข้ากันสนิทสนมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยหลักธรรมชาติแล้ว อะไรก็ไม่สามารถที่จะมาทำอันตรายเราได้อย่างแน่นอน”

#หลวงปู่บุดดา_ถาวโร เป็นพระกรรมฐานรุ่นเดียวกับหลวงปู่ขาว และนิยมการธุดงค์ในป่าเช่นกัน เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม วันหนึ่งขณะบำเพ็ญสมาธิภาวนาในถ้ำ ท่านได้กลิ่นสาบแปลก ๆ เกิดความกลัวขึ้นมา ไม่กล้าลืมตาดูว่าอะไรอยู่ข้างหน้า ตอนนั้น เหงื่อแตกจนชุ่มตัว ต้องตั้งสติอยู่นานจนจิตเริ่มสงบ แล้วบอกกับตัวเองว่า “สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็เมื่อจะได้เห็น ทำไมกลับจะกลัวอะไรเล่า เอาเถอะถ้าจะตาย ถึงไม่ลืมตาดูก็ต้องตายเหมือนกัน หนีไม่พ้นแน่ ถ้ำแคบ ๆ อย่างนี้ถึงหลับตาก็วุ่นวายใจ สู้ดูให้รู้แก่ตาเสียเถิด”

แล้วหลวงปู่ก็ลืมตาดู สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือ “งูใหญ่ตัวยาวหลายวา หัวขนาดเกือบเท่าลูกมะพร้าว นัยน์ตาแดงฉาน แลบลิ้นแปลบ ๆ ชูคอจ้องอยู่เบื้องหน้าแค่วาเดียว”

หลวงปู่ตกตะลึง นั่งตัวแข็ง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเจองูยักษ์ ขณะที่ท่านคิดหาทางออกอยู่นั้น ก็พลันระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย สติกลับคืนมา แล้วก็หลับตา ตั้งใจว่าพร้อมอุทิศร่างนี้ให้แก่งูยักษ์ จิตจึงปล่อยวาง ไม่มีความอาลัยในชีวิตนี้ต่อไป งูยักษ์นิ่งอยู่พักใหญ่ ไม่ทำอะไรท่าน เมื่อท่านลืมตา งูยักษ์ก็หายไปแล้ว

".. ในยามที่อันตรายมาประชิดตัว หากตื่นตระหนก ลืมตัว คิดแต่จะต่อสู้ปกป้องชีวิต กลับเป็นผลร้ายแก่ตัวเอง ยามนี้ดีที่สุดคือการตั้งสติ ทำกายและใจให้สงบนิ่ง แนบแน่นในพระรัตนตรัยพร้อมตาย ไม่หวงแหนชีวิต ปล่อยวางทุกสิ่ง บ่อยครั้งความกลัวตายกลับเร่งความตายให้มาถึงเร็วเข้า แต่ทันทีที่พร้อมตาย กลับรอดพ้นจากความตาย.. "

#จากหนังสือ_ลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล









คนอื่นเขาไม่ดีก็ช่างเขาปะไร
เราจะไปเดือดร้อนทำไมกับความไม่ดีของคนอื่น
ใครเขาจะมาว่าอะไรตัว คำพูดนั้นออกจากปากใคร
ก็เข้าหูคนพูดก่อน เราจะไปรับทำไม
ถ้าเราเป็นคนดีแล้วเราไม่ต้องไปรับรู้เจ็บร้อนอะไรใช่ไหมล่ะ
รักษาความดีของเราไว้ให้สงบแน่วแน่มั่นคง
น่านแหละเรียกว่าเราดีแน่จริงละ ใช่ไหม หือ
.............................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ "เรื่องที่คุยกันกับลูกศิษย์”









"พระพุทธรูป"

พระพุทธรูปนี้ คือ รูปของพระพุทธเจ้า
หรือรูปนี้เป็นรูปของครูบาอาจารย์ของเรา
เราเคารพนับถือคุณงามความดีของท่าน
แล้วเราทำดีอยู่ตลอดเวลาเห็นรูปนั้น
นึกถึงคุณของท่าน เพราะท่านทำดีอย่างนี้ ๆ ท่านจึงได้เป็นอย่างนี้ จึงได้เป็นรูปอย่างนี้ แล้วเราก็ทำ
ความดี ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อเราทำความชั่ว เรานึกถึงรูป นึกถึงคุณของท่านแล้วเราก็จะละอายใจ
ละความชั่วอันนั้นเสีย การนับถือเช่นนั้น
ไม่มีเสื่อมตลอดเวลาเลย เราจะทำความดี
ตลอดเวลา แต่จะให้อยู่ยงคงกระพันนั้นไม่ใช่ ให้เข้าใจโดยนัยที่อธิบายมาให้ฟังนี้..

..จากหนังสือ เทสโกวาท..
..หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี..







ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่เคยตายจากศิษย์

ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่เคยตายจากศิษย์ ไม่ว่าวิชานั้นจะเป็นวิชาทางโลก หรือทางธรรม ตราบเท่าที่ผู้เป็นศิษย์สามารถรักษาวิชาการของท่านเอาไว้ได้
เพราะความเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์ในแขนงใดก็ตาม วิชานั่นแหละ คือคุรุกายที่แท้จริง

รูปธรรมสังขารเป็นเพียงเครื่องอาศัย เพื่อสื่อสารการเรียนรู้สืบทอด เหมือนคัมภีร์ใบลานที่ใช้บันทึกตำราวิชาต่าง ๆ เท่านั้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า

"---ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต---"

แม้พระองค์จะปรินิพพานจากพุทธบริษัทไปนานหนักหนา กี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม ผู้เหินห่างธรรมวิชาของพระองค์ ย่อมเป็นผู้ที่ห่างไกลที่จะได้พบพานเข้าใกล้

ผู้ที่ฝักใฝ่หมั่นเพียรเจริญงอกงามในวิชาของพระองค์ท่านเท่าไร ก็ประหนึ่งเสมือนได้พบได้เห็น ได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปเพียงนั้น

เมื่อคิดถึงครูบาอาจารย์ จงหมั่นเพียรในวิชาการของท่าน จะไม่มีการพลัดพรากจากกันชั่วกาลนาน ระหว่างศิษย์กับอาจารย์

เสียงเตือน เสียงพร่ำสอนพร่ำบ่น จะเป็นเสียงทิพย์ แว่วอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันตาย

เหมือนที่ดังที่ พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี ได้เคยกล่าวแก่เราไว้ว่า

"---สิ่งที่ตายมันมี แต่สิ่งที่ไม่ตาย มันก็มีนะโยม
---มันตายแต่กายสังขาร แต่จิตใจมันไม่ตาย---"

ความเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ มิได้อยู่ที่ความอยาก ความปรารถนา หรือความศรัทธาอย่างเดียว ทั้งในวิชา และในตัวบุคคล

หากต้องอาศัยบุพเพสันนิวาสแต่หนหลังหลาย ๆ ชาติที่สะสมร่วมกันมา ให้ได้มาเจอะเจอ อุปถัมภ์ค้ำชูเกื้อกูลกันในสรรพวิชาและความผูกพันทางจิตใจ

บางคนศรัทธาในท่านหนึ่ง จริง ๆ เข้ากลับไปเป็นศิษย์อีกท่านหนึ่ง บางคนมิได้มีความเลื่อมใสในตัวบุคคลแม้แต่น้อย มิได้รู้จักมักจี่ แต่ด้วยบุญกุศลที่ผูกพันในอดีต ส่งให้มีอุปการะแก่กันอยู่ทุกภพชาติ

ภาพและบทความจากหนังสือ คิดถึงครู
เขียนโดย อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต

๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ตรงกับวันธัมมัสสวนะ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙
และเป็นวันคล้ายวันเกิดครบอายุ ๗๘ ปี
อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม)
ร่วมติดตามฟังเสียงพระธรรมเทศนาตอนต่างๆ หรืออ่านธรรมเทศนาและเกร็ดประวัติพระเดชพระคุณ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ที่
แฟนเพจ : เล่าเรื่อง หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม
เล่าเรื่อง หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม









หลวงปู่ขาว อนาลโย
แนะนำพระภิกษุรูปหนึ่ง
ที่กำลังจะหมดลม..

ตั้งใจดี ๆ นะ​ อารมณ์อดีต อนาคต ปล่อยวางให้หมด เอาปัจจุบันธรรมพิจารณาทุกข์ ทุกลมหายใจเข้าออก

เกิดก็ทุกข์ ตั้งอยู่ดับไปก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์เท่านั้น​ ในโลกทั้งสามนอกจากทุกข์ไปแล้ว ไม่มีนั่นแหละ

มีสติปัญญากำกับจิตให้รู้​ทุกข์อย่างนั้น มันจะได้เกิดความเบื่อหน่ายภพ ชาติ สังขาร(ร่างกาย)

เมื่อ..จะสิ้นลมนั้น จิต​มันจะรื้อถอนเครื่องร้อยรัดอวิชชา ตัณหา สังโยชน์ ปัจจัยให้หมดเสียสิ้นในขณะนั้น..

พระอริยเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาลโน้นท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์ในขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็มาก ได้สำเร็จอรหันต์ในระยะที่จะสิ้นลมหายใจ​ก็นับไม่ถ้วน

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
#วัดถ้ำกลองเพล









#ทางในวัฏสงสารมันไกลมากสำหรับผู้อ่อนแอ

สำหรับผู้ที่เข้มแข็งเขามีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ สมดุลแล้ว เขาก็เดินไปได้ไม่ไกล

สำหรับคนที่ไม่มีพละกำลังไม่สม่ำเสมอ หนทางในวัฏฏะนั้นไกลมาก

#โอวาทธรรมคำสอน
#หลวงปู่เอียน #ฐิตวิริโย







มันมีค่ามหาศาล ตอนที่เรานั่งภาวนา เอากิเลสออกจากหัวใจนี่แหละ

หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร







อยู่ในสังคมใดก็ตาม แม้เราจะพูด เราก็รักษาการพูดของตัวเอง แสดงออกก็แสดงออกในทางที่ดีให้มีสติ..ให้มีปัญญา..

ตอนที่เราแสดงออก.. อย่าให้มันไปกระทบกับคนอื่น แม้คนอื่นเค้าจะไปกระทบเรา แต่ถ้าจิตของเรามีธรรมะ เหมือนกับไม่กระทบ มันเป็นอย่างนั้น...

คนที่ปฏิบัติธรรมมันต้องคุ้มครองตัวเองมีเกราะป้องกันตัวเองคืออย่างนี้ คือสติปัญญาคุ้มครองตัวเองอย่างนี้ นี่แหละหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า..

เราปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติหาทางที่พ้นทุกข์..ไม่ใช่หลงความสุขอย่างเดียว.. ความสุขนี้ถ้ามันไม่พ้นทุกข์แล้ว มันจะสุขได้อย่างไร

พระธรรมเทศนา

#องค์หลวงปู่ไม_อินทสิริ
#วัดป่าเขาภูหลวง

อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







#ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด_จงรู้จักตัวเอง

ด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมัน เกิดขึ้นและดับไป

#มันก็ง่ายๆ_อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น

เหมือนกับว่า ท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่

เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมัน และเอาชนะมัน โดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ

#จงอยู่กับปัจจุบัน

อย่าสนใจกับระยะทางของมัน หรือกับจุดหมายปลายทาง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้

ในที่สุด จิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

#ทุกสิ่งทุกอย่าง_จะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง

#หลวงปู่ชา #สุภทฺโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO