นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 24 เม.ย. 2024 7:28 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สมมุติที่ถูกปล่อยวาง
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ส.ค. 2021 6:11 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4537
“การแสวงหาครูบาอาจารย์ก็เพื่อดูข้อวัตรปฏิบัติ กิริยามารยาทการกระทำของท่านว่า เราจะเอาจุดไหนของท่านมาใช้ได้บ้าง เอาทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ธรรมะจากครูบาอาจารย์ เราต้องดูความขยันหมั่นเพียร การตื่นดึกไม่ลดละความพากเพียร แต่ยุคก่อนไม่เหมือนยุคสมัยนี้ มันไม่มีปลิโพธกังวลมาก คือต่างคนต่างอยู่ วัดใครวัดมัน ไม่ค่อยไปมาหาสู่เท่าไร ไปก็ไปคารวะ ถึงเทศกาลเข้าพรรษาจะไปคารวะขอขมาโทษซึ่งกันและกัน”

หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
หลวงปู่บุญจันทร์ จันทสีโล
ท่านทั้งสองเคยอุปัฏฐากองค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ










จิตที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว
ท่านผู้ต้องการพ้นทุกข์โดยด่วนในปัจจุบันชาติ ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมแล้ว จะไม่เอื้อเฟื้อ ไม่อาลัย ไม่รัก ไม่ปฏิบัติเนือง ๆ ยิ่ง ๆ ในพระอานาปานสติลมหายใจออกเข้า แล้วนั่งคอยนอนคอยปรารถนาอยู่เฉย ๆ ย่อมเป็นไปได้ยาก และลมออกเข้ายาวหรือสั้นจะไม่ใช่กายอย่างไร ก็กายานุปัสสนานั่นเอง และก็ธาตุดินน้ำไฟลมที่สมดุลกันอยู่นั้นเอง จึงพอหายใจออกเข้าได้

ลมหายใจออกเข้า บางทีเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อุเบกขาบ้าง ก็เวทนานุปัสสนานั้นเอง

ลมหายใจออกเข้า เห็นจิตที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วหรือกลาง ๆ ก็จิตตานุปัสสนานั้นเอง

ลมหายใจออกเข้า เห็นความไม่เที่ยงแห่งกายสังขาร จิตสังขารก็ธรรมานุปัสสนานั้นเอง

(ไม่เรียงแบบก็ได้ไม่เป็นไรดอก )

แล้วกายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ยกขึ้นสู่เมืองขึ้นของไตรลักษณ์ให้กลมกลืนกันเป็นเชือกสามเกลียว เป็นเป้าอันเดียวกันไม่ต้องแยก ไม่ต้องเรียง ไม่ต้องขยาย เห็นอยู่ ณ ซึ่งหน้าสติ ซึ่งหน้าปัญญา พร้อมกับลมออกเข้า ไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลัง ติดต่ออยู่ พิจารณาอยู่ไม่ขาดสาย...

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต








ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
การพิจารณา ไปในทางที่ถูก
ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกรรมฐาน
แต่ก็สามารถจะคลี่คลายกิเลสได้

เช่น เราพิจารณาเรื่องกฎแห่งกรรม
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน
#รู้จักให้อภัย รู้จักละความโกรธ
หรือว่าการ #คิดให้เป็นรู้จักคิดให้ถูก
ในแต่ละเรื่องที่เกิด กิเลสประเภทนั้น

คิดไม่ถูก มันก็มาโกรธ มาเกลียด เช่น
ทำไมมัน ทำเสียงดังอย่างนั้น
ทำไมคนมันคุยกัน ทำไมเครื่องจักร
ทำไมรถมันวิ่งไว วิ่งเร็ว เราก็จะโกรธ

มาปฏิบัติธรรม ทำไมเขามาคุยกัน โกรธ
แต่ถ้าเราคิดไปในเชิงบวก
คิดไปในแง่พวกนั้น เขาก็ทำงานของเขา
เขาก็ต้องทำงาน เขาก็ทำหน้าที่ของเขา
#เรามีหน้าที่ของเราที่ต้องฝึกจิตใจให้ละให้วางต่างหาก ไม่ใช่เราจะไปทำอะไรให้เขาถูกใจเราทั้งหมด

#ในโลกนี้เราไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายให้ถูกใจ
หน้าที่ของเราก็จะฝึกจิตใจของเรา
ให้รับได้ กับสิ่งที่เราเผชิญอยู่

คิดไปในแง่ดี มันก็ดี คิดไปในแง่ไม่ดี
ทุกอย่างก็ไม่ดีไปหมด
#รู้จักคิดให้เป็น

มันไม่เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนั้น
มันได้อย่างนี้ ก็ดีเหมือนกัน
ที่อยู่อาศัยอะไรอย่างนี้ บางทีเราเจอสิ่งที่ไม่ดี
แต่มันก็คิดไปในแง่ดี ก็ดีเหมือนกัน

#ได้มีโอกาสฝึกตัวเองใจเราก็คลี่คลายลง
#นี่เรียกว่ารู้จักคิด คิดในเชิงที่
รู้จักละ คลายออก

แต่ว่าไม่ใช่คิดไปตลอด เราใช้เฉพาะกิจ
เทคนิคอะไรต่างๆ เฉพาะตนของแต่ละท่าน
เราต้องมีมาใช้

ถ้าดูว่าเป็นประโยชน์ ก็เอามาใช้ได้หมด
อะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์
แต่ที่สุดเราก็ต้องมาสู่การเจริญวิปัสสนา

ที่จะต้องเข้าใจตรงนี้ว่า...
#ที่สุดแล้วรู้สภาวะรู้รูปรู้นามรู้ปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฎอันนี้เป็นหัวใจ
เป็นหลักสำคัญ

ไม่ใช่คิดเรื่อยไปหมด มีสัมปชัญญะ
รู้สึกตัวไว้เสมอ

ถ้าเราทำอย่างถูกต้อง วางใจให้มันดี
จะไม่วุ่นวายใจ อย่างเช่น
เราเข้าใจว่าการปฏิบัติ จะต้องค่อยปลูกสร้างสติสัมปชัญญะขึ้นมา ฝึกซ้อมมันมากๆ
ฝึกซ้อมอยู่เรื่อยๆ มีชั่วโมงการฝึกมากขึ้นๆ
เขาจึงจะมีกำลัง

เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ มันก็จะรอเป็น
รอไปเรื่อยๆ ฝึกไป รอไปเรื่อยๆ
เพราะรู้ว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการฝึก
ไม่ใช่ฝึกปุ๊บ ก็จะเอาให้นิ่งเอาให้สงบ
พอไม่ได้อย่างใจ ก็จะวุ่นวายหนักกว่าเก่า
#รู้จักทำใจถูก

หรือบางครั้ง เราทำจิตใจได้ดี
#เราก็อย่าไปยึดว่าจะต้องดีตลอดมันเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เวลาเปลี่ยนไป
ก็ไม่ว่าอะไร ถ้าเราไปว่าอะไร
ทำไมเปลี่ยนไป ทำไมไม่ได้อย่างเก่า
พยายามหนักเข้า ไม่ได้อย่างเก่า
ก็ยิ่งคับแค้นใจหนัก

แต่ถ้าเรารู้จักยอมรับ เป็นอย่างนี้ธรรมดา
บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี ก็ไม่ว่าอะไร
ใจที่ไม่ว่าอะไรนี้ ใจมันก็ไม่ไปเติมกิเลส
จิตก็ค่อยรวมตัวของมันเอง

คืออย่าทำด้วยความยินดียินร้าย
#อย่าทำด้วยความทะยานอยาก
รู้จักปรับตัวเองสบายๆ

เพราะฉะนั้น วันแรกๆ เราจะพบความวุ่นวาย
ทั้งง่วง ทั้งฟุ้ง ทั้งสารพัดอย่าง
ยิ่งไปเร่ง บังคับ ก็ยิ่งตีกลับมาให้วุ่นวายหนัก

ให้ทำสบายๆ ยืนสบาย เดินสบาย รับรู้
#รู้สึกตัว ส่วนที่มันหลงไปลืมไป
ก็หลงไปลืมไป
ส่วนที่มีสติ ก็พยายามมีสติ ก็แข่งกันไปเรื่อยๆ

ที่สุดแล้ว #สติสัมปชัญญะเมื่อสั่งสมมากขึ้นเขาก็จะค่อยมีกำลังเอง
ผลก็จะชัดเจนขึ้นมา

วันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอความสุขความเจริญในธรรม
จงมีแก่ทุกท่านเทอญ
............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
‎ท่านเจ้าคุณ ‎พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา










ชีวิตเหมือนสะพาน
อย่าไปสร้างบ้านลงบนนั้น”

ชาวจีนเขามีภาษิตเตือนใจ
เขาว่า”ชีวิตเหมือนสะพาน”
หมายความว่าขึ้นไปแล้วก็ต้องลง
“ไม่ให้ไปสร้างบ้าน”
คือ ไม่ให้สร้างความยึดถือ
ในชีวิตร่างกายนี้
ว่าเป็นของแข็งแรงคงทนถาวร
หรือว่าเป็นตัวเราของเราขึ้นมา
เพราะสิ่งทั้งหลาย
มันเกิดขึ้น–ตั้งอยู่–ดับไป
ตามเรื่องของธรรมชาติ

ใครไปแอบยึดถือเข้าว่า
เป็นตัวเราของเราขึ้นมาแล้ว
ผู้นั้นก็ต้องเป็นทุกข์
เพราะการยึดถือนั้น

_ปัญญานันทภิกขุ _
(จากปาฐกถาธรรม
๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๗)









#การตายของเทวดานางฟ้า

ปกติ เวลาเทพบุตร เทพธิดา จะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจจะลงมาสร้างคุณงามความดี เพื่อยกภูมิของตนให้สูงขึ้น

แต่พอมาเป็นมนุษย์...จะลืมและหลงไปในอบายมุขในโลก ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่าที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก

บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่า สุขทุกขณะจิต .. ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรกก็แสนสาหัส ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว ... ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน

พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป

ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชม ทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมย์ทุกประการ คนรัก สัตว์เลี้ยง สิ่งของที่สะสม ห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น

เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง...

โอวาทธรรม
หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








"เมื่อจิตใจไม่คิดมากไปหลายเรื่องหลายราวแล้ว จิตก็จะมีความสุขเกิดขึ้น เหมือนกับบุคคลนี่แหละ ถ้าไม่ถือสิ่งของหลายอย่าง ถือแต่ของเบาๆ ก็เดินไปสบาย หรือปล่อยวางหมดเดินแต่ตัวเปล่าๆ ไป"

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป






"เขารักเขาชัง ช่างเขา
แต่เราต้องทำ ความดี
วิธีที่สร้างความดี ที่ง่าย
ที่สุดคือ.." “#หยุด”

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย








“เราเกิดมาได้อัตตภาพอันดี สมบูรณ์บริบูรณ์ พวกเราได้สมบัติมาดีแล้ว ควรใช้มันเสีย ใช้ไปในทางดี ทางดีคือการทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา ใช้มันเสียเมื่อมันยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่อย่าไปนอนใจ เมื่อวันคืนล่วงไป ๆ พระพุทธเจ้าว่า วันคืนล่วงไป ๆมิใช่จะล่วงไปแต่วันคืนเดือนปี ชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็ล่วงไป ๆ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ควรนอนใจ ได้มาดีแล้ว อัตตภาพอันนี้ ไม่เป็นผู้หนวกบอดใบ้บ้าเสียจริต สมบัติอันนี้คือมนุษย์สมบัติ มนุษย์ เราเป็นมนุษย์หรือเป็นอะไร คนเรอะ พระพุทธเจ้าว่า สิ่งอันประเสริฐก็ได้แก่คน บาปและบุญก็เรียก เราต้องเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ หิริ ความอายต่อความชั่ว โอตัปปะ ความสะดุ้งต่อผลของมัน ความชั่วมันจะให้ผลเราในคราวหลัง เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่ควรนอนใจ อย่าให้กาลกินเรา ให้เรากินกาล ให้เร่งทำคุณงามความดี...”

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ. ๒๔๓๑ -๒๕๒๖)








อาจารย์ชยสาโรบอกว่า ไม่มีใครมา บังคับ ให้เราทุกข์ ให้เราไม่พอใจได้ มีแต่เขามา ชวน ให้เราไม่พอใจ อยู่ที่ว่าเราจะรับคำชวนหรือเปล่า ถ้าเราทุกข์ก็แปลว่าเราไปรับคำชวน
ถ้าเราไม่พอใจก็เพราะเราไปรับคำชวนของเขา เป็นการเลือกของเราเอง เพราะฉะนั้น เราจะไปโทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเองว่าเราไปรับคำชวนเขาทำไม ไปรับคำเชิญเขาทำไม
เสียงที่ดังเพียงแค่ชวนให้เราไม่พอใจชวนให้เราหงุดหงิด ไม่ได้บังคับ แต่ถ้าเราหงุดหงิด เราไม่พอใจคือเรารับคำชวนคำเชิญของเสียงอย่าโทษเสียงต้องโทษใจเรา
ความทุกข์ใจของเราในเรื่องใดก็ตาม จะเป็นความโศก ความเศร้า ความพยาบาท ความอิจฉา ล้วนแต่มีสาเหตุหลักอยู่ที่ใจของเราเปิดช่องให้ความทุกข์มันเข้ามา หรือไปร่วมมือกับปัจจัยภายนอก ทำให้เกิดความทุกข์มาเล่นงานจิตใจหรือซ้ำเติมตัวเอง

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามือที่ไม่มีแผลจับต้องยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย ยาพิษเป็นอันตรายแต่ถ้ามือไม่มีแผลถูกมันสัมผัสอย่างไรก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามือมีแผลเมื่อไหร่จับยาพิษก็เป็นอันตราย เพราะฉะนั้นยาพิษไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยสำคัญคือมือที่มีแผล ใจของเราถ้ามีแผล เจออะไรเข้ามากระทบก็ทุกข์ เจอเสียงมากระทบหูก็ทุกข์ กายไม่เป็นไรแต่ใจเป็นทุกข์
คำด่าคำว่าก็เหมือนกันมันทำอะไรใจเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่เปิดช่องให้ หรือถ้าเราไม่ร่วมมือกับเขาด้วย บ่อยครั้งที่เราร่วมมือกับคนที่ด่าเรา ร่วมมือด้วยการไปเอาคำด่าเขามาทิ่มแทงใจตัวเอง เขาด่าเราเพื่อให้เราทุกข์ เราก็ทุกข์สมใจเขา เพราะเรายอมร่วมมือเขา มีส่วนร่วม

หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก บอกว่าคนที่ด่าเราก็ลืมไปแล้วว่าเขาด่าเรา เราก็ทุกข์มันเหมือนกับว่าเขาทิ้งเศษอาหารลงพื้นแล้ว เราก็ไปเก็บมาใส่ปากเรา หรือพูดให้หนักเหมือนเขาถ่มน้ำลายหรือเขาอ้วกลงพื้นแล้วเราก็ไปเก็บมาใส่ปากเราแล้วเราก็ท้องเสีย

คำด่าก็เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ใจเราก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม เวลาเราทุกข์เราต้องถามตัวเราเองว่า เราเอาคำด่าเขามาทิ่มแทงจิตใจทำไม เราต้องกลับมาโทษตัวเอง ใครทำอะไรเราไม่สามารถทำให้ทุกข์ใจได้อย่างมากก็ทุกข์กาย หรือข้าวของเสียหาย แต่ใจไม่ทุกข์ ถ้าทุกข์เมื่อไหร่ให้รู้ให้ว่า นั่นเป็นเพราะใจเราสำคัญ

ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล
#มองตัวเอง #ทุกข์ใจเกิดที่ใจตัวเอง #ทุกข์เกิดที่ไหนดับที่นั่น








…ถ้าไม่ปฏิบัติ
ไม่สะสมธรรมไว้ตั้งแต่บัดนี้

.เวลา “เกิดความทุกข์ใจ “ขึ้นมา
จะไม่มีอะไรดับได้.
………………………………………………….
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๖๑, กัณฑ์ที่ ๔๕๖
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖








“อย่าลงโทษผู้อื่นยิ่งกว่าตน
จงทำความดีใส่ตนไว้ให้มาก ๆ
นั่นคือผู้เดินตามรอยพระพุทธองค์...”

กระแสใจ...กระแสธรรม
๗ ก.พ. ๒๔
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ. ๒๔๓๑ -๒๕๒๖)






"..คน​เรา​เกิด​มา​แล้ว​
หนี​ความ​ตาย​ไป​ไม่​ได้​
มี​เกิด​ มี​ดับ​ เกิด​มา​แล้ว​
ให้​ท​ำ​ความ​ดี​ให้​เพียงพอ​

การ​ให้​ทาน​รักษา​ศีล​นี้​
ไม่​ใช่​ของ​ใคร​คน​ใด​คน​หนึ่ง​
คือ​ถ้า​ใคร​ทำ​
ก็​ได้​รับ​ผล​ด้วย​กัน​

อย่า​เลือก​เวลา​
การ​ท​ำ​ความ​ดี​ทำ​ได้​
ทุก​เวลา​สถานที่​
ทุก​เพศ​วัย​ ไม่​ว่า​จะ​เป็น​
คน​แก่​ คน​หนุ่ม​ คน​สาว​
ทำได้​หมด​

ให้​รีบ​ทำ​ความ​ดี​เสีย​
เดี๋ยว​จะ​ตาย​ก่อน​
ไม่ได้​ทำ​นะ.."

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​ผาง​ จิตฺตคุ​ต​ฺ​โต







"ยอดของความกตัญญูที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ก็คือการนำแสงธรรม เข้าสู่ดวงใจของบุพการี"

หลวงปู่ชา สุภัทโท






“ความวิตกกังวล เป็นเพียงแขก
ที่มาเยือนจิตใจไม่ใช่ผู้อาศัยประจำ
เวลามาก็ไม่ต้อง ต้อนรับหรือขับไส
เพียงแค่ รับรู้ว่าเป็นสักแต่ว่าความคิด
เป็นแขกที่เราไม่ยินดีต้อนรับ
ถ้าฝึกฝนจิตใจอย่างนี้
ด้วยความอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะสร้างอุปนิสัยทางใจที่เข็มแข็ง
ความวิตกกังวลจะจางหายไปเอง”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ







"อย่าหวังว่าจะได้รับความรักจากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณหมดทุกคน"

ท่านพุทธทาสภิกขุ




คำถาม :
ขอแนวคิดสำหรับผู้ที่ผิดหวังในความรัก จนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย

คำตอบ :
มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ เขาบอกว่าผิดหวังจากหนุ่มแล้วก็คิดแอบไปฆ่าตัวตายอยู่เรื่อย ๆ พ่อแม่ก็วิตกกังวล กลุ้มใจไปกับลูกสาวของตัวเองนั่นล่ะ ไม่ใช่สาวน้อยแล้วนะ ก็เป็นผู้ใหญ่พอตัวแล้ว แต่แอบจะไปคิดฆ่าตัวตายเพราะความผิดหวัง เราบอกว่า โอ้ย คนเราทำไมมันคิดตื้นเหลือเกิน ทุกวันนี้ที่มันว่าทุกข์เหลือเกินจนจะอยู่ไม่ได้ มันดูสิ ย้อนเข้ามาดู มันทุกข์ที่ตรงไหน ที่ร่างกายหรือที่จิตใจ ย้อนเข้าไปดูสิ ย้อนเข้ามาดูจะเห็นชัดเจนเลยว่า ที่ทุกข์อยู่เนี่ย จนจะมืดบอด จนจะอกแตกตาย มันทุกข์อยู่ที่ใจ มันไม่ได้ทุกข์ที่ร่างกายนะ มันทุกข์อยู่ที่จิตใจ แล้วเราจะไปทำร้ายร่างกาย มันจะไปหายทุกข์หรือ แล้วหนุ่มที่มันมาทำกับเราอย่างนั้น มันทำกับเราขนาดนั้นแล้ว เราว่าเราทุกข์เหลือเกิน แล้วทำไมเรามาทำกับตัวเราเองซ้ำเติมเข้าไปอีก มันใช่หรือ แทนที่จะไปทุบหัวมัน กลับมาทุบหัวเราเอง โอ้ย มันก็โง่ตายล่ะ เขาทำกับเราพอแรงแล้วนะ เรายังต้องมาทำกับตัวเราเองอีก ซ้ำเติมเข้าไปอีกหรือ

แล้วเราซ้ำเติมเราเองมันไม่ได้เดือดร้อนแต่เราเอง เห็นไหม พ่อแม่อยู่สบายไหมล่ะ ต้องมาวุ่นวายกับเราทั้งวันทั้งคืน ต้องมาคอยเฝ้ามาคอยดูแลจนแทบจะเป็นบ้าไปกับเรา คิดให้มันลึก คิดให้มันดีสิ ที่มันวุ่นวายก็เพราะว่าความคาดหวังของเราเองไม่ใช่หรือ เราหลอกตัวเราเองไม่ใช่หรือ เราหลอกตัวเราเองว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างนั้นไม่ได้นะ เพราะไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ตัวเองเลยอกจะแตกตาย ตัวเองหลอกตัวเอง ใครเขามาหลอกเรา ตัวเรามันหลอกตัวเอง เขาก็เป็นเขา เขาก็อยู่อย่างนั้นแหละ เราไปยึดเอาสิ่งที่เราหลอกตัวเราเอง มันโง่หรือมันฉลาด ดูสิ คนเรา ถ้าเพียงแค่ไม่มีแฟน หรือแฟนทิ้ง แล้วมันจะต้องไปตาย ป่านนี้มันไม่มีคนเหลือหรอก มันไปตายกันหมดแล้ว คนอื่นถูกแฟนทิ้งมากมายก่ายกองยังเห็นเขายิ้ม เขาเฮฮา เอ้อ โชคดี ที่มันทิ้งกูไป ถ้ามันไม่ทิ้งกู กูคงจะต้องแบกมันอยู่ต่อไป ใช่ไหมล่ะ เขาดีใจเสียอีก เขาทุกข์ที่ไหน

มองให้มันถูกสิ มันทุกข์อยู่ตรงไหน คันอยู่ตรงไหนเกาเข้าไปตรงนั้น คันที่หัวแต่ไปเกาที่หลัง มันจะหายคันไหมล่ะ อันนี้มันทุกข์อยู่ที่ใจไปวุ่นวายอะไรกับร่างกาย แล้วมันทุกข์อยู่ที่ใจมันทุกข์มาจากไหน มันทุกข์มาจากปรุงแต่งออกไปหลอกตัวเองนั่นแหละ เขาก็เป็นเขามันจะเป็นไปตามความคิดเราได้อย่างไร ตัวเราเองเรายังไม่เป็นดังความคิดของเราทุกอย่างเลย แล้วจะให้เขาเป็นไปตามความคิดของเราได้อย่างไร เขาก็เป็นเขา มันก็เป็นเรื่องของเขา เราก็คิดให้มันถูกสิ ปลดเปลื้องความคิดของเราเท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรเลย

ตอนนี้ตัวเราเหมือนไฝฝ้าหรือขี้ฝุ่นมันเลอะหน้าเรา เรามองไม่เห็น แต่คนอื่นเขาเห็น หรือถ้าเรามีกระจกมาส่องดูปุ๊บเราก็เห็น นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์ที่มันครอบงำเรามันเหมือนกับสิ่งที่มันเลอะหน้าเรา เราไม่เห็น ให้น้อมเอาธรรมะเข้ามาเป็นกระจกเอาหลักธรรมเข้ามาคิดพิจารณา มันจะเป็นกระจกทำให้เรามองเห็นสิ่งที่มันสกปรกโสโครก แล้วเราจะชำระมันได้ อย่าห่างธรรมะ เข้าใจไหมล่ะ ถ้ามีธรรมะแล้วมันเป็นกระจกทุกกาลทุกสถานที่ให้กับเราได้อย่างดียิ่งเลยแหละ

คนเราอย่าไปมองออกไปแต่ข้างนอก ให้มองย้อนเข้ามาที่นี่ บุคคลที่จะเข้าไปถึงธรรมะท่านบอกให้โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ นั่นแหละที่เราสวดธรรมคุณอยู่แล้ว โอปะนะยิโก น้อมเข้ามาที่นี่ มันเรื่องราวมันอยู่ที่นี่ทั้งนั้นแหละ โลกทั้งโลกมันไม่มีอะไรเลยนะ ถ้าจิตดวงนี้ไม่ไปเกาะเกี่ยวไม่ไปข้องแวะ มันจะมีอะไร มันก็มีแต่ได้มีแต่เสีย มีแต่เกิดกับดับ มันก็เป็นธรรมชาติของเขา เขามีอะไรเขาก็มีอยู่อย่างนั้น พอเกิดเขาก็เกิดพอดับเขาก็ดับ มันไม่มีอะไรเลย มีแต่จิตของเราหาเรื่องหาราวไปโกยเอาเข้ามา ทับถมเข้ามา แล้วก็ว่าอันนั้นมันหนัก หัวใจเจ้าของหนักไม่ดูใช่ไหม มันมีอะไรในโลกนี้หนัก มันไม่มีหนักสักอย่างถ้าเราไม่ได้แบก มันไม่มีอะไรทุกข์ถ้าเราไม่ไปยึด ดูเข้ามานี่ โอปะนะยิโก น้อมเข้ามาที่กายที่ใจเรา เราจะเห็นธรรมะเห็นสัจธรรม พอเห็นสัจธรรม เราก็มาชำระ เราก็มาแก้ไขได้ นี่คือการน้อมนำเอาธรรมะเข้ามาสู่ตัวเรา เข้าใจนะ

ชีวิตของพวกเราอย่าห่างธรรมะ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตของเรา ในรอบตัวของเรามีอะไรต่ออะไรหลายสิ่งหลายอย่างมากมายก่ายกองที่มาจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะเป็นสะพานเข้ามาถึงใจของเรา มันจะมาทับถมใจ มันจะมาสกปรกอยู่ที่ใจ ถ้าเรายึดเอาธรรมะไว้แล้ว เราจะมีเครื่องชำระหรือถึงกระทั่งตัดสะพานไม่ให้สิ่งเหล่านั้นไหลเข้ามาสู่จิตใจของเราได้ นั่นแหละคือความประเสริฐที่สุดของเรา เพราะฉะนั้น เราจะขาดธรรมะไม่ได้ เข้าใจนะ ถ้าเราปรารถนาความสุขต้องเป็นอย่างนั้น

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑






คําว่า “ตัว” ในสมมุติที่ถูกปล่อยวางโดยสิ้นเชิงนั้น เป็นตัวของพิษของภัย ตัวของกิเลสตัณหาอาสวะ ตัวกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เมื่อปล่อยธรรมชาตินี้ได้โดยสิ้นเชิงแล้วจึงไม่มีอะไรจะพูดต่อไปอีก ถึงเวลาก็ไปอย่างสบายหายห่วง

เมื่อชีวิตยังอยู่ก็อยู่ไป กินไป หลับนอนไป เหมือนโลกทั่วๆ ไป เมื่อถึงกาลจริง แล้วก็ไป ไม่มีปัญหาอะไรในความเป็นอยู่หรือความตายไป

สําหรับผู้ที่สิ้นปัญหาภายในจิตใจโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นอย่างนั้น

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO