นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 9:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ชีวิตของคนเรา
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 15 ส.ค. 2021 6:31 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4540
…พยายาม
ละการกระทำบาป ละอบายมุข
แล้วทำบุญตามอัตภาพ ตามกำลัง

.ไม่ต้องไปดิ้นรนหาเงินมาทำบุญ
อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำบุญ

.การทำบุญคือ..”ให้ในสิ่งที่เรามีอยู่”
ที่เราไม่ต้องใช้ ที่ตายไปเราก็เอาไปไม่ได้

.เอามาเปลี่ยนเป็นบุญดีกว่า
เพราะบุญนี้..” เอาไปได้ “

.บุญนี่แหละจะเป็นที่พึ่งของเราในยามตาย
เวลาที่เราไม่มีร่างกายเป็นที่พึ่ง..
“ เราก็ต้องพึ่งบุญ “

.เพราะบาปเราพึ่งไม่ได้.

…………………………………………..
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๒







บางคน เกิดมารู้จักเสียสละ ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
เพราะชาติก่อน เขามีนิสัยจากสวรรค์มาเกิด...

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป









ชีวิตของคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนทั้งหมด อีกสักวันหนึ่งก็จะต้องตายจากกัน ถึงจะรัก จะเกลียด โกรธขนาดไหนก็เถอะ อีกสักวันหนึ่งก็ไปคนละทิศคนละทาง ไปตามบุญกรรมของแต่ละคน

เกิดภพหน้าชาติหน้าก็ลืมหลง เกิดขึ้นมาเสาะแสวงหาอีก หลงกันอีก เป็นวัฏฏะวน ไม่มีที่สิ้นสุดวกวนไป วกวนมาอยู่อย่างนี้ เหมือนกับมดแดงไต่ขอบกระด้งวนไปวนมา วนมาวนไป

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก








"การปล่อยวางความยึดมั่นในวัตถุและอารมณ์ต่างๆ เป็นจุดมุ่งหมายของศาสนธรรมโดยแท้ แม้ธาตุขันธ์ยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องยึดถือแบกหามเสียจนหนักอึ้งตลอดเวลา จนหาอิสระทางจิตใจไม่ได้ คนเราย่อมเป็นทุกข์กันตรงนี้ มิได้เป็นทุกข์เพราะความไม่มีกิน ไม่มีใช้ แต่เป็นทุกข์เพราะมีมากน้อยเท่าไร ก็ยึดมั่นเหนียวแน่นต่างหาก ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามีทางรู้ และปล่อยวางภาระ คือความยึดถือเหล่านี้ได้โดยลำดับ และได้โดยเด็ดขาด"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน







#พระนิพพาน..

แล้วก็จงจำไว้ด้วยว่ามันไม่ใช่แต่ขันธ์ ๕ ของฉัน แม้แต่ขันธ์ ๕ ของเธอ ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ของคนอื่นใด ๆ ในโลกก็เหมือนกัน แม้วัตถุต่าง ๆ ที่เป็นธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุเหล็ก ตึก บ้านช่อง วัตถุแข็ง อ่อน อากาศคือ ธาตุลม ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งของความสุข มันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความทุกข์ มันไม่มีสภาพทรงตัว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนในที่สุดมันก็สลายตัว ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อนัตตา
ความจริงฉันไม่มีอะไรวิเศษเลย ขันธ์ ๕ ของฉันมันก็เลว มันจะพังสลาย สภาพร่างกายก็ไม่ดี ความจำก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี ทุกอย่างมันหาความดีอะไรไม่ได้
ตราบใดที่พระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังมีอยู่ครบถ้วน ทั้งพระธรรมวินัย ในขณะนั้นถ้าคนเอาจริงปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเป็นพระอรหันต์ได้หมดทุกคน
การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ก็ดี เขาศึกษากันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิ คือ ร่างกาย (หรือ ขันธ์ ๕ หรือ รูปนาม) ได้ตัวเดียวก็เป็นพระอรหันต์
ก่อนที่จะใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ อันดับแรกต้องเข้าฌานให้ถึงที่สุดที่เธอทรงได้เข้าฌานออกฌานสลับกันมาสลับ กันไป ให้มันมีอาการทรงตัว แล้วทำจิตให้ทรงในฌานให้แนบสนิททรงตัว มีความสุขที่สุด ถ้าได้สมาบัติ ๘ เป็นกำลังใหญ่ ถ้าได้มโนมยิทธิก็ยกจิตไปไว้พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระบรมพิชิตมารสัมมา สัมพุทธเจ้า ถอยกำลังถึงอุปจารสมาธิ พิจารณาขันธ์ ๕ ว่า ขันธ์ ๕ มันเป็นภัยสำหรับเรา มันเป็นวัตถุธาตุที่สร้างแต่ทุกข์ สร้างแต่โทษ ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มองดูขันธ์ ๕ คือ ร่างกายเกิดมาเราต้องเลี้ยงดูมันเท่าไร มันชอบอะไร เราให้มันกินหมด แต่เราคือจิตไม่ต้องการให้มันป่วย แล้วร่างกายยังขืนป่วย เพลีย เจ็บปวด หิวกระหาย ร้อนหนาว ยุ่งวุ่นวาย ฉันก็ไม่เคยต้องการให้มันแก่มันก็แก่ แล้วคนที่ตายไปก่อนเราเขาไม่ต้องการจะตายมันก็ตาย ในเมื่อร่างกายหรือขันธ์ ๕ มันมีความเลวทรามอย่างนี้ จิตเราจะคบค้าสมาคมมันเพื่อประโยชน์อันใด
ตั้งใจจับจุดไว้เพื่อพระโสดาบัน
#๑_ระงับความพอใจในขันธ์_๕ เสีย คิดว่าร่างกายมันตายอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ลืมความตาย เป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนารวมกัน
#๒_ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ควรทำเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คือ ทรงอารมณ์อยู่ในศีลตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องทางใจ ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ให้ลืมตาทำงาน คุยกับหมากับแมว หรือเจอะหน้าคนด่าคนนินทา ศีลเราทรงตัวไม่หวั่นไหวใช้ได้ เป็นการตัดสังโยชน์ ข้อ ๒ สีลัพตปรามาส
#๓_ตัดวิจิกิจฉา โดยการน้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ ทรงพระกรรมฐาน ๓ ให้เป็นฌาน คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ให้ทรงตัว
#๔_ตัดสินใจทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ต้องการเกิดเป็นคนรวยสวยแข็งแรง ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม กำลังใจมุ่งพระนิพพานเป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน
การที่จะหลีกหนีบาปกรรมชั่วหรือนรกได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง ๔ ข้อนี้ หรือตัดสังโยชน์ ๓ ประการได้ ท่านให้ชื่อว่าผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คือ พระโสดาบัน ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถถูกลงโทษได้แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะวนเวียนเฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ากำลังใจเต็มไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจเทวดาพรหมก็ไปนิพพาน
การเป็นพระสกิทาคามีก็มี ๔ ข้อ เช่นพระโสดาบัน แต่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้นมาจากศีล ๕ ข้อ คือ กรรมบถ ๑๐ คือ เพิ่มอีก ๕ ข้อ นอกจากศีล ๕ แล้วคือไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่คิดอยากได้ของของผู้อื่น ไม่คิดผิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ คือ มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้จีรังแน่นอน มีแต่ความเสื่อมทรุดโทรมสูญหายแตกสลายในที่สุด

#การปฏิบัติจิตเพื่อเป็นพระอนาคามี คือ.. นอกจาก ๔ ข้อ แรกของการเป็นพระโสดาบัน และกรรมบท ๑๐ ของพระสกิทาคามีแล้วก็เพิ่ม
#๑_กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน ให้ชั่งใจควบกับสักกายทิฏฐิ นอกจากเห็นว่าร่างกายตายแน่แล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรกเน่าเหม็นตลอดเวลา
#๒_ระงับความโกรธความพยาบาท ด้วยความเมตตา พรหมวิหาร ๔ หรือ ระงับด้วยญาณสมาบัติ ใช้วิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิควบคุมไว้ คนที่เขาโกรธเรา แกล้งเรา ด่าว่าเรา เขาด่าขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว จิตเราก็ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เขาอยากจะดุด่าก็เชิญว่าไปตามใจ เราไม่สะดุ้งสะเทือน คนด่าว่าเราเขาก็ตกนรกไปเอง
ความเป็นพระอรหันต์ นั่นก็เป็นเรื่องขี้ผงแล้วง่ายมาก เพิ่มเข้ามาจากร่างกาย ธาตุ ๔ คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม
#๑_อย่าติดในรูปฌาน ที่เราเข้าฌานได้ว่าเป็นของวิเศษ รูปฌานก็คือร่างกาย ธาตุ ๔ คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม
#๒_อย่าติดในอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณนัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญา นาสัญยตนะ ที่เราได้แล้วว่าเป็นของวิเศษ ให้ถือว่าเป็นกำลังใหญ่ที่ช่วยให้เราคือ จิตเข้าประหัตประหารกิเลส โลภ โกรธ หลง เท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้อรูปฌานก็ไม่จำเป็น อรูปฌาน ก็คือ นามในขันธ์ ๕ มีสังขาร ความคิด เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำ วิญญาณ ประสาท ไม่ใช่ของจิต
#๓_กำจัดมานะออกจากจิต อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ ได้อภิญญา สมาบัติเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เราดีเท่าเขา อารมณ์นี้ไม่ดีก็ทิ้งไปเสีย ด้วยการคิดว่า ทุกคนเกิดมามีทุกข์จากขันธ์ ๕ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน ให้มีเมตตาเห็นอกเห็นใจทั้งคนและสัตว์
#๔_อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ คือ คิดทางโลกไม่มี พระอนาคามีก็ฟุ้งไปในด้านของกุศลที่ไม่ตรงกับพระนิพพาน คือ คิดว่า แค่เทวดา พรหมก็พอ ท่านห้ามคิดแบบนั้น ให้จิตมุ่งตรงพระนิพพานเป็นพรหมก็ไม่พ้นทุกข์
#๕_อวิชชา เป็นสังโยชน์ข้อ ๑๐ ข้อสุดท้าย ตัดอารมณ์พอใจ (#ฉันทะ) อารมณ์รัก (#ราคะ ) ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะมีปัญญาเข้าใจแล้วว่า พระนิพพานเป็นแดนทิพย์ อมตะสูญจากความทุกข์ ความไม่แน่นอน สูญจากขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีอิสระเสรีจากบาปกรรม มีความสุขชั่วกาลนาน มีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืนมีความสุขหาเปรียบมิได้ ทุกอย่างเป็นทิพย์วิเศษ จิตเป็นสุขสมปรารถนาทุกประการ
พระพุทธเจ้าท่านตรัส บอกว่า พระนิพพานดับธาตุทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่โลกมี ดับขันธ์ ๕ หมด พระนิพพานไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัณหา อุปาทาน ไม่มีบาปกรรม ไม่มีร่างกายแบบคนนี้ แต่ว่า อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กายทิพย์ มีจิตทิพย์ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ มีกายโปร่งใสแพรวพราวสว่างไสว ไม่รู้สึกไม่มีระบบประสาทสมอง อยากรู้อะไรรู้ได้เพราะจิตเป็นทิพย์
ทุกข์ ใด ๆ ไม่มี แต่ความรู้สึกเป็นสุข มีเมตตา มีห่วงลูกห่วงหลานแต่ไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านมีอุเบกขาไม่ต้องกินต้องถ่ายหรือหลับ ไม่มีการอ่อนเพลีย...

#โอวาทของหลวงพ่อเนียม_วัดน้อย
( #กล่าวถึงพระนิพพาน​ )








การทำร้ายเพียงจิตใจของมารดาบิดาให้ต้องชอกช้ำเสียใจ
ก็เป็นกรรมไม่ดีของผู้เป็นลูก
ย่อมต้องได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมนั้นแน่นอน
ชีวิตมนุษย์นั้นมีขึ้นมีลง วันนี้สูงส่งพรุ่งนี้อาจตกต่ำ
ไม่มีสิ่งใดแน่นอน หรือยั่งยืนได้เลย
หมั่นทำความดีหรือสร้างบุญกุศลกันไว้ให้มาก ๆ เถิด
แม้ในยามที่ชีวิตตกต่ำ ก็จะมีบุญกุศลหนุนนำ
ช่วยให้พ้นจากความมืดมิดได้อย่างแน่นอน
บุคคลที่เป็นคนดีนั้นย่อมเป็นที่รักไปทั้งสามโลก

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร







" ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่
ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม

กำหนด “สติ” ตั้งมั่นอยู่
ในลมหายใจ อารมณ์อื่น
เกิดขึ้นหรือผ่านมา ไม่ต้อง
ติดตามเกี่ยวข้อง กำหนดอยู่
กับลมเรื่อยไป จนลมละเอียด
เข้าไป สงบลง รวมได้
จิตละเอียด ลมละเอียด

ต่อจากนั้นก็จะรวมลง
เป็นหนึ่งเป็น “เอกัคตารมณ์
“จิต” อยู่เฉพาะเรื่องของมัน
ตัดอารมณ์สัญญา อดีต
อนาคต หมดไป

ซึ่งไม่ติดข้องกับลมกับกาย
ไม่มีการเกี่ยวข้องกับ
อารมณ์สัญญาอะไร
มีแต่สติ รู้อยู่เท่านั้น.."

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิงห์ทอง
ธัมมวโร








แต่บางคนก็โทษคนนั้นคนนี้ ไม่ยอมโทษตัวเองนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก







ทานที่เป็นบุญกิริยาวัตถุโดยตรง
คือการให้การสละ เพื่อกำจัดโลภะความโลภ
ตลอดถึงมัจฉริยะความตระหนี่

ทานที่นับว่าจะอำนวยผลอันไพบูลย์
ต้องประกอบด้วยเจตนาสมบัติ ถึงพร้อมด้วยเจตนา
คือ มีเจตนาดีก่อนแต่ให้ กำลังให้และให้แล้ว

วัตถุสมบัติถึงพร้อมด้วยวัตถุ
คือ วัตถุนั้น ๆ เป็นของไม่ต้องห้ามทางศีลธรรม
และแสวงหาได้มาโดยสุจริต
มีจำนวนส่วนสิ่งพอเหมาะสมัยและความต้องการ
ตามฐานะของผู้ให้

ปฏิคาหกสมบัติ ถึงพร้อมด้วยผู้รับ
คือ ผู้รับทานเป็นผู้สมควร
เพื่อรับอนุเคราะห์ สงเคราะห์ และเพื่อรับบูชา
อย่างสูง เป็นพระอริยทักขิไณยบุคคล

สมบัติทั้ง ๓ ประการนี้เมื่อย่อหย่อน
ผลก็อ่อนลงพอสมควรแก่กัน

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร








#สันตุสสโกวาท
“รักมาก ทุกข์มาก”

ให้ระลึกถึงความตายสบายนักหักรักหักหลงในสงสาร แต่ว่าในเมื่อเรารักสิ่งไหนมาก เราก็ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรจะตัดอาลัยในจุดนี้
เราจะพิจารณาอะไร

#ต้องพิจารณาถึงความตายของตนเองล่ะทีนี้

หลวงพ่อว่านะ เรารักร่างกายของเรารักไหม ไม่มีอะไรที่จะรักยิ่งกว่าร่างกายของตนเอง แต่อีกสักวันหนึ่งล่ะ ความแก่ เจ็บ ตาย จะต้องเข้ามาถึงตัวของเราแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น

ในเมื่อขนาดร่างกายตัวเรา ยังไม่ใช่ตัวตนของเรา ยังอยู่ในกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตาย...พูดง่ายๆ เราจะไปห่วงหาอาลัย อะไรกับคนอื่นเขาละทีนี้

ไปห่วงพ่อห่วงแม่ ห่วงลูกห่วงเมียก็เท่านั้น ห่วงสามีภรรยาก็เท่านั้น รักทรัพย์สมบัติพัสถานก็เท่านั้น ขนาดร่างกายตนเองก็ยังไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งเหล่านั้นมันจะเป็นของเราได้อย่างไร

พอไปรักไปหลงในสิ่งเหล่านั้น ก็ตีอกชกหัว ทุกข์ใจละทีนี่ เผลอๆ จะผูกคอตัวเองตายอีกต่างหาก เพราะความรัก เพราะความโง่ของเราในจุดนั้น

เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ทั้งหลายทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าที่ท่านได้กล่าว ได้ตรัสเอาไว้แล้ว พวกเรานำมาเป็นกระจกเงานะ มองตนเองไว้อยู่เสมอ

ถึงจะรัก ของใครก็กรรมของใครของเรา ถึงพ่อแม่ก็เป็นกรรมของท่าน ท่านสร้างมาของท่าน ถึงจะเป็นญาติพี่น้องสามีภรรยาแต่ละคน ก็มีกรรมของใครของเรา

ถึงจะอยู่ด้วยกัน แต่ว่าเขาทำมาได้เพียงแค่นั้น เรารู้แล้วทีนี้

เรามาได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้พบการแนะนำสั่งสอนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เราควรจะทำตนอย่างไร

เราต้องคิดดี ทำดี พูดดี สิ่งที่มันไม่ดีข้าพเจ้าจะไม่ทำในจุดนั้น ให้พวกเราตั้งตนไว้โดยชอบ เมื่อเราตั้งตนไว้โดยชอบอย่างนี้ ความสุขกายสุขใจ ก็จะเกิดขึ้นกับผู้ที่วางตัวถูกนะ

#มันเป็นอยู่อย่างนี้ละโลก
#เราจะให้มันเป็นอย่างใจเราได้อย่างไร

แต่อีกสักวันหนึ่งเราก็ต้องไปตาม
มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อะไรมันจะดับมันก็ต้องดับ

เราทำใจของเราเท่านั้นนะ ต้องดู รู้ ถ้ามันเกิด รู้ทั้งมันจะดับด้วย ถ้าเรารู้ทั้งสองเงื่อน ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ในสองเงื่อน ทำใจ ผลที่สุดใจของเราก็จะหลุดพ้นจากบ่วง เหล่านั้น

บ่วงความรัก บ่วงความหลง บ่วงความมัวเมา บ่วงความเกลียด ความโกรธ บ่วงความพอใจไม่พอใจ มันจะตัดบ่วงเหล่านั้นทั้งหมดออกจากจิตใจของพวกเรานะ

#หลวงพ่ออินทร์ถวาย #สันตุสสโก

จากพระธรรมเทศนา “รักสิ่งใดมาก ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๖๒









"ชีวิตของคนเรา ทำหน้าที่เหมือนเทียนไข เมื่อจุดแล้ว ก็มีหน้าที่ดับอย่างเดียว แต่จะดับช้าดับเร็ว ก็สุดแล้วแต่อุปสรรคของแต่ละคน

แต่เมื่อเทียนนั้นให้แสงสว่างแล้ว เราจะใช้แสงสว่างนั้นอย่างไรก่อนจะดับ"

#หลวงปู่ดุลย์ #อตุโล


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO