นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 17 เม.ย. 2024 2:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บรรดาสิ่งสมมุติ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 22 ก.พ. 2021 7:46 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4529
#ลักษณะนิสัยผู้มีบุญบารมีลงมาเกิด
คนที่รู้จักทำทาน รักษาศีลได้บริสุทธิ์
ไม่ว่าจะเกิดมาชาติใดนี่ จะเกิดมาในตระกูลที่ดี
ตระกูลที่ดี คือ ตระกูลที่มีศีล ตระกูลที่มีธรรม
จิตของตัวเองนี้ที่เกิดมานี่ ก็มีศีลมีธรรมตั้งแต่วันเกิด เกิดมาตัวเล็ก ๆ เห็นมดไต่มาก็สงสารมดอย่างนี้ เห็นคนยากจนเข็ญใจมา ก็อยากให้เขาอย่างนี้ นี้มันเป็นธรรมชาติของจิตที่ได้สั่งสมบารมีมา นี้แหละมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นให้เรามีสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ในจิตใจของตนเอง ก็งดเว้นในสิ่งพระพุทธเจ้าห้ามนั่นแหละ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่ไม่ควรทำ เราก็ระงับไม่ให้มันเกิดขึ้น บางทีมันก็จะแสดงออกมาทางใจของเรา อย่างที่ความอยากได้คือความโลภอย่างนี้ เรามองเห็นว่ามันเป็นโทษมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นของคนอื่น แต่ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะเอามาได้ คือ ต้องทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ว่าไปคดโกงขโมยเขามาเด้

พระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา









"ธรรมะไม่ใช่เครื่องมือไปเถียงทะเลาะกัน ใครเก่งกว่า ใครเหนือกว่า ใครแน่กว่า ยิ่งเถียงมากอัตตายิ่งฟุ้งมาก ต่างฝ่ายยิ่งห่างไกลความพ้นทุกข์

สัญญาความจำที่ไปขโมยปัญญาผู้อื่นมา ถ้าใช้ปฏิบัติแก้กิเลสตนเองย่อมเกิดประโยชน์ หากนำไปใช้โต้วาทีกันจะเกิดโทษ

ได้ประทีปมาควรใช้ส่องแสงสว่างนำทาง ไม่ใช่นำไปใช้จุดไฟเผาทำร้ายทำลายกัน สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์..."

โอวาทธรรม
พระอาจารย์คม อภิวโร
วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา










#อย่าตำหนิตนว่าอำนาจวาสนาน้อย

เราอย่าตำหนิตนว่า “อำนาจวาสนาน้อย” ซึ่งไม่เข้าท่าเข้าทาง และตัดกำลังใจให้ด้อยลง ทั้งเป็นลักษณะของคนอ่อนแอ ขี้บ่น อยู่ที่ไหนก็บ่น เห็นอะไรก็บ่น เกี่ยวข้องกับใครก็บ่น ทำหน้าที่การงานก็บ่นให้คน บ่นไม่หยุดไม่ถอย บ่นให้ลูกให้หลาน บ่นให้สามีภรรยา ส่วนมากมักเป็นผู้หญิงที่ช่างบ่น เพราะงานจุกจิกส่วนมากมารวมอยู่กับผู้หญิง จึงต้องขออภัยที่พูดเป็นลักษณะตำหนิ และเอารัดเอาเปรียบผู้หญิงมากไป ทั้งที่ผู้ชายทั้งหลายยิ่งไม่เป็นท่าน่าเบื่อเสียจริงๆ ยิ่งกว่าผู้หญิงหลายเท่าตัว

การบ่นให้ตนเอง โดยไม่เสาะแสวงหาเครื่องส่งเสริมในสิ่งที่บกพร่องให้สมบูรณ์ขึ้นนั้น ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ใครไม่ได้หาบ “อำนาจวาสนา” มาออกร้านให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดังเขาหาบสิ่งของต่างๆ ไปขายที่ตลาด

“วาสนาบารมี” ก็มีอยู่ภายในใจด้วยกันทั้งนั้น หากไม่มีวาสนาแล้วไหนจะมาสนใจกับอรรถกับธรรม เบื้องต้นก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ไม่เสียจริตจิตวิกลวิการต่างๆ ยังมีความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของเลิศประเสริฐ ไม่มีสิ่งใดประเสริฐยิ่งกว่าศาสนธรรม ซึ่งเป็นธรรมรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับ ดังที่เคยกล่าวว่า “นิยยานิกธรรม” ผู้ปฏิบัติศาสนธรรม นำธรรมเหล่านี้ไปบำรุงซ่อมแซมจิตใจของตนที่เห็นว่าบกพร่อง ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยลำดับ ก็เท่ากับขนทุกข์ออกจากใจเรื่อยๆ ใจมีความบกพร่องที่ตรงไหน นั้นแลคือความอาภัพของจิตที่ตรงนั้น ความเป็นอยู่และการกระทำของจิตก็บกพร่องไปด้วย

ควรมองดูจิตนี้ให้มากยิ่งกว่าการมองสิ่งอื่นแบบลมๆ แล้งๆ และตำหนิ “อำนาจวาสนาของตน” ว่าน้อย คนอื่นเขาดีกันหมด แต่ตัวไม่ดี ทั้งๆ ที่ตัวก็ทำดีอยู่แต่ตำหนิว่าตัวไม่ดี เราไปทำความเสียหายอะไรถึงว่าไม่ดี การทำดีอยู่ จะไม่เรียกว่าดีจะเรียกอะไร? ความทำดีนั้นแลเป็นเครื่องรับรองผู้นั้นว่าดี ไม่ใช่การกระทำชั่วแล้วกลับเป็นเครื่องรับรองคนว่าดี นี้ไม่มีตามหลักธรรม นอกจากเสกสรรปั้นยอขึ้นมาด้วยอำนาจของกิเลสพาให้ชมเชยอย่างนั้น กิเลสชอบชมเชยในสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นของดี ตำหนิสิ่งที่ดีว่าเป็นของไม่ดี เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นข้าศึกกันเสมอ อันใดที่ธรรมชอบกิเลสไม่ชอบ ทั้งที่กิเลสก็อยู่กับใจ ธรรมก็อยู่กับใจของพวกเราเอง

ถ้ากิเลสมีมาก ก็คอยแต่จะตำหนิติเตียนธรรม เหยียบย่ำทำลายธรรมภายในจิตใจ การที่เราจะบำเพ็ญตนให้เป็นไปเพื่อความดีงาม ให้ได้มรรคได้ผลตามความมุ่งมาดปรารถนา จึงมีการคัดค้านตนอยู่เสมอ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการตำหนิติเตียนตนว่า “มีอำนาจวาสนาน้อย” “เกิดมาอาภัพวาสนา ใครๆ เขารู้เขาเห็น ไอ้เราไม่รู้ไม่เห็นอะไร ใครๆ เขาเป็นใหญ่เป็นโตภายในใจ แต่เราเป็นเด็กเล็กๆ ตามพรรษา ก็เท่ากับเณรน้อยองค์หนึ่งภายในใจ” นี่คือการตำหนิติเตียนตัวเอง และเกิดความเดือดร้อนขึ้นมาด้วย ทำให้น้อยอกน้อยใจตัวเอง!

การน้อยใจนี้ ไม่ใช่จะทำให้เรามีความขยันหมั่นเพียร มีแก่จิตแก่ใจเพื่อบำเพ็ญตนให้มีระดับสูงขึ้นไป แต่เป็นการเหยียบย่ำทำลายตน ทำให้เกิดความท้อแท้อ่อนใจ ซึ่งไม่ใช่ของดีเลย ทั้งนี้เป็นกลอุบายของกิเลสทั้งนั้น พร่ำสอนคนให้ด้อยวาสนาบารมีลงไป เพราะความไม่มีแก่ใจบำเพ็ญเพื่อส่งเสริม

พวกเราจงทราบไว้ว่า นี้คืออุบายของกิเลสหลอกคน มันบกพร่องที่ตรงไหน ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงที่ตรงนั้น ซึ่งเป็นความถูกต้องกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ไม่ผิด วาสนาบารมีจะต้องสมบูรณ์ขึ้นมาวันหนึ่งแน่นอนเมื่อได้รับการบำรุงอยู่เสมอ นี่คือทางที่ถูกต้อง ใครไม่ได้ไปที่ไหน ไม่ได้รู้ที่ไหน รู้ที่จิต วาสนาก็รวมอยู่ที่จิต

ร่างกายแตกสลายไปแล้ว อำนาจวาสนาที่สร้างไว้ในจิตนั้น ต้องติดแนบกับจิตไป จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่จะผ่านพ้นโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ไป เรื่อง “อำนาจวาสนา” ซึ่งเป็นสมมุติและเป็นเครื่องสนับสนุนเราในเวลาที่ยังท่องเที่ยววกเวียนอยู่ใน “วัฏสงสาร” ก็ต้องผ่านไปหมด เมื่อถึงขั้นที่พ้นจากโลกสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว จะตำหนิที่ตรงไหน มีทางตำหนิตนได้ที่ตรงไหน ต่อนี้ไปไม่มีเลย เพราะสมบูรณ์เต็มที่แล้ว

ฉะนั้นให้พยายามเร่งบำเพ็ญตนด้วยความพากเพียร อย่าไปคิดทางอื่นเรื่องอื่น นอกจากเรื่องของตัว ให้เสียเวลาและทำให้จิตท้อถอยอ่อนแอไปด้วย

การสร้างวาสนาให้สมบูรณ์ขึ้นมา ให้มีอำนาจวาสนามาก ก็สร้างที่ตัวเราเอง สร้างทีละเล็กละน้อย สร้างไม่หยุดไม่ถอยก็สมบูรณ์ไปเอง เช่นเดียวกับปลวกมันสร้าง “จอมปลวก” ได้ใหญ่โตขนาดไหน ขุดเป็นเดือนๆ ก็ไม่ราบ เมื่อจะขุดให้มันราบเหมือนที่ดินทั้งหลาย ฟันมันสองซี่เท่านั้นแหละ มันสามารถสร้างจอมปลวกได้เกือบเท่าภูเขา นี่แหละความพากเพียรของมัน เรามีความสามารถฉลาดในอุบายวิธีต่างๆ ยิ่งกว่าปลวก ฟันเราก็หลายซี่ กำลังของเราก็มากยิ่งกว่าปลวก ทำไมเราจะสร้างตัวเราให้มีความสูงเด่นขึ้นไม่ได้ ถ้าเรามีความเพียรเหมือนกับปลวกน่ะ! นอกจากไม่เพียรเท่านั้นจึงจะสู้มันไม่ได้ ต้องสร้างให้สูงได้ด้วยอำนาจแห่งความเพียร จะหนีความเพียรไปไม่พ้น

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙
เรื่องจงสร้างวาสนาที่ใจ









...ไม่ว่าจะห่มเหลืองหรือห่มขาว
ขอให้ยึดมั่นต่อคุณงามความดีเท่านั้น
ความเป็นพระอยู่ที่ใจมิใช่อยู่ที่สีของจีวร...

ครูบาอภิชัย ขาวปี











"คนเราเกิดมามีบุพกรรมเนื่องกัน อยู่ไกลแสนไกลก็ต้องได้มาเจอกัน แต่ที่จะสอนกันได้ ทรมานกันได้ ลากกันไปสวรรค์ พรหม นิพพานได้ ต้องเคยเป็นหมู่คณะบำเพ็ญร่วมกันมาเป็นอสงไขยกัป ไม่อย่างนั้นกระทบอะไรหน่อยเดี่ยวก็สะดุด หลุดวงโคจรไป

เคยเห็นไหม มาวัดแต่ไปไม่รอด ไปไม่รอดเพราะอะไร จิตใจมันไม่อยู่กับวัด มันวิ่งไปอยู่กับคนรัก เงินทอง ลูกหลาน วุ่นกับอดีต กับอนาคต รุงรังอย่างนี้แล้ว จะไปนิพพานได้อย่างไร แต่ก็เอาเถอะ ค่อยๆ สั่งสมบุญบารมีไป สะสมนิสัยวาสนาไป บุญบารมีพร้อมเมื่อไหร่จะดำริออกจากกาม มุ่งไปพระนิพพานสถานเดียวเอง..."

บางช่วงบางตอนของธรรมเทศนา เรื่อง ความเกี่ยวข้อง

พระอาจารย์คม อภิวโร
วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ในหนังสือสวดมนต์ฉบับพิเศษ ฯ วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) ๙๙๙ หมู่ ๑๔ บ้านซับน้ำเย็น ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา











โอวาทธรรมเรื่อง บารมี

สมบัติในโลก มันไม่ใช่ของใคร
มันเป็นของทุกคน
ขึ้นอยู่กับวาสนาของใครจะได้ตอนไหน
อย่าพูดว่าไม่มี
ถ้าถึงเวลาของเราแล้ว
ทุกคนก็จะได้แน่นอน
มะม่วงกว่าจะมันสุกทั้งลูก
แล้วจึงหล่นลงจากต้น
ถึงเวลานั้นก็สามารถเก็บมากินได้
บารมีที่เราสร้างไว้แต่หนหลังมันก็ต้องมี
แต่บางคนนั้นมันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล
วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม
จ.เชียงราย










#วาทะธรรมคำสอนขององค์พระอาจารย์ฝั้น_อาจาโร
“#พระผู้มีพลังจิตเหนือฟ้าดิน”

1. บุญและบาปสิ่งใดๆ ใจถึงก่อนใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันสำเร็จที่ใจ

2. ตัวบุญคือใจสะบาย เย็นอกเย็นใจ ตัวบาปคือใจไม่สบาย ใจเดือดใจร้อน

3. เราไม่อยากเป็นกรรมเป็นเวร เราต้องตัด ตัดอารมณ์น่ะหละ ให้อยู่ในที่รู้ อยู่ตรงไหน แล้วเราก็เพ่งอยู่ตรงนั้น

4.ปัญญาคือ ความรอบรู้ในกองทุกข์สังขาร

5. ถ้าคนเราไม่ได้ทำ ไม่ได้หัดไม่ได้ขัด ไม่ได้เกลา ที่ไหนเล่า จะมีพระอรหันต์ในโลก

6. ให้สติกำหนดที่ผู้รู้ อย่าส่งไปข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างบน ข้างล่าง อดีต อนาคต กำหนดอยู่ที่ผู้รู้แห่งเดียวเท่านั้นแหละ

7. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ในใจ

8. จำไว้พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำอะไรๆ ก็พุทโธ กลัวก็พุทโธ ใจไม่ดีก็พุทโธ ขี้เกียจก็พุทโธ ท่านให้พิจารณามูลกรรมฐานก่อนม๊ด เวลาบวชพิจารณาเพราะเหตุใด เพื่อไม่ให้หลงถือทิฐิมานะอหังการ ถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา มันจึงหลง

9. เราต้องปฎิบัติอย่างฝากตาย

10. ศีลห้านี้ คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะอันหนึ่ง เรารักษาห้าอย่างนี้ไม่ให้ไปทำโทษห้า คือ อันใดเล่า ปาณานั้นก็โทษ อทินนานั่นก็โทษ กาเมนั่นก็โทษ มุสานี่นก็โทษ สุรานั่นก็โทษ พระพุทธเจ้าให้เว้น เวรมณี คือ ละเว้น

11. อยากสวยให้ถือศีล อยากรวยให้ทำทาน อยากมีปัญญาชาญให้ภาวนา

12. จิตของเราสงบเป็นสมาธิ มันรู้สึกสบาย ส - บ๊ - า - ย เย็นอก เย็นใจ หายทุกข์ หายยาก หายรำบากรำคาญ

13. ผู้รู้ไม่ใช้ของแตกของทำลายของตายของดับ

14. ถ้าใจเราดีแล้ว ทำอะไร๊ก็ดี ไปไหนๆก็ดี ทำการทำงานก็ดี ทำราชการก็ดี ครอบครัวก็ดี พี่น้องก็ดี ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี ประเทศชาติก็ดี

15. ความสุขอันใดเสมอจุดสงบไม่มี

16. ธรรมของพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น อยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ที่ไหนอื่น

17. กรรมดีกรรมชั่ว ผู้นี้เป็นผู้กำเอาเป็นผู้ทำเอาไม่เห็นมีกรรมมาจากต้นไม้ภูเขาเหล่ากา ไม่เห็นมีกรรมมาจากฟ้าอากาศ มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมเท่านี้แหละ

18. เราเกิดมามีกรรมฐานห้ามาพร้อม ทีนี้กับคนแก่พระกรรมฐานขาดไปองค์หนึ่ง ทันตาฟันไงล่ะ เด็กมันเกิดมาฟันยังไม่เกิด พระกรรมฐานขาดไปองค์หนึ่ง คนแก่ฟันหลุดหมด พระกรรมฐานก็ขาดไปองค์หนึ่ง

19. วิธีอื่นไม่มีจะตัดบาปตัดกรรมตัดเวร นอกจากเรานั่งสมาธินี้

20. มโนกรรมคือความน้อมนึกระลึกกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะรับผลของกรรมนั้นสืบไป

21. บุญคือความสุข บุญคือความเจริญ บุญคือคุณงามความดี มันตรงไหนล่ะ เงินเขาก็ไม่ได้ว่าเขามีความสุข ถามดูซิ เงินเจ้ามีความสุขไม๊ เขาเฉย ไม่ใช่เรอะ นี่แหละ ถ้าใจเราไม่สงบมันก็ไม่มีความสุขล่ะ ถ้าใจเราไม่มีความดีก็ไม่มีซี้

22. อยากรู้อะไร ตามที่เป็นจริง ให้น้อมเข้ามาภายในโอปะนะยิโก เพราะอะไรๆ มันเกิดมาจากภายใน

23. สิ่งทั้งหลายทั้งหมดเกิดจากดวงใจของเรา มโนความน้อมนึก

24. สมุทัย คือ มหาสมุทร จมในมหาสมุทร คือ หลงสมมติ

25. เมื่อจิตสงบนิ่งแล้วเราอย่าไปหา ไปหาแล้วมันเป็นตัณหา

26. เรานั้งอยู่นี่มันเกิดกี่ภพกี่ชาติแล้ว ภเว ภวา สัมภวันติ มันเที่ยวก่อภพน้อยๆ ใหญ่ๆ อยู่ มันห้ามไม่ได้ เรานั้งสมาธินี้เพื่อห้ามไม่ให้มันเกิด

27. เราทำอย่างนี้เรียกปฏิบัติบูชา บูชาพระพุทธเจ้าอย่างเลิศ อย่างประเสริฐที่สุด บุญอันใดจะเท่าเรานั่งสมาธิภาวนาไม่มี

28. ถ้าหยุดหาเสียเมื่อใด มาตั้งใจปฏิบัติธรรม ก็เห็นธรรมเมื่อนั้น

29. เวลานี้เราเข้าใจอย่างอื่นว่าเป็นศาสนา ไปเรียนอย่างอื่นไม่ใช้โอปะนะยิกธรรม ไม่น้อมเข้ามาหาตัวเราก็ไม่เห็นซี่

30. เพ่งดูนโม อาการสามสิบสองเพ่งให้เห็นแจ่มแจ้งภควา ผู้จำแนกแจกธรรม แจกเข้าแล้วมันก็ไม่มีคน อันนั้นเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นผิวหนัง เป็นตับไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารเก่า อาหารใหม่ มันไม่ใช่ตัวตนนี่ มันไม่ใช้คนนี่

31. ธรรมะแปดหมื่นสี่พันไม่ใช่อะไร รวมแล้วได้แก่พระสูตร คือ ลมหายใจเข้า พระวินัย คือลมหายใจออก พระปรมัตถ์ผู้รู้ที่อยู่ข้างใน

โอวาทธรรมหลวงปู่ฝั้น อาจาโร











" อยู่กับขันธ์ อย่าผิดกับขันธ์
อย่าผิดกับรูปร่างกายตนเอง
ว่า มันอ้วน มันผอม มันเหนื่อย
มันเจ็บ มันป่วย

ให้ศึกษาว่าธรรมชาติ
มันเป็นมาอย่างนี้
จึงจะไม่มีปัญหา "

" เมื่อรู้ขันธ์ ๕ ลงอยู่ใน
ไตรลักษณ์แจ้งชัดแล้ว
คนนั้นก็จะวางได้ มันจะเฉย
ทำให้จิตใจไม่เป็นทุกข์ด้วย

นั่นแหละ มันถึงจะลงอุเบกขา "

" ขันธ์๕ ทั้งหมดก็มารวม
อยู่ที่ใจ เรียกว่า มโนวิญญาณ

รูป รส กลิ่น เสียง ที่รับมา
ถ้าดี ก็โลภะเกิดขึ้น
ถ้ำไม่ดี ก็โทสะเกิดขึ้น

เพราะจิตใจมันหลง
มันเป็นโมหะ "

" ละขันธ์ ๕ นี่
ละก็ละอยู่ภายในใจ
ละด้วยสติปัญญา

ไม่ใช่ละปล่อยทิ้ง ปล่อย
ให้มันตายไปเฉยๆ อย่างนั้น "

โอวาทธรรม
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








" กิเลสมันหลอก
ให้วนอยู่ในวัฏฏะสงสาร

แล้วเมื่อไหร่เราจะภาวนากัน
นี่เป็นเวลาที่เราจะแก้ตัว
ทำสิ่งผิดให้ถูก
ที่ดีให้ดีขึ้น "

โอวาทธรรม
หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ








อย่าลืมพุทโธ. เฮานิเดิน-ยืน-นั่ง. เมื่อยแล้วกะนอน. พุทโธพุทโธ. แล้วกะค้นกาย. แล้วกะเมตตาหลวง. กลับไปกลับมายุนี่ละ.

หลวงปู่เบ็ง ฐิตธัมโม








บ่มีอันใด๋สิเกินพุทโธ #บ่มี

เฮาบ่มีวิชา บ่มีอาคม เฮาบ่มีอิทธิฤทธิ์ บ่มีปาฏิหาริย์ มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

ภาวนากะใช้แต่พุทโธ บ่มีอันใด๋สิเกินพุทโธ บ่มี ถ้าบ่เชื่อข้อย ลองเบิ่งเด้อมูเจ้า

#ปัญญาวโรวาท
หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร
วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ











"ในเรื่องของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ถ้าเราไม่ทำกับเขา เขาย่อมไม่ทำกับเรา
เพราะเราเคยได้เบียดเบียนเขาไว้ก่อน
เราจึงต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นจากเขาบ้าง"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร









บรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือว่า
เป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรรยา หรือสมบัติต่างๆ
เมื่อเราตายไป เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์
ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
ติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้
ตรงกับคำว่า... "สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก"

หลวงปู่คำดี ปภาโส


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO