นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 19 เม.ย. 2024 4:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญกุศล
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 12 ก.พ. 2021 6:51 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
มองโลก เราอย่ามองด้วยความดูถูกเหยียดหยาม อย่ามองด้วยความชมเชยสรรเสริญ และอย่าตำหนิติฉินนินทา แต่ให้มองดูตามหลักความจริง มีความจริงเป็นที่ตั้ง มีธรรมเป็นจุดศูนย์กลาง สรุปลงในธรรม ยุติลงในธรรม เป็นยุติได้

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








ขอยกตัวอย่างเศรษฐศาสตร์แนวพุทธสักเรื่อง สมมติว่าเราได้ขนมที่อร่อยมาก การจะทานขนมนี่ใช้เวลานานสักเท่าไหร่ สมมติว่า ๕ วินาที ขนมที่อร่อยที่สุดในโลกก้อนนี้ให้ความสุขทางปากแก่เรา ๕ วินาที ตามหลักเศรษฐศาสตร์แนวพุทธถือว่าได้กำไร คือได้สุขเวทนา ๕ วินาที สมมติว่าเราแบ่งขนมก้อนนี้ออกเป็นสองชิ้น เราทานชิ้นหนึ่ง ถือว่าได้กำไร ๒ วินาทีครึ่ง อีกชิ้นหนึ่งเราแบ่งให้เพื่อนทาน เห็นเขาทานอร่อย เห็นเขายิ้ม เราก็ภูมิใจตัวเองว่าเราได้สละขนมอร่อยให้เขาครึ่งหนึ่ง เราก็มีความสุข อาจจะสัก ๑ วินาที เป็นอันว่าเราได้กำไรคือสุขเวทนาเป็นเวลา ๓ วินาทีครึ่ง ต่อจากนั้น เมื่อใดที่คิดถึงวันที่เราสละสิ่งที่เราชอบเพื่อคนอื่น ก็จะเกิดความสุขทันที ทำให้ได้กำไรครั้งละ ๑ วินาที หรือ ๒ วินาที ถ้านับรวมกันเป็นปี อาจจะได้กำไรสุขเวทนาเป็นชั่วโมง ทานขนมคนเดียวได้กำไร ๕-๖ วินาที แต่ถ้าแบ่งครึ่งให้คนอื่นกลายเป็นมีความสุขได้ตลอดชีวิต นึกถึงเมื่อใดก็มีความสุขเมื่อนั้น หลักเศรษฐศาสตร์แนวพุทธบอกว่า เราควรเลือกที่จะได้กำไรตลอดชีวิต มีของดีก็แบ่งให้คนอื่น อย่าไปเอากำไรสั้นๆ แค่ ๕ วินาที ๖ วินาที

พระอาจารย์ชยสาโร









อย่าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยแล้วมาพูดให้ตัวเองท้อแท้ คิดแบบนั้นมันไม่ถูก ถ้าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยก็รีบสร้างเสริมบารมีให้กับตัวเองให้มากยิ่งๆขึ้นไป ทำให้เต็มที่ ๆ ตัวเองทำได้ คนที่เขามีปัญญาเขาจะมุ่งหน้าทำเอา คนไม่มีปัญญาก็รอเอาแต่ลมแต่แล้ง สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์...

โอวาทธรรม
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม







"ธรรมะ คือ ดับความโกรธ ดับความโลภ
ดับความหลง คือ รู้ทันใจเราบ้าง นั่นเขาเรียกว่า
เป็นคนมีธรรมะประจำใจ
คนที่ไม่มีธรรมะประจำใจ หมายถึง คุยธรรมะได้
แต่ทำใจไม่ได้"

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ








"มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือ ในตัวตนเสีย
มีอะไรบ้างหรือ ที่เราบังคับได้บ้าง

ร่างกายนี้ ตั้งแต่เกิดมา
มีแต่ความเปลี่ยนแปลง อย่างไม่หยุดนิ่ง
ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป
ทำพิธีต่ออายุ สืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน
แล้วจะยึดถือว่า เป็นตัวเรา-ของเรา ได้อย่างไร

ตายแล้ว ไม่เผาไฟก็ฝังดิน เท่านั้นเอง
มันเป็นเพียงธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป
เราเพียงยืมใช้ ได้อาศัย ศึกษา รักษาไว้
เป็นพาหนะ ให้ทำความดี เพื่อ ข้ามวัฎสงสารเท่านั้น"

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร










"..น้ำในมหาสมุทร
ไหลไม่มีสิ้นสุดฉันใด
จิตใจแห่งมนุษย์
ที่ไหลไปกับกิเลส
ก็ไหลไม่สิ้นสุดฉันนั้น

มนุษย์ผู้มีปัญญาพึงเอา "สติ"
เป็นเครื่องกั้นจิต
ไม่ให้ไหลไปกับ "กิเลส" "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อประสิทธิ์ เนมิโย









" กรรมและผลของกรรม
ที่เกี่ยวข้องกับท่านผู้อื่น
เป็นตัวเหตุตัวผล บางทีก็
เป็นกรรมเก่ามาแต่ภพก่อน
บ้าง บางทีเราก็มาก่อใหม่
มาเกยมาพาดโดยที่เรา
ไม่ได้นึกฝัน

แม้จะเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่
ก็ตาม เรามีหน้าที่ทางเดียว
ที่จะปลดเปลื้อง คือจะไม่
จองเวรแบบองอาจกล้าหาญ
และพอใจให้อโหสิกรรมตะพึดไป

ปรบมือข้างเดียว มือหนึ่งไม่เอา
มารับ เสียงดังของการปรบมือ
ก็ไม่เกิดขึ้น การชนะเวรภัย
ก็ชนะไปในตัวฉันนั้น

อันนี้แหละเป็นคำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย "

โอวาทธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต









" คนเราต้องทำมาหากินโดย
ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ชาวไร่ชาวนาใช้ยาฆ่าแมลง
ก็ไม่รู้ว่าจะมีสัตว์กี่มากน้อย
ที่ต้องตายตกตามไป

สัตว์ก็รักชีวิตมีชีวิตเหมือนเรา
ภพชาตินี้เราเป็นมนุษย์ก็จริง
แต่ถ้าทำไม่ดี ภพชาติหน้า
อาจจะตกต่ำลงไปกว่านี้ก็ได้

ถ้าเราทำดีอย่างต่ำก็น่าจะ
เกิดเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเรา
ไปทำร้ายคนอื่น อนาคตเรา
อาจจะถูกเขาทำร้ายตอบก็ได้
ทุกอย่างมีสิทธิ์เป็นไปได้ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม









#พวกเราอย่าพากันประมาทนะ
#เงินนี่ใช้แค่ชั่วชีวิตเดียว #แต่บุญนี้กินไม่หมด

เกิดมา ภพใด ชาติใด จะเป็นคุณหนุนนำจิตดวงนี้ ทำอะไรสะดวกไปหมด แต่จิตใจนี่ต้องขัด ต้องเกลา ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยภาวนาพุทโธ

เพราะอำนาจตัวนี้รุนแรง ขี้เกียจก็รุนแรง ขี้โกรธก็รุนแรง ขี้โลภก็รุนแรง ราคะตัณหารุนแรงหมด

ต้องขัดด้วยศีล ขัดด้วยธรรม ไม่อย่างนั้นก็จมต่ำหมดเลย พากันร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจกัน

ขัดทุกวันๆไม่มีใครจะทำแทนให้กันได้นะ สามีทำแทนภรรยาก็ไม่ได้ ภรรยาทำแทนสามีก็ไม่ได้ พ่อก็ทำแทนไม่ได้ แม่ก็ทำแทนไม่ได้ ลูกก็ทำแทนไม่ได้ ไม่มีใครทำแทนให้กันได้สักคน เหมือนการทานอาหาร ทานแทนให้กัน
ไม่ได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน เจ้าของก็ต้องขยันเอง ชำระเอง มาขัดตัวขี้เกียจ ตัวขี้โกรธ ตัวขี้โลภ ตัวขี้หลง ตัวขี้โกหก ตัวพิษทำลายน้ำใจซึ่งกันและกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นโทษมลทิน เป็นพิษทั้งหมด

แก้ด้วยศีลธรรมเท่านั้น อย่างอื่นแก้ไม่ได้ ไม่มีทางแก้ได้ ถ้าแก้ได้แล้วจิตก็สบาย ใสไปเรื่อยๆ ผ่องใสไปเรื่อยๆจากโลกนี้ก็ไปสุคโต

เมื่อสมบูรณ์แล้วศีลจะคุ้มครอง เป็นเกราะป้องกันให้ตัวเราเอง ชี้แนะในจิต ไม่ทำ เป็นหิริโอตัปปะในตัว ครองในจิต สมหวังในทุกภพ ทุกชาติ จนแก่กล้าเหมือนต้นไม้ พื้นที่อุดมสมบูรณ์มันใหญ่มันโตของมัน ใหญ่งามตลอด งามตลอด ผลมันสุกมันห่ามของมัน

จิตดวงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว สว่างจ้าขึ้นมาทัน มันเป็นของมันเอง ไม่ว่าผู้หญิง หรือ ผู้ชาย บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนกันหมด ไม่ขัดแย้งกัน แต่ในแง่การปฏิบัติต่างกัน เพราะอำนาจความรุนแรงของจิตต่างกัน

เรื่องของการทำบุญ สมัยก่อนมีพ่อค้าคนจีน ชื่อ เจ็กไฮ เจ็กไฮ ไปทำบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงปู่มั่น ด้วยความปลื้มอก ปลื้มใจ ทำอาหารถวายหลวงองค์ปู่มั่น เจ็กไฮใส่บาตรเสร็จแล้ว

พอถึงเวลารับพร เขาก็เรียกเจ็กไฮมารับพร เจ็กไฮว่า อั๊วไม่เอา สวดอั๊วก็ไม่สวดอั๊วได้บุญตั้งแต่อั๊วคิดที่บ้าน นี่ หลวงปู่มั่นท่านชมเชยเจ็กไฮมาก

นี่เจตนาเป็นตัวบุญกุศล
พวกเราดูเจ็กไฮเป็นตัวอย่าง

#องค์หลวงปู่ทุย #ฉันทกโร










#ถ้ารู้ธรรมเห็นธรรมมันก็หายโง่ #พ้นจากทุกข์พอแล้ว

พระเวลาสวดงานศพ

" กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา “ ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆ ก็ธรรมดา

ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ
ไฟฟ้ากลางๆ ทั่วจักรวาล ก็เท่านั้นเอง

ร่างกาย วัตถุ คิด นึก รู้ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที พระพุทธ เจ้าทั้งหลายเรียกว่า ขันธ์ ๕ คือ กาย ใจ ทั้งหมด กาย เรียกว่า "รูป "หนาว ร้อน สุข ทุกข์ เรียกว่า "เวทนา "นึกนั่น นึกนี่ รู้นั่น รู้นี่ หลงภพ เรียกว่า "สัญญา”

ที่คนเราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะตัวนี้ หมายรู้ทุกชนิด สัญญาอดีต สัญญาปัจจุบัน สัญญาอนาคต เป็นตัวละเอียด

"สังขาร"ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คำพูด นึกคิด มันเปลี่ยนไปไม่มีหยุดหรอก กายสังขาร มโนสังขาร คิดบุญ คิดบาป มันเป็นอยู่เรื่อยๆ เหมือนไฟฟ้าบวกไฟฟ้าลบ วิญญาณกระทบหู กระทบตาเห็น กระทบใจนึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันกระทบอยู่เรื่อย มันก็เป็นอย่างนั้น เกิด รู้ ดับ ก็เรียกว่า "วิญญาณ"

พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต ในปัจจุบัน และ ในอนาคต รู้อันนี้แหละ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของธรรมดา เรียกว่า "อนัตตา" สัพเพ ธัมมา อนัตตา เทียบวิทยาศาสตร์อะไรก็ energy ก็หมดเรื่องกันเท่านั้นแหละ

ถ้าเห็นแจ้งแทงตลอดธรรมทั้งหมด อะไรก็เป็นธรรมะ ธรรมดา รู้ธรรมชาติ แจ้งในธรรมชาติ หรือ ธรรมะ มันก็สบาย ความเห็นอย่างอื่น มันก็ดับไปพร้อมกันนั้น ความเห็นผิดมันดับ ทุกข์ก็ดับพร้อม ก็สบายขึ้นตามธรรมดา ไม่ต้องมหัศจรรย์อะไรหรอก มันเป็นธรรมชาติ ถึงจะรู้ว่าไฟ ไม่ไปจับมันก็ไม่ร้อน ถ้าไม่รู้มันก็จับอยู่อย่างนั้น

ถ้ารู้ธรรมเห็นธรรมมันก็หายโง่ พ้นจากทุกข์พอแล้ว หายใจเข้า หายใจออก ก็ธรรมดา ได้ยินก็ธรรมดา ได้เห็นก็ธรรมดา รู้สึกนึกคิดก็ธรรมดา ธรรมดาทั้งนั้น เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้นทุกขณะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ "โลกุตรธรรม "
เห็นก็ได้แต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วย "สติ" ตัวสติแท้ๆ เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล๊บเดียว มันก็เห็นหมดแล้ว แลบหนเดียวไม่แลบมาก

เจริญสติ หนทางเดียวไปรอด เห็นได้ยินก็สักแต่รู้ ไม่ไปถาม ไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา เช่น ได้ยินไม่ได้เป็นภาษาอะไร ไม่ใช่ว่าฉันได้ยิน ได้ยินของฉัน ฉันได้ยินพระเจ้า ...ไม่มี

ศาสนาพุทธเป็น fact ไม่ใช่ fiction ได้ยินปั๊บ นี่เป็น fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็น fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากโลกสมมุติ สิ่งใดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ไปเอามา ไม่ไปเอามาสักอย่าง มันก็ไม่มีเรื่องน่ะซิ ไม่มีเรื่องมันก็สบาย

จิตก็สบายไม่มีสงสัยแล้ว เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้วจะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว สำเร็จแล้วนี่ จะไปสงสัยอะไร

ถ้ายังสงสัยอยู่ มันจะพ้นไปได้อย่างไร
จุดหมายปลายทาง คือ ทำความโง่ (อวิชชา) ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว มีใครชอบให้ถูกด่าว่าไอ้โง่มั้ย ไม่มี

จุดหมายปลายทางมันก็แจ๋ว สงสัยไม่มี มันก็ถูกต้อง
...............
องค์หลวงปู่บุญฤทธิ์ #ปัณฑิโต
ที่มาจากหนังสือ "เสียงธรรมจากบรัสเซลส์ เบลเยี่ยม"












#เราต้องขัดตัวของเราให้เป็นคนดีงามด้วยบุญกุศล

กล่าวคือ ขัดกาย วาจาใจ ของเราด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าหมั่นทำเป็นเนืองนิตย์ จิตของผู้นั้นก็จะมีความสงบเย็น ใสสว่างเหมือนกับน้ำนิ่งอยู่ในบ่อลึก หรือดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า

#ท่านพ่อลี #ธมฺมธโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO