นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 7:12 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อย่าวิ่งตามสมมุติ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 07 ก.พ. 2021 6:27 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4533
#การพิจารณาธรรมให้เป็นปัจจุบัน_อย่าส่งจิตถึงอดีตอนาคต
".. จะเป็นความกังวลและฟุ้งซ่านไป เพราะ
ว่าธรรมทั้งหมดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงออกมาจากจิตใจ คือพระทัยที่บริสุทธิ์ทั้งนั้น การดับทุกข์นั้นก็คือ การรู้เท่าทันทุกข์ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย การพิจารณากายให้รู้เท่าทันทุกข์
ให้รู้ตามความเป็นจริง เวลาพิจารณาอย่าใส่
สิ่งที่ไม่มีเข้ามา และอย่านำสิ่งที่มีอยู่ออกหรือตัดออก อันนี้จะเป็นความไม่ละเอียดในการพิจารณา... "
#การปฏิบัติตามมรรค_๘ นั้น สมาธิมรรคเป็นสำคัญมาก นอกจากนั้น เป็นส่วนปริยาย เมื่อเราปฏิบัติสังเกตด้วยธรรม และอาการของธรรมที่จิตถึงขั้นละเอียดปราณีตแล้ว ก็จะเป็น #สันทิฏฐิกบุคคล_คือเป็นผู้รู้ผู้เห็นเสียเอง.." "เวลาปฏิบัติสมาธิด้วยจิตภาวนา ถ้าจิตเราส่งออกนอกวงกาย จิตนั้นยังไม่เป็นมหาสติ มหาปัญญา จิตนั้นจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นทางดำเนินอันชอบ... “

#หลวงปู่มัน_ภูริทัตโต









.ถาม : อยากทำบุญ
ต่ออายุให้มารดา
ควรทำบุญอย่างไรเจ้าคะ

.พระอาจารย์ : เราต่อไม่ได้หรอกอายุ
มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ถึงเวลามันจะตายมันก็ตาย
เวลามันยังไม่ตาย มันก็ไม่ตาย
ทำบุญไม่ได้ไปต่ออายุให้ใคร.
.....................................
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









“ที่เราภาวนาไม่เป็นหรือภาวนา
ไม่ถูกสักที นั้น​ คือนับถือศาสนา
ไม่แน่นแฟ้น ถือพุทธศาสนา
ไม่ตรงไปตรงมา มันก็เลย
ภาวนาไม่เป็น.. “

#หลวงปู่เทสก์_เทสรังสี











เมื่อวานนี้ เราเรียกเมื่อวานนี้ว่า วันนี้
พรุ่งนี้ เราจะเรียกพรุ่งนี้ว่า วันนี้
ในชีวิตที่เป็นจริงของเรา มีแต่วันนี้เท่านั้น
ถ้าเราอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ก็หมายความว่า
เราผ่านได้ประมาณ ๓๖,๕๒๕ วันนี้แล้ว
และทุกวินาทีในวันนี้ทั้งหลายของเรา
ตั้งแต่เราพูดได้ จนถึงวันที่เราพูดไม่ได้อีกแล้ว
เราเรียกชื่อมันโดยเฉพาะว่า เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตคือวันนี้ และวันนี้คือเดี๋ยวนี้
คำถามที่สำคัญยิ่งที่เราควรถามตัวเองอยู่บ่อยๆ คือ
เดี๋ยวนี้! เรากำลังทำอะไรอยู่ เพื่ออะไร

พระอาจารย์ชยสาโร








ความเป็นมงคลและไม่เป็นมงคลมีอยู่กับพวกเรา
ทั้งภิกษุสงฆ์สามเณรอุบาสกอุบาสิกา มีทั้งหมด
ขึ้นอยู่กับสติสัมปชัญญะ เป็นต้นเหตุของความ
เป็นมงคลและไม่เป็นมงคล และกลางๆ
.
ธรรมมี 3 ประเภท สามลักษณะ ธรรม คือ ธรรมชาติ
เป็นนามธรรม ปรุงแต่งขึ้นมาก่อน แล้วประกอบด้วย
รูปธรรม ออกมาทางกายและวาจา เป็นทางที่ดีให้ผล
เป็นสุข เป็นทางที่ไม่ดีให้ผลเป็นทุกข์ เรียกว่าบุญกับ
บาป
.
หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม
วัดเขาน้อยสามผาน
อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี









...การที่คิดว่าเราเสมอกับเขา มันเป็นตัวทะเยอทะยาน การที่คิดว่าเราดีกว่าเขา เป็นการข่มขู่ คิดทะนงตนว่าตนเป็นใหญ่ ถ้าคิดว่าเราเสมอเขา มันก็เสียอีก เพราะบางคนเขามีจริยาเลว

...เราคิดว่าเรากับเขาเสมอกัน ก็ต้องพยายามเลวตามเขา ความเลวมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ปัจจัยของความสุข ถ้าหากเขาดีกว่าเรา เราดีไม่เท่าเขา แต่เราคิดว่าเราดีเท่าเขา ก็เกิดความประมาท คิดว่าเราดีแล้ว ก็เป็นการทำลายความดีที่เราจะพึงแสวงหาต่อไป

...ถ้าเราคิดว่าเราเลวกว่าเขา ตอนนี้ก็เป็นการทำลายความดีของตนเอง จิตใจมันก็มีความสุขไม่ได้ เป็นอันว่าการถือตัวถือตนว่า เราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม ๒ หน้า ๒๖









"การที่เราจะพึ่งใครซักคนหนึ่งนี่
มันก็พึ่งได้ ไม่เท่าไหร่หรอก หรือจะไปพึ่งคนโน้น
พึ่งคนนี้ เขาก็ไม่ให้พึ่งเท่าไหร่ แล้วไปอยู่กับเขาไม่กี่วัน
เขาก็อยากไล่หนีแล้ว เพราะฉะนั้น บุญเท่านั้น
ที่จะเป็นที่พึ่ง เราจะไปเกิดในชาติใด ภพใด
บุญก็ตามช่วยเรา เหมือนกันกับเงาตามตัว ฉันนั้น"

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร








#คนรู้ธรรมะ กับ #คนเห็นธรรมะ

เรื่องการปฏิบัตินี้ มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำ เห็นแล้วไม่ปฏิบัติ รู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว

จะเปรียบง่าย ๆ อาหารที่มีรสเอร็ดอร่อย เอามาวางไว้ข้าง ๆ รู้ไหมว่ามันอร่อย มันเกิดประโยชน์ไหม นี่ท่านเรียกว่า รู้เฉย ๆ ไม่ได้ปฏิบัติ

-คนรู้ธรรมะ ไม่เท่าคนผู้เห็นธรรมะ คนเห็นธรรมใจมันเป็นธรรม-

ธรรมะเกิดขึ้นกับจิต อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ปฏิบัติจริงอย่าไปอาศัยสิ่งอื่นมากมาย ปฏิบัติให้รู้ด้วยตนเองนี่ เมื่อจิตมันสงบแล้ว.... สบาย ..

#หลวงปู่ชา #สุภัทโท










#ในธาตุในขันธ์ #จงใช้สติปัญญาขุดค้นลงไป

พระพุทธเจ้าทรงสอนส่วนมาก อยากจะว่าร้อยทั้งร้อยว่า “รูปํ อนตฺตา” นั่น! ฟังซิ “รูปํ อนิจฺจํ” คำว่า “อนิจฺจํ” คืออะไร?

มันเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ความ อนิจฺจํ มันเตือน ถ้าหากจะพูดแบบนักธรรมกันจริงละก็ มันเตือนเราอยู่ตลอดเวลา

“อย่าประมาท อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อย่าไปถือไฟ รู้ไหม? อนตฺตา มันเป็นไฟ ถือแล้วร้อนนะ ปล่อยๆ ซิถือไว้ทำไมไฟน่ะ”

รูปํ แยกออกไป รูปมันมีกี่อาการ อาการอะไรบ้าง ดูทั้งข้างนอกข้างใน ดูให้เห็นตลอดทั่วถึง พระพุทธเจ้าท่านดูและรู้ตลอดทั่วถึง ปัญญาไม่มีจนตรอก รู้ทั่วถึงไปหมดถ้าจะพาให้ทั่วถึง ถ้าจะให้ติดตันอยู่ตลอดเวลาก็ติด เพราะไม่ได้คิดได้ค้น

สำคัญจริงๆ ก็คือร่างกายมันมีหนังหุ้มดูให้ดี สอนมูลกรรมฐาน ท่านว่า “เกสา โลมา นขา “ทันตา ตโจ” พอมาถึง “ตโจ” เท่านั้นหยุด! ท่านเรียกว่า “ตจปัญจกกรรมฐาน” แปลว่า กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า นี่แปลตามศัพท์นะ

พอมาถึง “ตโจ” แล้วทำไมถึงหยุดเสีย? ท่านสอนพระสงฆ์ผู้บวชใหม่ ก็เป็นเช่นเดียวกัน และอนุโลมปฏิโลม คือว่าถอยหลังย้อนกลับ

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน









#ดับให้หมดไฟนอกไฟใน

เรื่องนี้เป็นพระธรรมเทศนาของ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ในการอบรมพระเณรและญาติโยมที่ถ้ำผาปล่อง ในตอนเย็น ในช่วงที่ต้องช่วยกันดับไฟป่า ครั้งหนึ่งหลวงปู่ ได้นำเรื่องการดับไฟป่าซึ่งเป็นไฟนอก มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจในการทำสมาธิภาวนาเพื่อดับไฟใน ได้อย่างแยบคายดังนี้ : -

“...ไฟนั้นเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนใจคน แต่กระนั้นก็ตาม ก็ต้องมีวิธีกั้นทางมัน เอาหญ้าเอาต้นไม้ออกจากทาง ไฟน่ะมันไปได้ทุกทิศทุกทาง แล้วมันก็ไม่นอนกลางวันเหมือนคนด้วย คนนี่กลางวันก็นอน กลางคืนก็นอน ไฟถ้ามันลุกขึ้นมาแล้ว ไม่ได้นอนหรอก เพาะแพะ เพาะแพะ ไหม้ไปเรื่อย

ถึงมันไม่มีจิตใจ แต่ว่ามันก็เหมือนมีจิตใจ ไฟมา ลมก็พัดแรงเข้า ถ้ามันลุกติดแล้วถึงจะไปดับไฟน่ะ มันดับไม่ได้ล่ะ มันแรง จะเอาน้ำไปดับมันก็อยู่ไกล ดับบ่ค่อยได้ ดับมันบ่ค่อยได้ดอก

ฉะนั้น เพิ่นจึงมีวิธีกั้นด้วยเอาหญ้าคา เอาใบตองออกหนีจากทางมัน ทางไฟ
เวลาเราทำทางใหม่ๆ นั้น เหมือนกับว่ามันจะไม่มีอะไร ไม่มีไฟมาผ่านได้ แต่สักประเดี๋ยว เมื่อทำทางเสร็จแล้ว จะได้เห็นใบไม้ทุกใบที่อยู่ในต้นเวลานี้นะ มันกำลังร่วงหล่นลงมา

เวลาวันไหนมีลมแรงๆ ใบไม้มันจะตกลงมาเป็นเส้นเป็นสาย ใบไม้ที่มันหล่นลงมานั้นละ เป็นทางไฟ ไต่เข้ามาหาในวัดถ้ำผาปล่องได้ จะต้องได้กวาดได้ดูแลเวลาไฟมาอีกทีหนึ่ง

ไฟป่ามันมา เพราะมีขี้เยื่อใบตองฉันใด ไฟราคะ โทสะ โมหะของคนเรา มันก็มีเชื้อเพลิงอยู่ จิตลืมกรรมฐานไป ไม่ได้พิจารณากรรมฐาน ๕

ตั้งแต่วันบวช วันบวชนั้น ก่อนจะบวชนุ่งผ้าเหลือง นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์กันนั้น พระพุทธเจ้าสั่งสอนว่า ให้เรียนกรรมฐาน ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ อย่าง

เกศา - ผม โลมา - ขน นขา - เล็บ ทันตา - ฟัน ตโจ - หนัง ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา เพิ่นให้ว่ากลับไปกลับมาจนจำได้ เพื่อได้นำไปพิจารณา

และอุปัชฌาย์ท่านก็แนะนำพอเป็นหัวข้อไว้ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของไม่งาม เป็นของปฏิกูล แต่จิตมนุษย์คนเราปุถุชนน่ะ มันเห็นว่าเป็นของสวยของงาม เพราะมันเห็นหน้าเดียว คือไม่เห็นสี่หน้า เห็นแต่ทางหน้า ทางหลังไม่เห็น มันก็เข้าใจว่า ร่างกายสังขารนี้มันเป็นของสวยของงาม

ที่นี้ถ้ามันแก่ชรามากแล้ว ก็เกลียดชังมันละที่นี้ เมื่อใดมันจะตาย เมื่อใดมันจะหมดเรื่องหมดราวเสียที นั่นคือว่าไม่ได้กำหนดพระกรรมฐาน

กรรมฐานนั้น ท่านให้กำหนดร่างกายสังขารของเราทุกคน ตามธรรมดามันเป็นอย่างไร ? ได้มาจากอะไร ? ได้มาจากที่ไหน ?

ก่อนที่จะได้ก้อนกรรมฐาน คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่งนี้ ต้องไปปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา อยู่ในท้องแม่เก้าเดือนสิบเดือน จึงได้รูปขันธ์ร่างกายอันนี้มา เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้กำหนดพิจารณาปัญจกกรรมฐาน ที่นี่มันก็เห็นเป็นของดิบของดีไป

บวชแรกๆ ก็อยู่ได้ ถ้านานเข้ามาละผ้าจีวรร้อนละบาดนี้ (ทีนี้) เพราะลืมกรรมฐาน ฉะนั้นอย่าไปลืม ผู้ใดลืมก็ให้ตั้งต้นใหม่

เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม อยู่บนศีรษะ ขน อยู่ตามสรรพางค์ร่างกาย เล็บ อยู่ปลายมือปลายเท้า ฟัน อยู่คางข้างบนข้างล่าง ที่หลงลืมไม่ได้ต้องเอามาพิจารณา ฟัน ฟันเขี้ยว เราอมฟันตัวเองมาตั้งแต่เกิด มีฟันขึ้นมาจนฟันหลุดไป

บางคนก็ยังไม่ได้กำหนดพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐาน จิตใจมันก็วุ่นวาย สิ่งเหล่านี้ เหมือนกับเราทำทางกันไฟข้างนอก ไม่ให้ลุกลามเข้ามาในวัด

ถ้าเรามากำหนด ธาตุกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน อาทีนว โทษของร่างกายสังขารนี้ให้ดี ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันลุกขึ้นมาไม่ได้

เพราะมันเห็น แจ้งว่าคนๆ ไหน ก็เหมือนกับตัวของเรา ที่สมมุติว่าเป็นชาย ก็โดยสมมติ ความจริง เป็นหญิงมันก็เป็นอันเดียวกับชาย เป็นชายมันก็เป็นตัวของหญิง อันเดียวกัน เพราะว่าพ่อแม่ของเราทุกคนก็เป็นหญิงเป็นชาย

ถ้าเราลืมกำหนดพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ทับถม จนกระทั่งเห็นเป็นของสวยของงาม มั่นคงถาวร เพลิดเพลินไปตามการอยู่การกินแล้วจิตใจก็วุ่นวายว้าวุ่น

ฉะนั้น ต่อไปให้กำหนด เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของตัวเองให้เห็น ไม่เห็นอย่าไปมัวนิ่งนอนใจ ให้กำหนดพิจารณาลงไป ให้มันเห็นเป็นเพียงธาตุดิน เป็นเพียงธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทรงอยู่ได้ชั่วระยะ ไม่ถึงร้อยปีก็จะแตกจะดับแล้ว

อย่าพากันมาหลงหนาวหลงร้อนอยู่ มาห่มผ้าให้สังขาร แต่จิตใจไม่ภาวนา ไม่ได้ หลงทาง นี่เป็นอุบายธรรมอันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา”

การแสดงธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้เปรียบเทียบระหว่างไฟนอก กับ ไฟใน ดังนี้ : -

“กิเลส คือไฟราคะ โทสะ โมหะ นี้แหละ มันเป็นของร้อน ร้อนยิ่งกว่าไฟธรรมดา
ไฟธรรมดา อย่างไหม้ที่สุด ก็ให้ชีวิตของบุคคลผู้นั้นแตกดับไป ก็หยุดแค่นั้น

แต่ว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟอวิชชา ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไฟอันนี้ไม่หยุดแค่นี้ ๆ จะต้องไหม้จากภพนี้ ชาตินี้ เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป จนต่อเนื่องไปภพใหม่ ชาติใหม่ ก็ตามไปไหม้”

หลวงปู่สิม พุทธจาโร











#โลกใบนี้ไม่มีอะไร #ความจริงมีอยู่แค่มืดกับแจ้ง

อย่าวิ่งตามสมมติ มันเป็นอย่างนั้น โลกอันนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ได้ขาดพุทโธ อย่างองค์หลวงปู่ขาว ไม่ได้ขาดพุทโธนะ

ถ้าพิจารณาตามสัญญาก็ได้แค่นั้น ท่านบังคับสติให้เป็นมหาสติ บังคับปัญญาให้เป็นมหาปัญญา ให้บังคับ... ถ้าจิตสงบเข้าไปมันต้องมีแสง บางทีก็เกิดเป็นแสงแพ่บๆ บางทีก็เป็นแสงคล้ายไฟฉายขึ้นมา เราต้องย้อนมาดูตัวเราเสมอ

วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่าให้ออกจากสมาธิ นั่นล่ะมันจะเกิด... อย่าให้ฟุ้งซ่าน เพราะถ้าคิดไปคิดมามันก็ลงโน่นล่ะ... น้ำครำของเก่าเรานั่น

พากันภาวนา ตอนกลางวัน ตอนเย็นให้พากันเดินจงกรม ตรงที่มันสงบสงัด

สภาพร่างกายผมตอนนี้ก็ไม่แข็งแรง โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตาย มันมาประจักษ์ในกายแล้ว ทำยังไงได้ล่ะ

พระพุทธเจ้าท่านว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันมีเท่านั้น เราจะฝืนธรรมชาติไปไม่ได้ เอาไปพิจารณาใคร่ครวญนะ การวิปัสนามันย่อมรู้จริงเห็นจริง ไม่ได้ฟังตามตำรามา มันรู้เอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มาไม่มีครูไม่มีอาจารย์

จิตถ้าไม่สงบให้เอาพุทโธเข้ากำกับจิตใจตนเอง อย่าเอาทางโลกทางสงสารมาคิดมาคำนึง ให้มันอยู่กับพุทโธ นี่...พุทธคุณ ธรรมคุณ เอามาท่อง... เรื่องคิดเล่นๆหัวๆล่ะ โอ๊ย...มันไม่เห็นอะไรล่ะ มันไม่ต่างกันกับโลกเขานะ

เวลานั่งเข้าไปก็ปรุงไปล่ะ เอาลูกเอาเมีย เอานั่นเอานี่ไป โอ๊ย...ดูมันช่างห่างไกลจากคำสอนของพระพุทธองค์เสียนี่กระไร แล้วมันจะเห็นอะไร องค์ท่านเดินไปอย่างหนึ่ง เราเดินไปอีกทางหนึ่ง
.
#หลวงปู่ลี #กุสลธโร
วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เทศน์อบรมพระในพรรษา พุทธศักราช ๒๕๔๒









#อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆในการปฏิบัติ

ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น

ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความอยากที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะไม่มีทางที่จะพบความสงบได้เลย

แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใดหรือหนักเพียงใด ปัญญาที่แท้ จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น

#หลวงปู่ชา #สุภทฺโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO