นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 12:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เจริญก้าวหน้า
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 ม.ค. 2021 5:40 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
"..คำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีทาน ศีล ชีวิตจะไม่ตกต่ำ จะช่วยให้ไปเกิดในโลกหน้าอย่างมีความสุข
การกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นี่ยากมาก เพราะส่วนใหญ่จะเกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก นี่มากมายเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น ต้องเดินทางให้ถูกต้องเพื่อให้พ้นจากทุกข์..."

หลวงปู่ทิวา อาภากโร
๑๗ ก.ค.๒๕๕๙





เวลาไปหานักปราชญ์จึงอย่าไปหวังให้ท่านยกย่องสรรเสริญ เตรียมรับคำดุด่าไว้ ถ้าวันไหนท่านไม่ด่า แสดงว่าท่านไม่โปรดเรา ท่านไม่เมตตา ถ้าวันไหนท่านด่า แสดงว่าท่านเป็นห่วงเป็นใยเรา
เหมือนกับพ่อแม่ที่คอยสอนลูก อยากจะให้ลูกได้ดิบได้ดี เห็นลูกประพฤติตนเองไม่เหมาะสมต่างๆ ก็คอยดุด่าว่ากล่าวตักเตือน แต่ลูกก็มีกิเลส พอโดนว่ากล่าวตักเตือนหน่อย แทนที่จะฟังด้วยเหตุด้วยผล ฟังเพื่อก่อก็กลับฟังเพื่อทำลาย เกิดอารมณ์ โกรธเกลียดชังคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมา บางทีก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนอยู่ด้วยกันไม่ได้
การฟังธรรมะนั้น ฟังเพื่อจะได้มีหลัก ต่อไปเวลาใครพูดอะไรว่าอะไร จะฟังด้วยเหตุด้วยผลจริงๆ ไม่ได้ฟังด้วยอารมณ์ ไม่ต้องการคำสรรเสริญที่เป็นเหมือนขนมหวาน ไม่เหมือนของขมๆที่เป็นเหมือนยา กินแล้วทำให้ร่างกายแข็งแรง ฟังการว่ากล่าวตักเตือนแล้วได้ประโยชน์ เหมือนกับเอากระจกมาส่องหน้าให้เห็นว่าหน้าของเราเป็นอย่างไร มีตำหนิตรงไหน เปื้อนตรงไหน ผมหวีเรียบร้อยหรือยัง ล้างหน้าล้างตาสะอาดหรือยัง ถ้าไม่มีกระจกให้ดูบางทีก็ไม่รู้
คนที่บอกความผิดก็เป็นเหมือนกับกระจกส่องหน้าเรา จึงควรดีใจ เพราะเป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา เขาชี้ความผิดของเรานี้ ก็เท่ากับชี้ขุมทรัพย์ให้เราแล้ว ขุดลงไปตรงนี้จะได้ทรัพย์อันวิเศษขึ้นมา ยึดติดกับสิ่งต่างๆไม่ดี รีบชำระเสีย โลภโมโทสันไม่ดี รีบชำระเสีย อย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ให้มีเหตุมีผล มีสติคอยควบคุมใจไว้

จุลธรรมนำใจ ๑๒, กัณฑ์ที่ ๓๗๙
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕
PhraSuchart Abhijato
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ถ่ายทอดสดการสนทนาธรรมและแสดงธรรมโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
เวลา 14.00-16.00 น.
ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน วัดญาณสังวรารามฯ













คำว่าเจริญก้าวหน้าทางธรรม
มิใช่เจริญด้วยยศศักดิ์
เหมือนทางโลก
หากเหมือนใจที่นิ่ง หนักแน่น
มั่นคง คลายความยึดติดในโลก
หากผู้ใดยังหลงในยศศักดิ์
ก็ชื่อว่าหลงตนและหลงโลก
เพราะสิ่งนั้นเป็นของประจำโลก
คนส่วนใหญ่แสวงหาทรัพย์สิน
สมบัติ ยศศักดิ์ บริวาร
เพื่อสร้างความมั่นคงแก่ชีวิต
กระทั่งลืมความมั่นคงของจิตใจ
เศรษฐกิจ จิตใจ ต้องเดินไปคู่กัน

โอวาทธรรม
หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป












สมาธิกับความสงบ ต่างกัน
"..เมื่อพูดตามภาคปฏิบัติแล้ว ความสงบนั้นคือจิตสงบลงไป หรือว่ารวมลงไปหนหนึ่งแล้วถอนขึ้นมา ๆ เรียกว่าสงบเป็นครั้งคราว ในเวลาจิตที่รวมลงไปถอนขึ้นมานี้เรียกว่า ความสงบ ทีนี้เวลามันสงบลงไปถอนขึ้นมาหลายครั้งหลายหน มันสร้างฐานแห่งความมั่นคงภายในตัวของมันขณะที่สงบนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งกลายเป็นจิตที่แน่นหนามั่นคงขึ้นมา จากความสงบที่สั่งสมกำลังแห่งความแน่นหนามั่นคงมาเป็นลำดับนั้น ติดต่อกันมาเรื่อย ๆ เลยกลายเป็นสมาธิขึ้นมาแน่นหนามั่นคง นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิแล้ว..
เมื่อจิตอิ่มอารมณ์แล้วพาออกทางด้านปัญญา..ยกเอาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก..อสุภะก็คือของไม่สวยไม่งาม..ผิวหนังบาง ๆ ก็แยกละเอียดเข้าไปอีก ผิวหนังก็มีขี้เหงื่อขี้ไคลอยู่ในนั้นอีกมันสะอาดที่ไหน จากผิวเข้าไป หนังกับเนื้อมันก็ติดกันไป เข้าไปข้างในเท่าไรยิ่งสกปรกโสมม ปัญญาหยั่งเข้าไป ๆ ครั้งนี้เห็นเท่านี้ ครั้งต่อไปพิจารณาเข้าไป ค่อยแยบคายไป ๆ ความเห็นค่อยละเอียดลออเข้าไป ๆ ลุกลามไปได้หมด เลยปรากฏตั้งแต่อสุภะหมดทั้งตัวเลย ปัญญาก้าวเดินตามนี้จนมีความคล่องแคล่วว่องไว แล้วมันจะค่อยถอนตัวของมันเอง.."

โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน













...เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์
และได้ยินได้ฟังธรรมะ
“ก็ขอให้เราน้อมเอาธรรมะคำสอน
ของพระพุทธเจ้า
มาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา”
จะทำให้การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด
.เพราะว่ามนุษย์นั้น
สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตน
ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
หลุดพ้นจากความทุกข์ได้
.ดังที่พระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ได้ใช้ชีวิตของมนุษย์
ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด
ด้วยการทำความดี ละเว้นความชั่ว
.และชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง
ให้ออกไปจากจิต จากใจ
กลายเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์
เป็นจิตที่บรรลุถึงพระนิพพาน
.อันเป็นแดนเกษมสันต์
ที่เรียกว่า..ปรมังสุขัง
เป็นความสุขอย่างยิ่งยวด
เป็นความสุขอันสูงสุด
เป็นความสุขอันประเสริฐ
.ซึ่งเราสามารถบรรลุถึงได้ จากการที่
"เราได้พบกับพระพุทธศาสนา
และ..ประพฤติปฏิบัติตาม".
.........................................
.
กำลังใจ 1 กัณฑ์ 12
ธรรมะบนเขา 8/10/2543
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี











"เมื่อศรัทธาความเชื่อ วิริยะความเพียร สติความระลึกได้ สมาธิตั้งมั่น ปัญญารอบรู้สมดุลเสมอกันยิ่ง ในขณะเดียวทั้ง ๕ นี้แล้วในปัจจุบันทันกาล ก็จะเป็นใจเป็นธรรมอันมีกำลัง พละพลังไม่มีประมาณแล
ผู้ใคร่ครวญธรรมเป็นผู้เจริญตรงกันข้ามเป็นผู้เสื่อมถอย
ผู้เพลินในโลกมาก จะเป็นผู้เศร้าโศกมาก
ผู้เพลินในธรรมมาก จะนำความเศร้าโศกออกมากมาย
ผู้เห็นภัยในสงสาร ผู้ไม่ไว้ใจในสงสาร
ก็คือผู้ถือกุญแจเปิดประตูพระนิพพานนั้นแล..
ใจใดไม่ติดอยู่ในผู้รู้เป็นตัวเหตุ
ใจนอกเหตุก็ไม่ต้องได้หาใจนั้นแลนามิได้ท่องเที่ยว
ใจเดียวธรรมเดียวทรงนอกเหตุ
หมดประเภทใจอื่นจะตามหา
ใจนั้นข้ามโลกาไปแล้วไม่มีรอยแล
ใจใดไม่รู้จักใจ ใจนั้นก็ไปพบแต่ภัย
ยิ่งไปเท่าใดก็ยิ่งพบแต่ภัยล้าน ๆ อสงไขยก็ไม่พบสุข... "

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่หล้า_เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร












"สมาธิภาวนาแก้
จิตบาปกลับเป็นบุญ"
“ ความจนใจของบุคคล
ผู้ไม่มีสมาธิภาวนา
โดยมากย่อมจนใจอยู่
ในข้อที่ว่า ทำบุญล้างบาป
ก็ล้างไม่ได้ หรือคำว่า
ทำบุญแก้บาปก็แก้ไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคล
ที่จะละบาปบำเพ็ญบุญนั้น
จะต้องทำอย่างไรกัน
ข้อนี้ตอบได้ง่ายๆ ว่า
“ต้องนั่งสมาธิภาวนา “
นอกจากนั่งสมาธิภาวนาแล้ว
ไม่มีวิธีอย่างอื่นจะพึงแก้ได้
เพราะเหตุว่า
การนั่งสมาธิภาวนานี้
มีอานิสงส์มาก เป็นวิธีแก้
จิตที่บาปให้กลับเป็นบุญได้
ตลอดแก้จิตที่เป็น "โลกีย์"
ให้เป็น "โลกุตตระ" ได้
เมื่อแก้จิตให้บริสุทธิ์ดีแล้ว
บาปอกุศลก็หลุดหายไปเอง
อุทาหรณ์ข้อนี้พึงเห็น
“พระองคุลิมาล”เป็นตัวอย่าง ”

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม












การปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหน
ในเมื่อกายยาว ๑ วา หนา ๑ คืบ นี้แล
เป็นตัวธรรม เป็นตัวโลก
เป็นที่เกิดแห่งธรรม
เป็นที่ดับแห่งธรรม
เป็นที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้อาศัยบัญญัติไว้ซึ่งธรรมทั้งปวง
แม้ใครใคร่จะปฏิบัติธรรม
ก็ต้องปฏิบัติที่กายและใจนี้
หาได้ปฏิบัติที่อื่นไม่
ดังนั้น ถ้าตั้งใจจริงแล้ว
นั่งอยู่ที่ไหน ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น
นอนอยู่ที่ไหน
ยืนอยู่ที่ไหน
เดินอยู่ที่ไหน
ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์













#ถ้าพวกเราอยากรู้ธรรมเห็นธรรมแล้วต้องไม่ส่งจิตออกไปนอกกาย
คอยดูอยู่แต่ในกายเท่านั้น อย่าไปคิดปรุงแต่งเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น นั่งคอยดู นอนดู เดินดู ยืนดู แต่เฉพาะในกายตัวเอง ธรรมจะเกิดขึ้นมาให้เราได้รู้ได้เห็นตามความจริงทุกประการ
การที่เราไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม เพราะเรามัววิ่งตาม "ตัณหา" ซึ่งเป็นความอยาก ที่มาคอยสั่งการอยู่ภายนอกกายให้เราปฏิบัติตามอย่างไม่รู้ตัว จึงทำให้เห็นแต่ธรรมนอก คือของปลอมจอมหลอกลวงให้เราต้องหลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นตัวจริงสักที

หลวงปู่คูณ สิริจันโท












งามนั้นต้องงามทั้งภายนอกและภายในอย่างนี้ท่านว่างามแท้
อันว่าพระอุโบสถนี้เปรียบเป็น สังขาร นี่เช่นตัวเรานี้นะ มองอะไรก็เห็นแต่ภายนอกเท่านั้น แต่ตับไตไส้พุงมองไม่เห็น ทำอย่างไรจึงจะเห็นล่ะ ?
ก็เอาลูกกุญแจ...คือ พุท-โธ นั่นไขเข้าไปมันก็จะไปพบกับสิ่งภายในนั้น ทีนี้จะให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งนั้น เราต้องไปนั่งดูให้มันชินกับความมืดความที่ไม่รู้นั้นเสียก่อน จิตเป็นสมาธิ ชินกับความมืดแล้ว นั่นแหละ ปัญญาจึงจะเกิด ! ทีนี้ก็เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ภายในนั่นเองแหละ

#หลวงปู่อ่อน #ญาณสิริ











#หลวงปู่มั่นท่านมักจะเน้นธรรมปฏิบัติแก่บรรดาศิษย์ของท่าน ดังนี้
ธรรมข้อปฏิบัติและปฏิปทาต่างๆ
๑. -
การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก
๒. -
การถ่ายถอนนี้ มิใช่จะถ่ายถอนโดยไม่มีเหตุ ต้องให้มันถ่ายถอนเอง
๓. -
เหตุแห่งการถ่ายถอน ต้องให้สมเหตุสมผล ดังท่านพระอัสสชิแสดงในธรรมข้อที่ว่า...“ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุ”
๔. -
เหตุได้แก่การสมมุติบัญญัติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการหลงตัวหลงตนก่อน แล้วไปหลงผู้อื่นว่ารูปสวย-ไม่สวย ต่อไปข้าวของนอกตัว จนกลายเป็นราคะ โทสะ โมหะ
๕. -
ท่านให้แก้เหตุ ด้วยการพิจารณากรรมฐาน ๕ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยกำลังของสมาธิ

#คัดลอกจากประวัติหลวงปู่อ่อน_ญาณสิริ












“การที่ได้เป็นศิษย์ อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์นั้น
ย่อมเป็นบุญยิ่งนัก คำว่าบุญนี้ มิได้อยู่ที่​
การมีครูบาอาจารย์ที่ดีคอยแนะนำสั่งสอนเท่านั้น
จะเป็นบุญขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อศิษย์ผู้นั้น ปฏิบัติตาม
คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ บุญ หรือความดี
จึงจะเกิดขึ้นได้​ เพื่อเป็นศิริมงคลให้แก่ตนเอง”

หลวงปู่แบน ธนากโร











“คนเราคิดเรื่องอะไรบ่อย ๆ
จิตใจของเราจะชินกับความคิดอย่างนั้น
และคล่องในการคิดเช่นนั้น กลายเป็นนิสัย
ถ้าเราคิดไปในทางอิจฉาพยาบาทบ่อย ๆ
เราก็จะกลายไปเป็นคนอิจฉาพยาบาท
ถ้าเราคิดไปในทางให้อภัย
เราก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ











"เมื่อเขานินทา ต้องหยุดนิ่งพิจารณาดูว่า
เขาว่าอะไรกัน ถ้าไม่เป็นจริงก็แล้วไป
แต่หากเป็นจริงอย่างเขาว่า ก็แก้ไขตัวเราเสีย
ก็หมดเรื่องกันเท่านั้นเอง"

หลวงปู่ชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO