นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 9:21 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รักษาจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 06 ม.ค. 2021 5:02 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4540
"ถ้าเรามีญาณหยั่งรู้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรานั้น
ไม่มีเรื่องบังเอิญเลย"

หลวงปู่ดู่ พรหมปญฺโญ








" ใครจะเจริญสมถะ
หรือวิปัสสนาขั้นใดก็ตาม
ถ้าขาด "สติ" แล้ว
สมถะและวิปัสสนานั้น
ไม่มีทางเจริญได้เลย

นับแต่เริ่มแรกปฏิบัติมา
จนสุดทางเดิน
ผมไม่มองเห็นธรรมใด
ที่เด่นและฝังลึกในใจ
เท่า "สติ" นี่เลย "

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต











อย่าไปอยากฮู้ เรื่องของคนอื่นมันเป็นทุกข์ ให้สนใจเรื่องเจ้าของคือเรื่องกายกับใจ เบิ่งให้มันแจ้ง การภาวนากะอย่าไปมั่นไปหมาย การไปคาดไปหมายมันสิเฮ็ดให้เฮาไปติดในภพในชาติ การภาวนากะบ่สำเร็จ

โอวาทธรรม
หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี










#มีสติระวังรักษาจิตใจเจ้าของให้อยู่กับปัจจุบันมากที่สุด

หัวใจดวงนี้ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีปัญญารักษา ใจดวงนี้ล่ะจะถูกกิเลสขยำย่ำยี ความดีที่จะสิงสถิตย์อยู่ในจิตใจแทบจะไม่มีเลย ถูกกิเลสเอาไปทำร้ายทำลายทั้งหมด การนั่งสมาธิภาวนา การปฏิบัติด้านจิตตภาวนานี่ล่ะจะกวาดสิ่งไม่ดีออกจากจิตใจ เอาสิ่งที่ไม่ดีออก มีสติระวังรักษาจิตใจเจ้าของให้อยู่กับปัจจุบันมากที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นกิเลสจะเอาไปครอง เอาจิตดวงนี้ไปขยำย่ำยี บุญจะเกิดไม่ได้เลย บาปเกิดปั้บ ผลจากบาปก็เกิดปุ๊ปในจิตใจ ไม่ว่าจะยากดีมีจน โง่หรือฉลาด สิ่งเหล่านี้เข้าไปทำลายหมด

แม้จะทำบุญกิเลสก็ไม่ได้ทำด้วย เรามานั่งนี่ กิเลสก็ไม่ได้มานั่งด้วย มันก็ฟุ้งซ่านรำคาญ มันก็คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย นี่คือกิเลส กิเลสมันยอมใครเมื่อไร กิเลสมันปล่อยใครเมื่อไร มันไม่ปล่อย บุญตัวนี้ล่ะจะเข้าสู่คำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ความเป็นพระสงฆ์ในจิตในใจ

บุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราก็ได้ทำมาแล้ว การรักษาศีลของศรัทธาญาติโยมก็ได้ทำในชีวิตประจำวันแล้ว แต่ตัวนี้อย่าให้ขาด การทำบุญอย่างหนึ่งที่ได้อานิสงส์มากก็คือการรักษาใจรักษาความดี ในขณะที่กระทำทางกายทางวาจาสวดมนต์ไหว้พระ จิตใจเราไม่เอนไม่เอียงออกนอก อยู่ในการสวดการกราบการไหว้ ใจก็จะอยู่กับการกระทำ มันตั้งเจตนาไว้แล้ว เมื่อตั้งเจตนาดี บุญก็ไหลเข้า ไหลเข้า

ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่รักษาจิตรักษาใจก็ไม่มีความหมาย ปัญญามันไม่ได้ไคร่ครวญ เราทำก็สักแต่ว่าทำ เรากราบพระเราไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหน พระธรรมอยู่ตรงไหน พระสงฆ์อยู่ที่ใด เราว่านะโมก็ถูกกิเลสตีออก ตีออก ถูกกิเลสฉุดกระชากลากออก ลากออก คิดดูสิ ขนาดเรากราบพระเรายังไม่ได้ตั้งใจ ในไตรสรณคมณ์ที่ว่า พุทธธัง ธัมมัง สังฆัง ทุติยัมปิ ตะติยัมปิ ยังเพื่อย้ำให้ใจเข้าถึง อาจจะครั้งแรกพุทธัง ธัมมัง สังฆัง อาจจะได้ด้วยปาก แต่ใจเราไม่ได้ไปด้วย ก็จึงมีทุติยัมปิ ครั้งที่สอง ตั้งใหม่ซิ ตั้งไปแล้วอาจจะได้แค่ทุติยัมปิ พุทธังก็ได้ แต่ทุติยัมปิ ธัมมัง เราไม่ได้ ยิ่งทุติยัมปิ สังฆัง ได้แต่ปาก แต่ใจเราไม่ได้ไปด้วย ก็ขาด พอครั้งที่สาม เราพลาดครั้งที่หนึ่ง ลืมครั้งที่สอง แล้วครั้งที่สามล่ะ ส่วนมากก็ระลึกได้เดี๋ยวเดียว

เหมือนเวลาที่เราทำบุญ ขณะที่เราประเคนของครูบาอาจารย์พระสงฆ์ ในขณะจิตที่ตั้งให้เป็นบุญ ตั้งไม่ได้นาน เพราะอะไร เพราะใจเราไม่มีธรรมรักษา ถูกกิเลสแย่งพื้นที่ ถูกกิเลสตีออก ตีออก เราจึงรักษาความดีไม่ได้ ใครรักษาใจไม่ได้ก็คือรักษาความดีไม่ได้

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO