นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 17 เม.ย. 2024 2:35 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ให้ปล่อยวาง
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 16 พ.ย. 2020 8:17 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4529
"คนทำชั่ว แม้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคนดี ก็หาได้ชื่อว่าเป็นคนดีไม่ ผู้ที่รู้และค้านเป็นคนแรก ก็คือตัวเอง...นั่นเอง"

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร









“นี่คือความจริงที่เราจะต้องสอนใจ
ความจริงของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

...แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
ไม่ได้เป็น..นิจจัง สุขัง อัตตา

.แต่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดแล้ว
ก็ต้องมีการดับไปเป็นธรรมดา

.เวลาสิ่งที่เรารักเราชอบเกิดการดับไป
เกิดการพลัดพรากไป ..เวลานั้น
“ความทุกข์ใจก็จะปรากฏขึ้นมาทันที”

.เพราะว่าไม่สามารถที่จะไปสั่งให้
สิ่งทีเรารักเราชอบนั้น
“อยู่กับเราเป็นของเราไปตลอดได้ “

.ต้องมีวันใดวันหนึ่งต้องมีการพลัดพราก
จากกันอย่างแน่นอน ..ไม่ช้าก็เร็ว
“ถ้าไม่จากกันตอนเป็น
ก็ต้องจากกันตอนตาย”

.อันนี้คือ..สัจธรรมความจริง
ของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้
ที่ผู้ที่.. ”ไม่มีปัญญา” จะมองไม่เห็น.

..................................................
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะหน้ากุฏิ 15/11/2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี











“..เมื่อตอนหลวงพ่อชา ได้เดินทางมาประเทศอังกฤษ คณะลูกศิษย์พระที่เดินทางติดตามมาด้วยมีตั๋วเครื่องบินไป-กลับทุกองค์

เช้าวันหนึ่งหลวงพ่อชา เรียกเราเข้าไปหา แล้วพูดว่า ‘สุเมโธ ให้อยู่นี่แหล่ะ ไม่ต้องกลับ อยู่เพื่อสั่งสอนชาวอังกฤษต่อไป’

“เราฟังหลวงพ่อแล้วก็ช็อค! ตกใจมาก เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าต้องมาอยู่ประเทศอังกฤษ หลวงพ่อก็สั่งให้เราทิ้งตั๋วเครื่องบินขากลับ และอยู่ต่อที่นี้ จะปล่อยให้เราอยู่ที่นี้

เราก็ฝืนและข่มความรู้สึกอันนั้น ให้ตั้งใจทำตามที่หลวงพ่อท่านสั่งให้ดีที่สุด ตามธรรมวินัยที่ทำได้ เนื่องจากเราตั้งใจถวายชีวิตต่อหลวงพ่อชาแล้ว”

พระอาจารย์สุเมโธเกิดความกังวลใจเกี่ยวกับการดำรงเพศบรรพชิต ในประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพระวินัยและข้อวัตรปฏิบัติ จึงหาโอกาสเข้าไปกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อชา

“เวลาเราสงสัยว่า ‘เราจะอยู่อย่างไร ถ้าเราไม่มีเงิน คนอังกฤษก็คงจะไม่รู้เรื่องบิณฑบาต ใส่บาตร ถวายทาน ทำบุญ วัฒนธรรมต่างกัน ออกบิณฑบาตคงจะไม่มีใครรู้เรื่อง เราจะรับอาหารจากใคร จะฉันอาหารอย่างไร’

แต่หลวงพ่อชา ก็ถามกลับมาว่า .."ที่ประเทศอังกฤษจะไม่มีคนดีเลยเหรอ คนอังกฤษจะไม่มีคนใจดี คนใจบุญเลยเหรอ”

คำถามที่หลวงพ่อชาย้อนถามพระอาจารย์สุเมโธดังกล่าว

“เราก็พิจารณาว่า ‘สงสัยมีอยู่’ ท่านก็ว่า ‘ไปได้นะ’ แล้วก็จับใจเรา”

นับเป็นคำตอบที่ยุติคำถาม กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดพลังปัญญาอันชาญฉลาด สามารถมองข้ามปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยภายนอกได้ ทำให้คลายความกังวล และยึดถือข้อนี้เป็นธรรมนูญปฏิบัติสืบมาว่า

“..ไม่ว่าประเทศอังกฤษ หรือประเทศอื่นใดก็ตามย่อมมีคนที่มีจิตใจดีงามอาศัยอยู่ หากเพียงคนเหล่านั้นแค่ล่วงรู้ถึงล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์และธรรมเนียมปฏิบัติของเรา เขาย่อมพร้อมให้การสนับสนุนด้านปัจจัยสี่และส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไม่มีข้อกังขา

เราก็เห็นว่าหลวงพ่อชี้ทางที่ดี เราเคยคิดว่า ..ความดีอยู่ที่เมืองไทย เราเห็นความดีเป็นเรื่องเมืองไทย เป็นชาวพุทธอยู่เมืองไทย เป็นเรื่องคนชาวบ้านอยู่ใกล้วัดหนองป่าพง แต่เราไม่เคยคิดเปิดกว้าง เหมือนที่หลวงพ่อแนะนำ”

คำถามของหลวงพ่อชา ได้ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติ มีมุมมองกว้างไกลมากขึ้น เห็นว่าการสืบทอดพระพุทธศาสนามิได้จำกัดเพียงอาศัยศรัทธาของชาวพุทธไทยเท่านั้น หลักธรรมที่แท้จริงคือการมีน้ำใจและตั้งอยู่ในความดี นี่คือหลักความจริงอันเป็นสากลของมนุษย์ทั่วโลก

“เมื่อเราได้ไปอยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว ก็ได้เห็นนานาจิตตัง มีอยู่หลายประเภท เห็นของแปลกแล้วไม่ชอบก็มี ถ้าเห็นพระภิกษุบิณฑบาต อาจมีคนสงสัยบ้าง เยาะเย้ยบ้าง รังเกียจบ้าง หรือไม่สนใจ รู้สึกเฉยบ้าง บางคนเห็นมีความเอ็นดูสงสารเข้ามาให้ถามให้ความช่วยเหลือแล้วเกิดศรัทธา บ้างก็สงสัยว่าพระองค์นี้ทำอย่างนี้ทำไม จะช่วยท่านได้อย่างไร บ้างก็สงสัย ว่าเป็นขอทานหรืออยากได้เงิน

เราก็บอกว่า ‘เรารับเงินไม่ได้’ บางคนก็ซื้ออาหารมาถวายเหมือนกัน ที่จริงนั้นจิตของมนุษย์แท้ๆ นั้น เป็นสิ่งบริสุทธิ์และเป็นธรรมอยู่แล้ว”
.
ก่อนที่หลวงพ่อชาจะกลับเมืองไทย ท่านก็ได้เน้นย้ำให้ศิษย์ของท่านอยู่อย่างสมถะภายใต้พระธรรมวินัย เพื่อรักษาแบบอย่างของวัดป่าอย่างที่เคยถือปฏิบัติในประเทศไทย เพื่อร่วมกันรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบไป

“หลวงพ่อชา ต้องการให้เรารักษาแบบอย่าง ที่เราเคยถือปฏิบัติที่วัดป่าเมืองไทย ท่านต้องการให้เราอยู่กันอย่างธรรมดา ภายใต้พระธรรมวินัย”

“หลวงพ่อชาปล่อยให้เราต้องอยู่ที่ประเทศอังกฤษต่อไป เมื่อเราไปถึงสนามบินเพื่อจะส่งหลวงพ่อกลับเมืองไทย ก็แยกกับหลวงพ่อที่ช่องทางเดินของผู้โดยสารขาออก พอหลวงพ่อท่านเดินหายเข้าไปข้างในเพื่อขึ้นเครื่องบินแล้ว เราก็รู้สึกเหมือนเด็กกำพร้าพ่อแม่ไม่มีแล้ว..”
.
ช่วงเวลาสิบปี ที่เราได้อยู่กับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ถือเป็นช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลง

จากคนที่ไร้ความสุข วุ่นวาย สับสน ไปเป็นคนที่เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า”

หลวงพ่อชาปรารภไว้เสมอว่า

“การมาก็เป็นของธรรมดา
การไปก็เป็นของธรรมดา
ถ้าเราตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยแล้ว
เหมือนเราไม่ได้จากกัน”

#พระพรหมวชิรญาณ (โรเบิร์ต สุเมโธ)











ในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังทรงมีชีวิตอยู่เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะแก่ผู้ใด หากพระองค์ทรงสังเกตว่าบุคคลผู้นั้นยังเป็นผู้ที่มีความตระหนี่และความหวงแหนอยู่ในใจ พระองค์จะเริ่มสอนในเรื่องของการให้เป็นเรื่องแรก

ทั้งนี้เพื่อเป็นการซักฟอกจิตใจของผู้นั้นให้มีความละเอียดสะอาดสดใสเสียก่อน จากนั้นพระองค์จึงจะแสดงธรรมที่ลึกซึ้งเป็นลำดับต่อไป

ธรรมโอวาท
พระธรรมวิสุทธิญาณ
ท่านพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล










เอาคำบริกรรมพุทโธติดเข้าไป จับไม่ปล่อย
"... เว้นแต่เวลาหลับสนิทเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นเวลากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมัน พี่น้องทั้งหลายให้ทราบเสียว่า กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติบนหัวใจของสัตวโลก เป็นไปหมดด้วยกัน นี้เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งไม่มีใครรู้ได้เลย ถ้าธรรมไม่ขึ้นแล้วก็ไม่รู้ตลอดไป...

เฉพาะที่จะเห็นเรื่องราวกันระหว่างกิเลสกับธรรม ต้องเห็นด้วยจิตตภาวนา อย่างอื่นเห็นได้บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ส่วนจิตตภาวนาเห็นประจักษ์ ๆ เป็นลำดับ ตามขั้นภูมิที่ตนรู้ตนเห็นในธรรมทั้งหลายขึ้นไป เห็นธรรมก็เห็นกิเลสพร้อม ๆ กันไปเลย...

พอเราเริ่มภาวนาทางโน้นรุนแรง ทางนี้ก็รุนแรงเข้า ทางนั้นอยากคิดอยากปรุง ทางนี้ก็บังคับไม่ให้คิด เอาคำบริกรรมพุทโธติดเข้าไปจับไม่ปล่อย ถ้าปล่อยกิเลสลากไปเลย ต้องจับคำบริกรรม คือยึดเกาะนี้ไว้ไม่ปล่อย เกาะไว้ ๆ...

เอากันอย่างนี้ หนักเข้า ๆ อันนั้นค่อยอ่อนลง ๆ อันนี้ค่อยสงบเข้ามา ๆ นี่เริ่มเห็นทีแรกนะ จะเริ่มเห็นโทษของความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ซึ่งเป็นการก่อทุกข์ขึ้นมาในหัวใจตลอดเวลา เราจะเห็นเวลาจิตสงบ พอจิตสงบเข้าไป ๆ เรื่องเหล่านั้นจะค่อยจางเข้ามา เพราะตัวผลักดันนี้มันออกไม่ได้ ถูกคำบริกรรมของเราบังคับเอาไว้ บีบเอาไว้ไม่ให้มันออก ให้อยู่กับคำบริกรรม

ที่นี่คำบริกรรมเป็นเรื่องของธรรม ความคิดความปรุงของกิเลสเป็นเรื่องของสมุทัย ความคิดความปรุงของธรรมนี้เป็นเรื่องการแก้การไขกัน เพราะฉะนั้นทางโน้นหนักจะคิดไปทางโน้น ทางนี้หนักคิดทางคำบริกรรม เช่น พุทโธ เป็นต้น ติดแนบไม่ยอมให้ออก จำให้ดีทุกคน นี่ได้ฝึกมาแล้วจึงได้มาพูด ไม่ได้เอางู ๆ ปลา ๆ มาพูด ถอดออกจากหัวใจบนเวทีมาพูดให้ฟังผิดไปไหน ว่างั้นเลย

ทีนี้พอคำบริกรรมหนักเข้าตลอด ๆ แล้ว กำลังวังชาของธรรมก็ขึ้นครอบ ความสงบปรากฏขึ้นมา ความฟุ้งซ่านทั้งหลายค่อยเบาลง ๆ ทางนี้ก็ขึ้นบน จิตสงบจนสงบเงียบเลย เห็นอัศจรรย์ละที่นี่

ความสงบเงียบนี้คือความอัศจรรย์ของธรรม ความวุ่นวายคือเรื่องของกิเลส ตัวนั้นตัววุ่นวาย เห็นโทษชัดเจน อ๋อ นี่ความสุขอยู่ที่ความสงบ ความทุกข์อยู่ที่ความคิดความปรุงการก่อการกวน มันก็เทียบกันได้ทันทีไม่ต้องไปถามใคร ถามในหัวใจของเราดวงเดียว รู้ในนั้นเลย..."

โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน











" มัจจุราชไม่มีความกรุณาใคร
ไม่ว่าหนุ่มแก่ แม้อยู่ในห้อง
มันก็เอา หนุ่มมันก็เอา
แก่มันก็เอา ไม่ประมาทลาสา
เพราะตนรู้สึกว่าจะต้องตาย
หนีความตายไม่พ้น

แล้วมีปัญหาว่าจะป้องกัน
อย่างไร ไม่ให้มีความเศร้าโศก
เสียใจ เมื่อความตายจะมีถึง

ควรจะพากันรักษาศีล
ทำบุญให้ทานเป็นที่พึ่งแก่ตน
ไว้เสีย เมื่อก่อนเฒ่า เพื่อ
ไม่ให้เสียทีที่ได้เกิดมาพบ
พระพุทธศาสนาที่ดีแล้ว

ไม่ให้มีความแคล้วคลาด
กินแหนงใจเมื่อภายหลัง "

โอวาทธรรม
ครูบาศรีวิชัย










“ ขอให้เชื่อมั่นลงไป
ในผลทาน ที่เราได้บริจาคมา

เชื่อมั่นในผลศีลที่เรารักษา
ที่เราไม่ทำบาปไม่เบียดเบียนใคร

เชื่อมั่นในการไหว้พระ
นั่งสมาธิภาวนานี้ว่า
เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล

แม้ว่าตนยังไม่สามารถ
ทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป
โดยประการทั้งปวงได้

ก็เป็นอุปนิสัยปัจจัย
อย่างแรงกล้าติดตามไป
เมื่อเกิดในชาติต่อไป
จะดลบันดาล
ให้เป็นผู้ยินดีในบุญ ”

โอวาทธรรม
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ












#ขึ้นต้นให้ดีๆ

หลับตา นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆ ให้มีสติอยู่กับตัว ดูลมหายใจเข้า-ออก ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไร เหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน

#ดูไป #เห็นไป #รู้ไป

ว่าลมหายใจเดินไปทางไหน ก็เห็น รู้ๆ ไม่ต้องไปคิด ดูลมเห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว เกิดเดี๋ยวนั้น รู้เดี๋ยวนั้น นั่นเรียกว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้
.
เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา รู้ธรรมดา เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ

พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ

#ทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง

ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม เห็นก็สักแต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วยสติ

ตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล็บเดียวมันก็เห็นหมด แลบหนเดียวไม่แลบมาก

#เจริญสติ #หนทางเดียวไปรอด

เห็นได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา พระเจ้าไม่มี เป็น fact ไม่ใช่ fiction

เสียงถูกหู ได้ยินปั๊บ นี่เป็น fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็น fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปอยาก

ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ

#ไม่มีเรื่องมันก็สบาย

จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้ว จะไปสงสัยทำไม ว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว

#สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร

ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร จุดหมายปลายทาง คือทำความโง่ (อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว

#การภาวนาเป็นกุศลสูงสุด

เป็นกุศลชั้นเยี่ยม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ
เป็นบุญชั้นเยี่ยม ยิ่งกว่าทาน และยิ่งกว่าศีล

#พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์

แจกเท่าไหร่ไม่หมด นึกแผ่ไป send good will to all ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหน ไปจนถึงก้นนรก

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
ในภาพด้านซ้ายมือ คือองค์หลวงปู่ลี กุสลธโร











กาย. ไม่ใช่เรา.
เป็นธาตุ 4. เกิดดับ.

หลวงปู่ทิวา อาภากโร









#การเวียนว่ายตายเกิด
#ท่องเที่ยวในวัฏฏะของจิตดวงนี้

มันมีความแตกต่างกัน ในแต่ละภพชาติ ความแตกต่างนี้ มันเกิดขึ้นมาจาก “ปุพเพกตปุญญตา” การได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนนี่เอง ที่เป็นตัวผลักดันให้จิตดวงนี้ ไปอุบัติเกิดในสถานที่ต่าง ๆ ในสภาพที่ต่าง ๆ กัน ด้วยอำนาจของปุพเพกตปุญญตา ที่สะสมไว้อยู่ภายในจิตในใจของตนเอง

#ถ้ามีการสั่งสมบุญไว้มาก
#บุญนี้ก็นำพาจิตดวงนี้ไป
#อุบัติเกิดในสถานที่ดียิ่งๆขึ้นไป

การไปเกิดในสถานที่ดี ก็เป็นโอกาสให้พวกเรา ได้สั่งสมปุพเพกตปุญญตายิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะการได้ไปเกิดในสถานที่เหมาะ ที่ควร ที่เป็นมงคล ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เรามีโอกาส มาต่อยอดในการทำบุญบำเพ็ญเพียรยิ่ง ๆ ขึ้นไป

#การฝึกอบรมอยู่เป็นเนืองนิตย์
#จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง
#สำหรับผู้ที่ปรารถนามรรคผลนิพพาน

แม้ในเบื้องต้นจะยังไม่ถึงมรรคผลนิพพานก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติไว้แล้วนั้น ก็จะเป็นปุพเพกตปุญญตาเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น

เมื่อเราละจากขันธ์ในปัจจุบันนี้ ก็จะอาศัยบุญเหล่านี้ ที่ได้สั่งสมไว้แล้วนั้น นำพาดวงจิตดวงใจนั้น ไปสู่สถานที่ดีคติที่งามต่อไป

#เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติทั้งหลาย
#อย่าพากันย่อหย่อน

อย่าพากันท้อแท้อ่อนแอ ปล่อยให้ความเหลวไหลเหล่านั้นมาครอบงำจิตใจของเรา เพราะมันมีแต่จะขาดทุน จึงให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันให้ดี

#พระอาจารย์สุธรรม #สุธัมโม
รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร
๒ กันยายน ๒๕๖๓











การเจริญภาวนา เรียกว่า เก็บบุญมากิน ถ้าเราไม่เก็บ.. มันจะเน่าเสียหมด

ท่านพ่อลี ธัมมธโร







สังขาร

ตอนที่พระเทศน์สอน และนำปฏิบัติภาวนานั้น เทวดา ทั้งหลายก็จะลงมาฟังและร่วมปฏิบัติภาวนาด้วยเช่นกัน

เทวดานั้นมี “สังขาร” เช่นเดียวกับ มนุษย์ ทั้ง อสุรกาย สัตว์ ยักษ์ มนุษย์ เทวดา ไปจนถึง พรหม สรรพสิ่งที่เวียนวนอยู่ในวัฏสงสาร ก็ล้วนแต่มี “สังขาร” ทั้งสิ้น

หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือ “การปรุงแต่งของจิต” ในสังสารวัฏตั้งแต่ชั้นล่างสุดถึงชั้นบนสุด ทุกระดับชั้น ระดับจิต ก็ล้วนแล้วแต่มีการปรุงแต่งในจิตทั้งสิ้น

จะปรุงแต่งแบบหยาบ (เป็นกาย เป็นธาตุขันธ์) หรือปรุงแต่งแบบละเอียด (เป็นอรูป) จะปรุงแต่งไปโดยอกุศล (นรก เดรัจฉาน) หรือ ปรุงแต่งไปโดยกุศล (สวรรค์) ก็ยังเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น

พูดง่ายๆ คือ

#ไม่มีสภาวะจิตใดที่ไม่ปรุงแต่ง
#เว้นจากจิตแห่งอริยะบุคคล

การทำให้เราเท่าทัน และพ้นไปจากอำนาจการปรุงแต่งของจิต ตัดวงจรแห่งความทุกข์ และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมีเพียงการภาวนาเท่านั้น

จะเป็น 1 ชม. จะได้ครึ่งชั่วโมง หรือทำได้แค่ 10-15 นาทีก็ต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ได้..

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต











จุดที่เรา. พอ.
ความสุข. จะเกิดขึ้น.

ท่าน พอจ. ว. วชิรเมธี









"เวลาในชีวิตของคนเรา มันมีน้อย
วัน เดือน ปี มันเคลื่อนคล้อยลอยไป
ชีวิตเราก็ใกล้เข้า ขยับเข้าจ่อปากมัจจุราช
ทุกๆ ที เราจะมัวหลงมัวเพลิน อะไรกันอยู่?
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี อะไรที่ยังไม่ได้ทำ
ก็ให้พากันทำเสีย หากเวลาในชีวิตหมดลงแล้ว
จะย้อนกลับมาทำอีกไม่ได้"

หลวงปู่ขาว อนาลโย









"บุญจะมีเท่าเม็ดงา หรือขาริ้นก็ตาม
เธอทั้งหลาย อย่าประมาทเน้อ
ถ้าทำอยู่บ่อยๆ ก็สามารถจะมากขึ้น
เหมือนฝนตกลงมา ทีละเล็กละน้อย
ก็ทำให้แผ่นดินชุ่มกุศลผลบุญ
คือความดีสุจริตธรรม ที่เธอทั้งหลายทำ
ใจของพวกเธอ ก็นับวันจะสูงขึ้น"

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต








“กังวลอะไรของเธอในอดีต ... วาง
กังวลอะไรของเธอในอนาคต ... วาง
กังวลอะไรของเธอในปัจจุบัน ... วาง

ลองทำดูซิ คงได้ผลไม่มากก็น้อย
โดยปริยัติ ก็คือว่า วางกังวล
ลองเจริญสติอันนี้ดูเถอะ นี่คือสติปัฏฐาน
ด้านปฏิบัติ วางได้ก็เรียบร้อยเท่านั้น”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO