นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 1:02 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความประมาทของชีวิต
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 พ.ย. 2020 7:41 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4540
หากเคยชินกับการทำกรรมเบา
การทำกรรมหนักก็ไม่ยาก...

วาทะธรรม
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ









“พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ไม่ให้พวกเราตั้งอยู่ในความประมาทของชีวิต ถึงเราจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม คนแก่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างหรือธรรมะทั้งหลายรวบรวมลงไปในความไม่ประมาท ก็คือเมื่อคนไม่ประมาทในชีวิตของตน ไม่ประมาทในวัยของตน บุคคลนั้นย่อมปฏิบัติคุณงามความดีได้อย่างเต็มที่ การตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก็คือ ตั้งอยู่ในความดีตลอด ไม่คิดทำความชั่ว คนนั้นแหละจะเป็นคนที่เจริญที่สุด แม้แต่จะเป็นพระ องค์ไหนไม่ประมาท องค์นั้นก็จะบรรลุธรรมก่อนเพื่อน คนเราจะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะความไม่ประมาท”

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป












...คนที่ภาวนาแล้ว
บ่นว่าไม่ก้าวหน้าเลย
ไปปฏิบัติกี่วันก็เหมือนกับไม่ได้ไปปฏิบัติ
.
“ก็เพราะว่ามันคอยเข้าเกียร์ถอยหลังไง”
คอยเปิดมือถืออยู่เรื่อย
คอยติดตามข่าวต่างๆ
คอยติดตามเหตุการณ์เคลื่อนไหวต่างๆ
คอยติดตามบันเทิง
อะไรต่างๆมากมายก่ายกองในมือถือนี่
เดี๋ยวนี้มีเยอะไปหมด.
...............................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา27/ 6/ 2562
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










ผู้ที่รู้จักทางถูกทางผิด ก็เหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำ แล้วมาเจอแสงอาทิตย์ ดอกบัวนั้นก็บาน เหมือนคนที่ไปพบครูบาอาจารย์ ได้รับการชี้แนะสั่งสอนในทางที่ดี ก็พบกับความสงบ สุข สว่าง

หลวงปู่สูนย์จันทวัณโณ









สำหรับผู้มีปัญญา การสร้างประโยชน์ตนและการสร้างประโยชน์ผู้อื่นไม่ขัดกัน มีผลที่ดีต่อกันและกัน เมื่อฝึกฝนตัวเอง ความเมตตาและปัญญาซึ่งเป็นหลักในการสร้างประโยชน์ท่านก็ย่อมเกิดขึ้น ในการสร้างประโยชน์ท่านเราต้องใช้ความเพียร ความอดทน สิ่งเหล่านี้คือเครื่องชำระจิตใจของตน

การสร้างประโยชน์ตนเหมือนหายใจเข้า การสร้างประโยชน์ท่านเหมือนหายใจออก

พระอาจารย์ชยสาโร











" คนมีมากเท่าไร
เรื่องยิ่งมีมาก
อย่างอื่นมีมาก
เรื่องไม่ค่อยมากนะ
ถ้าคนมีมากเรื่องมากยุ่งมาก

ไม่มีอะไรเกินคน
บรรดาสัตว์โลก
สัตว์มนุษย์นี้
ยุ่งมากทุกอย่าง
ทั้งๆ ที่ว่าฉลาด
แต่ความฉลาด
กิเลสเอาไปใช้เสียซิ

เราเหลือตั้งแต่ความโง่มากๆ "

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว
ญาณสมฺปนฺโน










" จิตของพระพุทธเจ้า​
ไม่หวั่นไหวต่อ "โลกธรรม"

คือ มีลาภก็ไม่มีความยินดี​
เสื่อมลาภก็ไม่มีความยินร้าย

ความสรรเสริญ
พระพุทธเจ้าก็ไม่ตื่น
นินทา พระพุทธเจ้า
ก็ไม่โศกเศร้าเสียใจ
ไม่ดีใจ​ ไม่เสียใจ

ท่านจึงว่า​
มีลาภ​ เสื่อมลาภ​
มียศ​ เสื่อมยศ​
มีนินทา​ มีสรรเสริญ​
มีสุข​ มีทุกข์

๘​ อย่างเหล่านี้​
พระพุทธเจ้า​
และพระสาวกทั้งหลาย
ไม่มีความหวั่นไหว

ไม่มีความยินดียินร้าย
ในอารมณ์ ๘​ อย่างนี้

จึงได้ชื่อว่า​ จิตประเสริฐ​
จิตเกษม​ จิตฝักไฝ่อยู่ใน
คุณงามความดี ฝักไฝ่อยู่ในสติ

จิตให้รู้จักจิต​ ใจให้รู้จักใจ​
ให้จิตอยู่ในจิต​ ให้ใจอยู่ในที่ใจ

มีสติประจำไว้อยู่อย่างนั้น
ให้เตือนตนอยู่อย่างนั้น "

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​ขาว​ อ​นา​ลโย












"การให้ผลของกรรม ไม่ใช่ว่าจะทันตาเห็นเสมอไป
ออกผลชาตินี้ก็มี ชาติหน้าก็มี ชาติต่อๆ ไปก็มี

เมื่อพาลทำความชั่ว แล้วได้ความสะดวกสบาย
เขามักจะสรุปว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง เพราะทำชั่วได้ดี

เหมือนคนกินยาพิษยืนยันว่า ไม่น่าจะอันตราย
เพราะตอนนี้ ยังไม่รู้สึกอะไร และมันอร่อยเหลือเกิน"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ










“กิจใดเป็นบุญ เป็นกุศล
ก็จงทำเสียวันนี้ทีเดียว
ใครเล่าจะรู้ว่า ความตาย
จะมาถึงเรา ในวันพรุ่งนี้

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร












#ประสบการณ์เรื่องเล่าธรรมะตายแล้วฟื้น องค์หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

ตายแล้วฟื้น ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

...พอลงจากกุฏิ อาตมาก็มามองหาคนที่เรียก แต่ก็ไม่เห็นใคร ก็เลยแหงนมองพระอาทิตย์ก็ตรงหัวพอดี พอสายตาต้องพระอาทิตย์เลยหน้ามืดตาลายทันที แผ่นดินก็หมุนอยู่ตลอด เวียนหัวเลยทีนี้ มันจะอ้วก มันก็ไม่อ้วก ถึงอ้วกก็ไม่มีอะไรออกมาหรอกเพราะในท้องไม่มีอาหารเลย สุดท้ายลืมตาไม่ได้ก็ค่อยๆ ประคองตัวขึ้นมานอนลงข้างนอกกุฏินั่นแหละ พอล้มนอนลงอาตมาก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกเข้าๆ เหมือนภูเขาหลายๆ ลูกมันมาทับตัวอาตมาอยู่ มันหนัก อาตมาก็เลยกำหนดจิตดู มันก็เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งจิตมันหลุดออกจากร่างกาย
.
จิตหลุดออกจากร่าง
.
“พอจิตหลุดแล้วมันช่างเบาเหลือเกิน ไม่มีหนักอะไรเลย พอจิตหลุด อาตมาก็เห็นมีครูบาอาจารย์เดินผ่านมาแล้วก็ชวนอาตมา แต่ก่อนตัวเราก็อ้อนวอนหาความสุขอยู่ในโลก ที่ไหนก็ไม่มีอยู่ในโลกนี้ ท่านก็มาชักชวนจะไปเมืองสวรรค์ด้วยกันไหม จะขึ้นไปสวรรค์เดี๋ยวนี้ อาตมาก็บอกว่าไป ยิ่งอยากจะไปอยู่แล้ว ก็เลยไปด้วยกันกับท่าน ครูบาอาจารย์เยอะมากเลยก็ขึ้นไปกับท่าน ท่านก็นำทางพาไป แต่ไม่ได้ไปทางดินนะ เดินขึ้นทางอากาศ อาตมาก็เดินตามหลังขึ้นไป ขึ้นไปพอสมควร ก็เห็นวิมานเทพบุตรเทวดาสวยๆ งามๆ กันทุกองค์ ขึ้นไปชั้นที่ ๒ ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก ขั้นที่ ๓-๔ ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก พอไปถึงชั้นสูงสุด (ชั้นที่ ๖) ก็ไปสัมผัสของหอม พอสัมผัสกลิ่นหอมนั้นไม่รู้กำลังของอาตมามาจากไหน มีกำลังขึ้นมาเหมือนกับตัวเราไม่เคยอดข้าวมายังงั้น”
.
ครูบาอาจารย์พาไปสวรรค์-มองดูสัตว์นรก
.
“ของทิพย์นั้นก็มาจากการที่เราสร้างสมบารมีมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นมนุษย์ทำคุณงามความดีมาแต่ละวัน ทำบุญให้ทานมาตลอด ก็ขึ้นไปหล่อเลี้ยงเป็นเสบียงอาหารอยู่ในเมืองสวรรค์ พวกที่ไปสวรรค์ก็จะได้กินของทิพย์ที่เราได้สร้างเอาไว้จากตอนที่เราเป็นมนุษย์ อาตมาก็ได้เสวยของทิพย์ก็เลยมีกำลังวังชาขึ้นมา ปรากฏว่าชื่นบานไม่มีวิตก วิจารณ์อะไรสักอย่าง ความทุกข์ทรมานหายไปหมด พออาตมามองกลับมาที่มนุษย์โลกเรา นรกแต่ละลูกๆ ไม่เหมือนกัน ดูพวกสัตว์นรกที่ดิ้นอยู่ในนรกสลบตายกันอยู่อย่างนั้น พลิกคว่ำพลิกหงายสลบแล้วสลบอีก ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น เวลาโผล่หัวขึ้นมาได้แต่ละครั้งยกมือโมทนาเทวดาที่อยู่ข้างบน เขาสามารถเห็นกันเพราะเห็นกายทิพย์เหมือนกัน เทวดาก็กายทิพย์ พวกนี้กายทิพย์เป็นเปรตเป็นสัตว์นรก อาตมาก็รู้จัก และได้เห็นพวกที่ทำลายสัตว์ประเภทไหน ส่วนหัวก็จะเป็นสัตว์ประเภทนั้น ส่วนตัวจะเป็นตัวของคน เวลาขึ้นมาแต่ละครั้งที่พนมมือกันเต็มไปหมด ขอพรจากเทพบุตรเทวดา ให้พวกเขาได้หลุดพ้นจากบาปกรรมที่พวกเขาได้กระทำมา ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำอีกเลย เพราะมันทุกข์ทรมานเหลือเกิน จะขอสร้างคุณงามความดีเหมือนเทพบุตรเทวดา จะรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เขาจะสัมผัสได้ถึงสิ่งอธิษฐานของกันและกัน นรกบางลูกพอสัตว์นรกตกลงไปจะไหม้แดงทั้งตัว นรกบางลูกพอสัตว์นรกตกลงไปจะไหม้ทันที่ ลูกที่มีต้นงิ้ว ต้นงิ้วจะอยู่ตรงกลาง ขอบข้างมีฝาผนังกั้นไว้ สัตว์นรกจะเบียดฝาผนังไม่ได้จะไหม้ทันที มีอีแร้ง อีก สุนัข คอยจิกคอยกินอยู่อย่างนั้น อีแร้ง อีกา คือกรรมที่เขาทำไว้ กาพญากรรม แร้งพญากรรม ตามสังหารเขานั้นเอง”
.
รู้บาปกรรมของสัตว์นรก-บุญของผู้ไปสวรรค์
.
“พวกสัตว์นรกก็จะรู้บุญของพวกเมืองสวรรค์สร้าง พวกเมืองสวรรค์ก็รู้ว่าพวกสัตว์นรกสร้างแต่บาปกรรม เขาจะรู้จักบาปกรรมของกัน เวลาเขาไปเอาสัตว์นรกมา เขาผูกคอลากตีมาเลือดอาบกายมาเลย ลิ้นห้อยออกมายาวเป็นศอกเป็นวา พอมาถึงยมบาล ยมบาลจะเป็นผู้มีมหาอำนาจมาก พอสัตว์นรกมาถึงท่านจะก็จะถามถึงการกระทำของพวกสัตว์นรกว่าทำกรรมอะไรมาบ้าง ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำกรรมนี้มาใช่ไหม สัตว์นรกก็บอกหมดทุกกรรม พอบอกเสร็จท่านก็จะตัดสิน สร้างบุญบารมีมาเท่าไหนเธอก็ต้องไปตามกรรมของเธอ
.
พอยมบาลตัดสินแล้ว เขาจะไม่คุมไม่บังคับละ เขาก็จะวิ่งลงหน่วยหรือนรกของตนเองตามที่ตัดสินโดยที่ไม่มีใครบังคับเลย ส่วนพระเณรนี่จะต้องถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกไว้ไม่ให้เอาลงไปด้วย นรกของพระเณรมี ๓ ลูกใหญ่ๆ ยาวไปทางทิศใต้มองดูจนสุดลูกหูลูกตา มีราวเหล็กใหญ่เท่าต้นตาลยาวมากไว้พากผ้ากาสาวพัสตร์ไว้แน่นไปหมด”
.
สวรรค์สร้างวิมานรอผู้ทำกรรมดี
.
“เขาก็พาอาตมาเดินไปทั่วจนไปถึงวิมานหลังหนึ่ง หลังใหญ่มากสวยงาม มีแสงระยิบระยับไปหมดทั้งหลัง อาตมาก็ถามเขาว่าวิหารของใคร ทำไมไม่เห็นมีเจ้าของ ทำไมหลังใหญ่สวยจังเลย เขาก็บอกว่ามีเจ้าของแต่ตอนนี้เขาลงไปเที่ยวเมืองมนุษย์ เดี๋ยวเขาก็ขึ้นมาไม่นานหรอก พอมองลงไปเขาก็บอกว่านั่นไงเจ้าของวิมานนั่งอยู่นั้น อาตมาก็มองตามเขาก็มีความรู้สึกว่ารู้จักคนสองคนนั้น อ้าว... พ่อใหญ่กำนันพรมนั่นแหละเจ้าของ และนั่นก็แม่ใหญ่บุญมา เป็นภรรยาของพ่อใหญ่พรม ตั้งแต่แต่งงานกันมาก็ไม่มีลูกด้วยกัน นี่แหละวิมานเขาเพราะเขาได้สร้างศาลาหลังใหญ่ถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร อยู่บ้านขามเฒ่า อาตมาก็ได้ไปฉลองศาลาหลังนั้นกับเขาเหมือนกัน นี่แหละวิมานที่ไปฉลองกันละ เขาลงไปเมืองมนุษย์ไม่นานก็ขึ้นมาแล้ว เขาบอกว่าไม่นาน อาตมาก็สงสัย เลยบอกว่าพ่อใหญ่พรมนี่ ๗๐-๘๐ ปีแล้วนะ เป็นคนเฒ่าคนแก่แล้วนะ วันหนึ่งของเมืองสวรรค์นี่นานแค่ไหน เขาก็บอกว่าเลยกว่า ๑๐๐ ปีมนุษย์ เป็นวันหนึ่งของเมืองสวรรค์ ก็ตอนนี้พ่อใหญ่พรมเขาลงไปยังไม่ถึง ๑๐๐ ปีเลย ก็ยังไม่ถึงวันหนึ่งของสวรรค์ ไม่ถึงครึ่งวันด้วย ไม่นานเขาก็ขึ้นมา เขาบอกอาตมา”
.
โลกมนุษย์เหม็นความยิ่ง
.
“ตอนที่อาตมาสลบไปนั้น อาตมานุ่งผ้าอยู่ผืนเดียว พอเขามารับไปเมืองสวรรค์ปรากฏว่าอาตมาไม่ได้เอาผ้าครองไปด้วยคือผ้าไตรสามผืนมี สบง จีวร สังฆาฏิ ตอนจะย้อนกลับมาที่เมืองมนุษย์ อาตมาก็ไม่มีผ้าสามผืนนี้ ท่านห้ามไม่ให้พระสงฆ์ขาดผ้าสามผืนนี้เป็นเด็ดขาด ไปไหนก็ต้องเอาไปด้วย ให้รักษา อย่าให้ล่วงราตรีล่วงคืน อาตมาก็เลยต้องขอกราบลาครูบาอาจารย์ที่ชักชวนขึ้นไปสวรรค์นั้น อาตมาบอกว่ากระผมไม่ได้เอาผ้ามา นี่ก็จะล่วงราตรีแล้วจะกลับลงไปเอาผ้าซะก่อน พออาตมาของลา ท่านก็ยกมือรับกันทุกองค์ อาตมาก็หันหน้าก้าวลงมาก้าวเดียวเท่านั้น ตอนอยู่เมืองสวรรค์หอมมาก แต่พอก้าวลงมาก้าวเดียวเท่านั้นแหละเหม็นมาก คาวก็คาว เหม็นคาวหมดเลยเมืองมนุษย์เรานี่ ลงมาแล้วทำไมมันถึงเหม็น เพราะวิญญาณเรามาเข้าร่างแล้ว ร่างเรามีแต่ซากของสัตว์ เพราะตั้งแต่เกิดมากินแต่ซากของปู ของปลา ของเป็ดไก่ อาหารต่างๆ สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ฝังอยู่ในกายนี้ มีแต่ของเน่าของเหม็น มิน่าเทพบุตรเทวดาถึงไม่อยากมาอยู่เมืองมนุษย์นี้เพราะมันเหม็นคาวถึงจะหมดบาปหมดบุญแล้ว แต่นี่เพราะมันเป็นบาปเป็นกรรมของเรา”
.
กลับสู่โลกมนุษย์
.
“พอจิตอาตมากลับเข้ามาในธาตุในขันธ์แล้วนานเลยกว่าจะลืมตาเห็นแสงสว่างได้นี่ พอเห็นแสงสว่างแล้วจะยกเท้ามือขึ้นต้องพยายามยกอยู่นานจนเหงื่อไหล เพราะธาตะในร่างกายและชีพจรของเรามันยังเดินไม่สะดวก มันยังหมุนเวียนไม่รอบตัว พอมันรอบตัวแล้ว ก็ครองตังพยุงตัวได้ ลุกขึ้นได้แล้วก็เลยลงไปสรงน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ได้ยินเสียงระฆังที่ครูบาอาจารย์ตีให้ลงทำกิจวัตร เท่านั้นแหละพอลงมาได้ทีนี้หายจากโศกเศร้าโศกา ไม่กลัวตายวิตกวิจารณ์อะไรสักอย่างเลย ความเหนื่อยความหิวความกระหาย ก็เลยกวาดตาดไปเรื่อย พอกวาดไปจนถึงลานวัดก็เห็นหลวงปู่สม ท่านก็มองหน้าอาตมาแล้วพูดว่า “อ้าว...หน้าตาไม่เหมือนเดิมแล้ว” มันเป็นยังไง “หน้าตาไม่เหมือนคนธรรมดาเลย ไม่เหมือนทุกวันที่เห็นมีแต่ขี้หูขี้ตา มองหน้าก็ไม่ได้ วันนี้แปลก”

น้อมกราบเทิดทูนในธรรมโอวาท
องค์หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO