นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 6:17 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การกระทำกรรมดี
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 24 ก.ย. 2020 8:09 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
...ธรรมชุดเตรียมพร้อม ชุดนี้ดีมากนะ เพราะท่านสอนวิธีปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ท่านไม่สอนเรื่องทาน เรื่องศีล ท่านจะสอนเรื่องภาวนาเป็นหลัก

.เรื่องละตัณหาต่างๆ ความหลง เรื่องการปล่อยวางร่างกาย เพราะผู้ฟังคือคุณเพาพงานี้ ป่วยเป็นโรคมะเร็ง รักษาไม่หายแล้ว หมอบอกว่าไม่มียา ไม่มีวิธีที่จะรักษาเขาให้หายได้ เหลือเวลาอีกอย่างมากก็ ๖ เดือน เขาก็เลยมาพึ่งหลวงตาขอหลวงตาไปอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด “เพื่อให้หลวงตาช่วยสอนเขาเจริญทางด้านจิตใจ” ให้เขามีธรรมะเพื่อที่จะดับความทุกข์ที่เกิดจากความตายนี้ให้ได้

.หลวงตาบอกว่า ถ้าจะมาเพื่อภาวนาก็มาได้ แต่ถ้ามาแล้วต้องเอาหมอเอาหยูกเอายาเอาอะไรต่างๆ มาด้วย “ก็อย่ามาดีกว่า”เขาก็ใจกล้า ไปแบบตัวเปล่าๆ ไปเพื่อภาวนาจริงๆ หลวงตาท่านเห็นความจริงจังที่เขามุ่งมั่นมาหาท่านเป็นที่พึ่งจริงๆ ท่านก็เลยยอมสอนให้เขาได้มีที่พึ่ง

.หลวงตาท่านเทศน์ในปี ๒๕๑๘ เราเข้าไปอยู่ตอนเดือนเมษายน คุณเพาพงาไปตอนออกพรรษาแล้ว ช่วงปลายตุลาคม ต้นพฤศจิกายน “ท่านก็เมตตาเทศน์ทุกคืน”

.ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมา ท่านไม่เคยไปเทศน์ทุกคืนในครัวเลย “เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ท่านเทศน์ทุกคืน” ยกเว้นคืนที่มีภารกิจอื่น คืนที่ต้องเทศน์สอนพระ ท่านก็ไม่ได้ไปในครัว หรือไปธุระข้างนอก รู้สึกว่าท่านแสดงประมาณ ๙๐ กว่าครั้งด้วยกัน ในระยะเวลา ๔ เดือนนี้

.ท่านบอกว่า ท่านไม่เคยแสดงธรรมแบบนี้ให้กับใครมาก่อน เท่าที่เราได้ยินก็ทราบว่าเขาได้รับผลจากการได้ศึกษาได้ปฏิบัติในครั้งนี้

.ฉะนั้น ...ธรรมะนี้เป็นของที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติและรับผลได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาส เป็นหญิงหรือเป็นชาย ข้อสําคัญขอให้มีคนสอนเถอะ แล้วขอให้เราคนเรียนก็ตั้งใจเรียนจริง ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้วรับรองได้ว่าผลจะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน.

........................................
มหาเศรษฐีที่แท้จริง
หน้า 77-78
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








“ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
วันนี้เราเครียดแทบตาย แต่วันพรุ่งนี้
อาจเป็นวันที่ดีที่สุดของชีวิตก็เป็นได้”

หลวงปู่ขาว อนาลโย












#อริยสัจ

หลายคนคิดว่ากำหนดไปเรื่อยๆ แล้วสติจะเกิด

สติไม่เกิดหรอก #สติเกิดจากถิรสัญญา คือ #การที่จิตจำสภาวะได้แม่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ

เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติ #มีหน้าที่ทำความรู้จักสภาวะไปเรื่อยๆ แล้วสติจะเกิดเอง พอสติเกิดเอง ใจจะตั้งมั้นขึ้นมา คราวนี้ตั้งถูกต้อง ตั้งอยู่ที่ฐานของมันจริงๆ

ส่วนถ้ากำหนดๆ ไป ใจจะไปตั้งแช่อยู่กับอารมณ์ ไม่ใช้ตั้งมั่น

ทีนี้สติก็แยกไม่ออกหรอกว่า
สติอะไรที่ใช้ทำวิปัสสนาจริงๆ
สติอะไรไปรู้อารมณ์ที่เป็นสาธารณกุศล

สมาธิก็แยกไม่ออกว่า อะไรที่เป็นสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น อยู่ในการสักว่ารู้อารมณ์ ด้วยจิตที่อ่อน ที่เบา นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ควรแก่การงาน ซื่อตรง

รู้จักแต่สมาธิที่จิตถลำเข้าไปนอนนิ่งๆ อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยอำนาจบงการ ของตัณหาและทิฏฐิ

ปัญญาก็ไม่รู้จักนะ ปัญญามันเกิดจากสติ ไประลึกรู้สภาวะธรรมด้วยจิตที่มีสัมมาสมาธิ

ตัวสัมมาสมาธินี่แหละเป็นตัวชี้ขาดเลย ว่าจะมีปัญญาหรือไม่ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่มีปัญญาหรอก

มันจะไม่เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย เป็นอิสระจากสิ่งที่เรียนกว่าเรา ถ้าจิตตั้งมั่นขึ้นมามันหลุดออก จากโลกของความคิด ตั้งมั่นเป็นตัวของตัวเองอยู่ จะเป็นรูปนามไม่ใช่เรา เห็นตรงตามจริง มันไม่ใช่เรา ไม่ต้องละความเป็นเรานะ
.
พระธรรมเทศนา ๓"อริยสัจ"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช











#ทำบุญไม่ทันอธิษฐาน

#ผู้ถาม :
หลวงพ่อเจ้าขา ตอนที่เพื่อนข้างบ้านเขาจะฝากมาทำบุญกับหลวงพ่อ พอลูกบอกปุ๊บ เขาก็ศรัทธาหยิบปั๊บใส่มือลูกปุ๊บไม่ทันอธิษฐาน

เมื่อไม่ทันอธิษฐานก็ปรากฏว่า เมื่อลูกกลับไปแล้วไปบอกเขาว่า เงินที่ให้ลูกไปนั้นน่ะ ได้ทำบุญกับหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขามีความสงสัยว่าเอ๊ะ ลืมอธิษฐาน ลืมจด อานิสงส์จะสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซนต์ เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายอธิษฐานก่อนล่วงหน้าหรือเปล่าเจ้าคะ

#หลวงพ่อ :
อธิษฐานล่วงหน้า หรือล่วงหลังมีผลเท่ากัน การตั้งใจทำบุญจริง ย่อมเป็นบุญใช่ไหม อานิสงส์มันสมบูรณ์แบบแล้ว

อย่างแบงก์ 100 บาท ยังไงๆ ก็100 บาท มันไม่ใช่ 99 บาทใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ อธิษฐานก่อนหลังเหมือนกัน

อธิษฐานน่ะเป็นการตั้งใจเพื่อจะไปไหน เขาเรียก “อธิษฐานบารมี” ใช่ไหม ตั้งใจว่าตายจากชาตินี้แล้ว จะไปอเวจี ไปไหม

ที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 374 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2555 หน้าที่ 107 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง










#ไม่ทำบุญวัดครูบาอาจารย์หรอกรวยล้นฟ้าแล้ว #มีคนทำเยอะเเล้ว #หาทำบุญวัดที่ลำบากยากไร้ดีกว่า

สังเกตดูนะ ถ้าวัดไหนพระปฏิบัติดีจริง พระธรรมจะรักษา ความดีจะคุ้มครอง เทวดาไม่ปล่อยให้ตกต่ำย่ำแย่แน่นอน

ท่านได้มามากก็ยิ่งทำประโยชน์ให้โลกมาก อาตมาขอเถียงแทนวัดหลวงปู่หลวงตาหน่อยเถอะ

คนใจบอดมองไม่เห็นความดีที่ท่านทำ ไม่ศึกษาก็ไม่รู้ ไม่ดูตัวเอง หาแต่ข้อตำหนิติโทษท่าน

กิเลสมันกลัวความจริง กลัวพลังธรรมครูบาอาจารย์ กิเลสมันเลยหาเหตุผลมาลากคอเราออกไปจากธรรม มันกลัวเราจะได้ดีจึงปิดทางมรรคผลนิพพานเราน่ะสิ

โอวาทธรรม พระอาจารย์คม อภิวโร










#หลวงปู่เปลี่ยนเทศน์สอนเรื่อง #ความหลงของคนเรา

เมื่อบุญกรรมตกแต่งร่างกายนี้มา เราก็มาหลงเอากับร่างกาย หลงสวยหลงงาม.. บุญที่ทำ..อำนวยให้มีทรัพย์สมบัติข้าวของบริบูรณ์.. แล้วเราก็มาหลงกับสิ่งที่มีอยู่นี้อีก.. หลงกันไปว่านี่ฉันเกิดมาแล้ว ชีวิตก็มีความสุขสบายดี.. ไม่มีทุกข์เดือดร้อนอะไร.. แล้วก็ปรารถนาจะมาเกิดกันอีก อยากมาเกิดอีก เพราะความหลง หลวงปู่บอกว่า.. แม้แต่ตัวผู้เทศน์เอง(หมายถึงหลวงปู่)..ก็ยังมีความหลง ถึงได้มาเกิดอีก...

ท่านพูดเรื่อง อิทัปปัจยตา.. (อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ฯลฯ) อันมีทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ.. เรื่องสังขารคนเราปรุงไปทั้งดีและชั่ว..

ฟังเทศน์หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป









#การทำบุญปรารถนาอะไรในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ

ทำไมไม่เอาในชาติปัจจุบัน การเกิดมันทุกข์ยังพากันปรารถนาเอาอะไรอีก ยังอยากจะเกิดอีกซั่นบ้อ

#มันทุกข์มันบ่เข็ดบ่หลาบกัน

หวังอยากจะพ้นทุกข์ ยังจะปราถนาไปหาทุกข์อีก มันเป็นจั่งใด๋มันม่วน มันคักซั่นบ่การเกิด เกิดมาจากแม่มื้อแรกกะร้องไห้ แน่ะ!!

#มันสุขหรือมันทุกข์

เกิดมากะเจ็บ กะแก่ กะตาย บอนใด๋มันสุข มีแต่ทุกข์ล้วนๆ ยังสิปราถนาในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญอีกบ้อพากันพิจารณาเบิ่ง..

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม










#การเจ็บปวดเมื่อนั่งสมาธิ

พระพุทธเจ้าว่าให้สู้กับมัน มันจึงจะเห็นทุกขเวทนา นั่งสมาธิมันเจ็บ ให้ดูมัน มันเกิดมาจากไหน เวทนามันก็เวทนาต่างหากไม่มีตัว

#เราก็พิจารณาให้รู้เท่านั้นแหละ

ของไม่มีตนมีตัว มันเกิดขึ้น ก็เกิดจากร่างกาย เนื้ออย่างหนึ่ง แล้วก็มันรู้สึกถึงจิต รู้ถึงกัน จิตก็ไปยึด ยึดมันก็เจ็บ หนักเข้าก็ไม่สู้มัน

#ต้องสู้มันมันจะเห็น

พระพุทธเจ้าว่ากำหนดให้รู้ทุกข์ ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากเหตุ คืออยากเป็น อยากมี ความอยากเป็นอยากมี ความอยากมันเกิดมาแต่เหตุ เหตุมันเกิดมาจากไหน เหตุมาจากความไม่รู้ ไม่รู้เท่ากาย

จนกระทั่งความคิดทั้งหลายเข้ามา มันก็ไม่รู้ทั้งนั้น คือมันโง่เรียกว่า อวิชชา เป็นเหตุให้สัตว์ผู้ไม่รู้เท่า เกิดความยินดียินร้าย เกิดความพอใจ ไม่พอใจ เกิดความอยากเป็น อยากมี เป็นเหตุให้วนเวียน

#เรียกว่าสังสารจักร์วัฏฏกา

เวียนอยู่อย่างนั้น เป็นเหตุให้เราเวียนเกิดเวียนตาย อยู่ในภพน้อยภพใหญ่

กรรมดีเหมือนพวกคุณหมอก็ดี ไม่เจอะทุกข์ปานใด เกิดมาไม่เสียชาติเกิดเป็นมนุษย์ มิหนำได้เกิดมาพบโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า

#เกิดมาในปฏิรูปประเทศ

ประเทศอันสมควร คือประเทศมีพระพุทธศาสนา ประเทศมีนักปราชญ์อาจารย์เพื่อนแนะนำสั่งสอน ประเทศอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นมงคล

#พวกท่านทั้งหลายท่านเป็นผู้ไม่ประมาท

อตฺตสมฺนา ปณิธิ ผู้ตั้งตนไว้ในที่ชอบ อาชีพเลี้ยงชีพภายนอกดีโดยชอบธรรม โอวาทคำสั่งสอนก็ไม่ประมาท ทุกสิ่งทุกอย่าง มีการจำแนกแจกทาน มีการสดับรับฟัง แล้วก็ปฏิบัติตามดำเนินตามโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

#ธรรมทั้งหลายมีกายกับใจเท่านั้นแหละ

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ใจที่มันรู้เท่าแล้ว ก็มีความหน่ายต่อสิ่งทั้งปวง ทางความชั่วมันก็รู้เท่า แล้วมันก็เอาอยู่นั่นแหละ ไปยึดภพน้อยภพใหญ่อยู่นั่นแหละ

พวกเรายังนับว่าไม่เสียที แม้ยังไม่มีความเบื่อหน่าย ก็ยังเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้เอาทรัพย์สมบัติ คืออริยทรัพย์ให้ได้ให้เกิดให้มีอยู่ในหมู่ของตน อยู่ในสันดานของตนสะสมไว้

อัตภาพร่างกายเป็นของไม่มีสาระแก่นสาร ทรัพย์ภายนอกก็ไม่มีสาระแก่นสาร ชีวิตของพวกเรา ความเป็นอยู่ก็ไม่มีสารแก่นสาร

#เรามาพิจารณารู้อย่างนี้แล้วเราเป็นผู้ไม่ประมาท

รีบเร่งทำคุณงามความดีประกอบขึ้น รีบเร่งสะสมอริยทรัพย์ ศีลของเราก็บริบูรณ์ไม่มีด่างพร้อย ตามภาวะของตน ศีล ๕ ศีล ๘

เดี๋ยวนี้พวกท่านกำลังอบรมสมาธิ กำลังจะเอาทรัพย์อันนี้ เรียกว่าอริยทรัพย์ ศีลก็เป็นอริยทรัพย์อันหนึ่ง สมาธิก็เป็นอริยทรัพย์

#หมั่นอบรมจิตใจ

ปัญญาก็เป็นอริยทรัพย์ หมั่นอบรมจิตใจ เวลาเราเข้าสมาธิ จงให้สติประจำใจ กำหนดสติให้แม่นยำ รักษาจิตใจของเราให้อยู่กับที่ และให้จิตใจปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง กิจการงานของเรา

เคยทำมาอย่างไรก็ดีเวลาเข้าที่ให้ปล่อยวางให้หมด ความรัก ความชัง อดีต อนาคต วางปล่อยวาง ไม่ให้เอาใจใส่เรื่องนั้นๆ ให้มีสติประจำ ไม่ให้มันไปตามอารมณ์เหล่านั้น

ครั้นควบคุมสติได้แล้ว จิตมันอยู่คงที่แล้ว อยู่กับกายของตนแล้ว ให้มันเห็นกายของตนนั่นแหละ สิ่งอื่นอย่าให้มันมาเป็นอารมณ์ของใจ

ครั้นจะเพ่งเอาอารมณ์ ก็ต้องเพ่งเอาอัตภาพสกนธ์กายของตนนี้ ให้มันเห็น มัน กรรมฐาน ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พระพุทธเจ้าแจกไว้หมดแล้ว ไม่ใช่คน

#ไม่ใช่คนแต่ไปยึดถือมัน

ผมไม่ใช่คน ขนไม่ใช่คน เล็บไม่ใช่คน เราจะมาถือว่า ตัวว่าตนอย่างไรล่ะ ฟันก็ไม่ใช่คน ฟันมันต้องเจ็บต้องคลอน ต้องโยก ต้องหลุด อันนี้มันไม่ใช่ของใคร
สิ่งเหล่านี้เป็นของกลาง สำหรับให้เราใช้

เราต้องหมายเอาใจไว้เสียก่อน แท้ที่จริงก็ไม่ใช่ของเราอีกนั่นแหละ ถ้าใจเป็นของเราแล้ว เราบอกว่าเราบังคับคงจะได้ อันนี้ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร แล้วแต่มันจะไป ถึงคราวมันจะเป็นมันถือกำเนิดขึ้น มันยังไงมันก็ไม่พัง จะตีมันก็ไม่พังอีกแหละ เพราะเหตุนั้นมันจึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องรู้เท่ามัน

#เวลาเราภาวนาอย่าให้มันอะไรเข้ามาเป็นอารมณ์

นอกจากสังขารตัวนี้ มันก็ให้เห็นเป็นอนิจจัง ให้เห็นไตรลักษณ์ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก เห็นเป็นไตรลักษณ์ แล้วก็ให้เห็นเป็นปฏิกูลสัญญาของโสโครกน่าเกลียด ให้เห็นมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา

แล้วก็ไม่ใช่จริงๆ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก ไต หัวใจ ตับ ม้าม พังผืด อาหารใหม่ อาหารเก่า มันไม่ใช่เราทั้งนั้น ถ้าแจกออกไป ไม่ต้องไปยึดถือนะ ไม่ใช่นะ พระพุทธเจ้าว่า เรายังไปยึดถือ ว่าผมของเรา ขนของเรา เล็บของเรา ฟันของเรา อันนั้นแหละห้าม

#บางทีจิตของเราใจของเราถูกกับอันหนึ่งอันใดก็เอาอันเดียวเท่านั้นแหละ

พระพุทธเจ้าแจกไว้ แต่ว่าจริตของคนนิสัยของคน มันถูกอันไหน ก็เอาอันนั้นแหละ จิตมันหยุด จิตมันสงบกับพุทโธ จิตใจกับพุทโธ มันก็อยู่กับพุทโธ

อาตมามันถูกกับพุทโธ ตั้งใจเอาไว้ ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง กำหนดเอาสติรักษาใจไว้ เอาพุทโธไม่เผลอสติ ให้เห็นพุทโธตั้งอยู่กลางใจนี้ ไม่สบายเลยหาย

อาตมานิสัยถูกกับพุทโธ บริกรรมอัฐิกระดูก บางทีมันก็ถูก ถูกมันก็ปรากฏเห็นกระดูกหมดทั้งสกนธ์กาย

#พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็นจิต

มันไม่เห็นให้บริกรรมให้เห็น ต้องการให้มันเบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น อายตนะก็ดีตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น

เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก

#ท่านจึงให้สู้มันไม่ต้องหลบมัน

เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดูมัน

จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง เมื่อเราสกัดกั้นไม่ให้มันแส่ส่ายไปตามอารมณ์ภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น เรียกว่ากามคุณ ๕ ไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจะอยู่ที่ มันก็ว่างอารมณ์ ไม่มีอารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิตแล้ว

#จิตตั้งมั่นเรียกว่าจิตว่าง

ไม่มีอะไรมาพลุกพล่าน เหมือนกันกับน้ำในขัน หรือน้ำอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้วมันนิ่ง ก็เห็นสิ่งทั้งปวงอยู่ในก้นขัน ต้องเห็น เห็นอันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละปล่อยวาง มันจะเห็นโลภะ โทสะ โมหะ ราคะเรามี เราจะได้พยายามละถอนสิ่งเหล่านี้ออก

ปล่อยจิตว่างแล้วจิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่ง ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิตก็เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุขรู้เท่าสังขาร รู้เท่าสิ่งทั้งปวง

รู้เท่าความเป็นจริงแล้ว เกิดอันใดอันหนึ่งก็ดี หรือไม่ก็ครบรอบก็ดี เมื่อพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว จิตของเราไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนาเจ็บปวดมาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น

เมื่อรู้เท่าความเป็นจริงแล้ว ความติฉินนินทาก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น เสื่อมลาภก็ตาม เสื่อมยศก็ตาม เสื่อมสรรเสริญรักชอบก็ตาม ไม่เอาใจใส่เอามาเป็นอารมณ์ มันก็มีความสุขเท่านั้น

#จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ

พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ ให้ทรมานจิต ฟอกฝนจิตของเรา ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น

จิตนั่นแหละจะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือนำความสุข คือนิพพานมาให้ หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้ นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดเวลา ตราบเท่าชีวิต แล้วมีสติคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป...

_หลวงปู่ขาว อนาลโย









"..การกระทำกรรมดี
ในการนั่งทำสมาธิภาวนา
ฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบ
นั้น ก็ยิ่งเป็นการกระทำ
กรรมที่ดีอันยิ่งใหญ่มหาศาล

หากพวกเราท่านทั้งหลาย
ได้พากันหมั่นกระทำ
ความเพียร ฝึกอบรมจิตใจ
ของตนเองให้สงบเป็นสมาธิ
มั่นคงอยู่ในปัจจุบันนี้
ตั้งอยู่ในอารมณ์หนึ่ง
อารมณ์เดียวแนบแน่นดีแล้ว

พวกท่านทั้งหลาย
ก็จะได้รับผลคือ
ความสุขความสงบ
เยือกเย็นใจ เห็นผลอยู่ใน
ปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่

นี่แหละการกระทำกรรมดี
ในปัจจุบัน เมื่อกรรมที่ตนเอง
ได้กระทำนั้นให้ผล ทุกคน
ก็จะมีแต่ความสุขใจอยู่ใน
ปัจจุบันนี้ เป็นเครื่องรับรอง
ของการกระทำกรรมดี "

โอวาทธรรม
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO