นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 4:11 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความฉลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 25 ส.ค. 2020 12:59 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
ความอดทนอดกลั้น #อาตมาว่าไม่มีความเจริญ #ไม่ว่าทางโลกทางธรรมสำหรับคนอ่อนแอคนไม่อดทน เราต้องอดทนต่อสิ่งใดบ้าง ต้องอดทนต่อความร้อนความหนาว ความหิวความกระหาย อดทนต่อธรรมชาติและต่อสิ่งแวดล้อมที่เราแก้ไม่ได้ อดทนต่อคำพูดของคนอื่นและอดทนต่อกิเลสในจิตใจของเรา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องอดทนทุกสิ่งทุกอย่าง บางสิ่งบางอย่างต้องแก้ไข ไม่ใช่ว่าให้อดทนโดยไม่ทำอะไร นั่นจะเป็นอดทนแบบงมงาย ต้องกำหนดดูเสียก่อนว่าควรจะอดทนในเรื่องนี้ไหม และถ้ารู้สึกว่าสมควรจะอดทนเราก็อดทนไป แต่บางเรื่องไม่ควรจะทน

เช่นพูดถึงชีวิตแต่งงาน ถ้าฝ่ายสามีเครียดจากงานกลับบ้านตีเมีย เมียควรจะอดทนไหม ก็ไม่ควรเพราะถือเป็นความผิดระดับปาราชิก เราต้องมีหลักการของเรา #คู่ครองจะมีปัญหาไม่ใช่เพราะไม่รักกัน #แต่จะมีปัญหาเพราะไม่เป็นเพื่อนกัน รักกันโดยไม่เป็นเพื่อนกันได้ รักกันตีกันได้ด่ากันได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีจะทำไม่ได้ คนรักกันอย่าไปคิดว่ารักกันแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะต้อง happy ending ต้องเป็นเพื่อนที่ดีต้องมีคุณธรรมของเพื่อน #ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีหวังดีต่อกัน #ไม่มีทางที่จะทำร้ายร่างกายกันได้ ขอให้ยืนหยัดในหลักการ โดยเฉพาะในเรื่องการเบียดเบียนทางร่างกายไม่ให้มีเลย เป็นสิ่งที่ไม่ควรอดทน

แต่เรื่องความร้อนความเย็นเรื่องของธรรมชาติต้องอดทนได้ไม่เป็นไร ถ้าคิดไม่เป็น ร้องแต่ว่าไม่ไหว ๆ ถ้าบอกตัวเองอย่างนี้ก็แน่นอนคงไม่ไหวแน่ สองคนอยู่ด้วยกันคนหนึ่งก็ไม่ไหวอีกคนหนึ่งก็ไหว ๆ ก็พยากรณ์ไม่ยากใช่ไหม คนที่บอกตัวเองว่าไม่ไหวไม่นานก็หนีไปเลย แต่คนที่สองไหว ๆ เราก็เชื่อความคิดตัวเองมากเกินไปใช่ไหม อดทนในสิ่งที่ควรอดทน ใช้ปัญญากำหนดรู้ บางสิ่งบางอย่างอย่าเข้าใกล้เลย สิ่งไหนที่เป็นอันตรายอย่าเข้าใกล้เหมือนเหว หน้าผา เราก็ห่างออกมาจะได้ไม่พลาด สิ่งใดที่มันอันตรายมาก ๆ อย่าเข้าใกล้

พระอาจารย์ชยสาโร









#ประโยชน์ของการภาวนา

คนที่ทำแต่“บุญ” แต่ไม่ได้ทำ
“หลักของใจ (ภาวนา)” ไว้
ก็เปรียบเหมือนกับคนที่มีที่ดิน
แต่ไม่มีโฉนด จะซื้อจะขาย
เป็นเงินเป็นทองก็ได้ดอก แต่
มันอาจจะถูกเขาฉ้อโกงได้
เพราะไม่มีเสาหลักปักเขตไว้
คนที่มีศีลมีทานแต่ไม่มี“ภาวนา”
(คือหลักของใจ) ก็เท่ากับถือ
ศาสนาเพียงครึ่งเดียว เหมือน
คนที่อาบน้ำแค่บั้นเอวไม่ได้รด
ลงมาแต่ศีรษะ ก็ย่อมจะไม่ได้
รับความเย็นทั่วตัวเพราะไม่เย็น
ถึงจิตถึงใจ.. "

#ท่านพ่อลี_ธมฺมธโร








ประเด็นที่น่าแปลกก็คือว่า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองก็มีกิเลสอยู่ แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวแม้แต่น้อย และไม่ได้ขวนขวายในการเยียวยารักษาเลย กลับนิ่งนอนใจไม่เห็นโทษไม่เห็นภัย ดังนั้น สำนวนที่ว่า “กิเลสหนาปัญญาทึบ” นี้ก็คงจะเป็นพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายเป็นแน่แท้ นี่กระมังที่เรียกว่า “ปทปรมบุคคล”

พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ







#ก่อนสิ้นลมหายใจ
อันดับแรก มองดูพระพุทธรูปก่อน จำภาพพระพุทธรูปให้แม่น ภาวนาว่าอะไรก็ได้นะ จะถือพุทโธสำคัญเสมอไปก็ไม่แน่นอนนัก อะไรก็ได้ ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าคล่องแบบไหนภาวนาแบบนั้น อย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ปฏิบัติยุบหนอพองหนอมาแล้ว ถ้าคล่องในยุบหนอพองหนอแต่จิตใจนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้ ยุบหนอพองหนอก็อานาปานุสสติ แล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติ ก็ใช้ได้ อย่างนี้ไม่ไปนรก แต่ก็อย่าลืมชำระหนี้สงฆ์ ถ้าถามว่าต้องใช้เงินถึง ๘๐ บาทไหม ก็ต้องตอบว่าไม่จำเป็น เท่าที่เรามีอยู่ ถ้าเวลานั้นถ้าพระไม่มีที่บ้านของเรา ก็ใช้คนที่บ้านนั่นแหละ ว่าเอาเงินจำนวนนี้นะไปชำระหนี้สงฆ์ บอกกับท่านว่าฉันเคยนำของออกจากวัดที่มีพระก็ดี เป็นวัดร้างก็ดี หรือเป็นสถานที่ไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม ถ้าชื่อว่าเป็นของสงฆ์นำมาด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ขอชำระกันด้วยจำนวนเงินเท่านี้นะ
แล้วประการที่ ๒ เงินอีกส่วนหนึ่งสักบาทสองบาท ๙ บาท ๑๐ บาทก็ได้ เงินส่วนนี้ขอถวายเป็นสังฆทาน บอกกับพระท่าน บอกขอถวายสังฆทาน ตัดสินใจเป็นสังฆทานด้วย ชำระหนี้สงฆ์ด้วย จำภาพพระพุทธรูปด้วย อย่างนี้ทุกคนจะลงนรกไม่ได้
๑. ชำระหนี้สงฆ์ ตัดเขตนรกไป
๒. ถวายสังฆทาน ถ้าบังเอิญจะต้องไปเกิดใหม่จะต้องเป็นมหาเศรษฐี จะถามว่าเงินบาทสองบาทไม่มีค่า ซื้อกาแฟก็ไม่พอ ก็ไม่สำคัญ ก็ถือว่าเป็นเงินที่มีประโยชน์ใช้การได้ ไม่จำเป็นต้องมากนัก
๓. การนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ชื่อว่าเราจะไม่พลาดจากพระพุทธศาสนา หมายความว่าจะเกิดชาติไหนก็ตามก็จะพบพระพุทธศาสนาเรื่อยไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายจากความเป็นคนเป็นเทวดาก็ตาม เป็นนางฟ้าก็ตาม ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าถ้ากำลังใจอ่อนอาจจะเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็ได้ ถ้ามีจิตเข้มข้นมีใจแน่นอนมั่นคง อันนี้เป็นพรหม เอาแค่เวลาใกล้ตายนั่นแหละ ในเมื่อเราเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมก็ตาม ในระหว่างที่เป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมพระศรีอาริย์จะตรัส ใช้เวลาอีกประมาณล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ก็ตรัส นิดเดียวรอไหวไหม นับอายุกันก่อน ทุกคนที่นั่ง
อยู่ที่นี่ถ้าบังเอิญไม่มีจิตใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ นั่งที่นี่ทั้งหมดนี่ดาวดึงส์เขาได้กันแหงแก๋แล้วอย่างต่ำ เพราะอะไรรู้ไหม ถวายสังฆทาน สตางค์ที่ได้มาทั้งหมดฉันถือเป็นสังฆทาน จะเอาเป็นสังฆทานทั้งชุดก็ตาม หรือว่าจะเอาเงินเปล่า ๆ มาก็ตาม ถือว่าเป็นสังฆทานหมด ฉันไม่ถือว่าเป็นของส่วนตัว ยังไงกันท่าไว้ก่อน กันฉันด้วยซิ
ถ้าพวกนี้ไปลงนรกหมด ฉันไปเกิดใหม่จะไปบิณฑบาตที่ไหนล่ะ กันท่าเอาไว้ก่อน อย่าให้ลงนรกกัน ถ้าไม่ลงนรกเรามาเกิดแล้วพวกนี้ยังเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เราก็ยังบิณฑบาตกินได้ เราก็บวช มองดูมันยังไม่เกิดกันทำยังไงหว่า เราก็บวชซิ ถ้าขืนอยู่ต้องทำนากินตาย หากินลำบาก บวชก็เจริญกรรมฐาน พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตเริ่มเป็นทิพย์ ก็เริ่มหากินกับต้นไม้ เอาบาตรไปแขวนต้นไม้ ประเดี๋ยวเสียงบาตรก๊ง ลืมตามีข้าวแล้ว สบายมาก ไม่ต้องมีกับข้าว ไม่มีกับ มีแต่ดอกไม้สวย ๆ ๑ ดอก กินแล้วก็ชุ่มชื่นทั้งวัน ร่างกายดีปลอดโปร่งดีทุกอย่าง ท้องไส้ไม่เสีย ดีมาก
รวมความว่าอันดับแรกกันพวกนี้ลงนรกไว้ก่อนนะ อย่าลืม ๓ อย่างใส่ซองไว้ก็ได้ เตรียมไว้ ซองชำระหนี้สงฆ์ ซองนี้ถวายสังฆทาน ซองนี้สร้างวิหารทาน ๓ ซอง แค่ซองละ ๑๐ บาทก็พอ สั่งลูกสั่งหลานไว้ว่าถ้าหากว่า ฉันป่วยเมื่อไร ถ้าฉันลืมเตือนฉันด้วย เอาเงินจำนวนนี้ไปถวายพระ ให้ปฏิบัติตาม เขียนหน้าซองไว้ เพียงเท่านี้ปลอดภัยจากการตกนรกแล้วก็จะไปสวรรค์

จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๑๓๗ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คัดลอกโดย ด.ญ. ปุณยนุช ขจรนิธิพร









"คุณเอ้ย!!! โลกมันสอนเรา
บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก
บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องเรียนได้ทุกบท

คุณจะบอกว่าไม่ชอบวิชานี้ ไม่เรียนมันไม่ได้
เราชอบสุข เกลียดทุกข์ แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง
เมื่อคุณผ่านการสอบหนึ่งครั้ง คุณจะพัฒนาไปอีกขั้น
บทเรียนบางบท มันอาจจะแพงไปสักหน่อย
ต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะ หรือแม้แต่ชีวิต
แต่คุณอย่าลืมนะ วิชาดี ราคามันต้องแพง

โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบ ทุกรสชาติ
คุณจะได้เบื่อโลกหน่ายโลกอย่างแท้จริง
นิพพานของคุณ ก็จะเป็นนิพพานจริงๆ

อย่าเพิ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน"

หลวงปู่หา สุภโร









"คนที่มีความฉลาดฝังใจ
แม้จะสร้างโลก ก็ไม่กระเทือนถ้ำ
แม้จะสร้างธรรม ก็ไม่กระเทือนใคร
ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยอุบายความฉลาด"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








"ใครจะคิดชั่วเหลวไหล
ให้เป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่ต้องคิด

คนใดจะพูดชั่วเหลวไหล
ไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องของเขา

ตัวเราทุกคน สิ่งใดไม่ดี ไม่มีประโยชน์
ไม่พูดเสียเลย เพียรพยายามระวัง
รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร








#สมัยเด็กชายอินทร์เข้าไปกราบหลวงปู่หล้าเป็นครั้งแรก

ท่านก็สอนว่า เข้ามาสู่วัด มาอยู่ป่าดงพงไพร เทวบุตรเทวดามีทุกแห่งหนนะ ภูมิรุกขเทวดาอยู่ในภูจ้อนี่มีมาก ให้ตั้งใจภาวนา ให้ไหว้พระ ให้ยึดพระไตรสรณคมน์ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ให้แน่นหนามั่นคง ผีสางนางไม้กลัวหมด ถ้าเรายึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งแล้วอะไรก็เข้ามาไม่ถึง

ท่านพูดเรื่องชาดกเป็นนิทานว่า มีพ่อลูกไปหาฟืนอยู่นอกกรุงสาวัตถี พอหาฟืนใส่ล้อเต็มแล้วก็มาพักอยู่นอกเมือง วัวมันตามกันเข้าไปในเมือง ผู้เป็นพ่อก็ตามวัวเข้ามาในเมือง เมื่อได้เวลาเขาปิดประตูเมืองก็ออกมาไม่ได้ ลูกชายตัวเล็กๆไม่รู้จะไปนอนที่ไหน ก็มุดเข้าใต้ท้องเกวียน เพราะมืดค่ำไม่รู้จะไปที่ไหน

เมื่อนอนก็มีอมนุษย์ ๒ ตน คือพวกผีกระสือพวกผีอะไรก็ไม่รู้ล่ะ อมนุษย์ตนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นเด็กนอนอยู่ใต้ถุนเกวียน ก็ไปกระตุกขาดูว่ามันจะเป็นยังไง แต่อมนุษย์ตนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ บอกว่าอย่าไปทำนะ เด็กคนนี้เขาเป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อของเขายึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

ตัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อ จึงทดลองดูว่าจะเป็นยังไง เด็กคนนั้นพ่อแม่ได้สอนว่าก่อนหลับก่อนนอนให้ภาวนาพุทโธ ๆ หรือ อะระหัง สวากขาโต สุปฏิปันโน พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

เมื่ออมนุษย์ไปกระตุกขาเท่านั้นแหละ ก็กระโดดเหยงเลย อมนุษย์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิบอกว่า ถ้าเธอทำอย่างนี้เมื่อกลับไปเจ้าต้องมีโทษแน่ เจ้าต้องหาวิธีแก้นะ คือทำความดีทดแทนจึงจะถูก

อมนุษย์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิถามว่า จะให้ทำยังไง บอกว่าเข้าไปเอาอาหารในเมืองมาให้เด็กกิน คืออมนุษย์หายตัวได้แสดงฤทธิ์ได้ มันไปหาอาหารที่ไหนไม่ได้ ก็ไปเอาสำรับของพระเจ้าปเสน เมื่อได้มาแล้วก็ปลุกให้เด็กกิน เด็กมันหิวอาหารเพราะไม่ได้ทานอาหารเย็น ก็ลุกขึ้นมากินอาหาร พอกินเสร็จแล้วก็นอนต่อ อมนุษย์ก็ทิ้งสำรับทองคำไว้ที่นั่น จากนั้นก็ต่างคนต่างไป

พอรุ่งเช้า พ่อก็รีบออกมาพร้อมกับวัวล้อ พวกในเมืองเขาว่าถาดทองคำของพระเจ้าปเสน หายไปไม่รู้หายไปไหน คนทั้งหลายก็ออกตามหาคนละทิศละทาง พวกตำรวจออกไปก็ไปเห็นถาดทองคำอยู่ใต้ถุนเกวียน เขาก็จะจับผู้เป็นพ่อไปลงโทษ โทษประหารอีกต่างหาก

ทางผู้พ่อก็บอกว่า ผมเพิ่งออกมาจากในเมืองเดียวนี้ ก็ถามเด็กว่ามันเป็นยังไง เด็กก็บอกว่าพ่อเอาอาหารมาให้กินเมื่อคืนนี้ ฝ่ายพ่อก็ยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเพราะประตูเมืองปิด ตำรวจก็ไม่รู้จะเอาโทษยังไง ก็เลยไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นพวกอมนุษย์นะ

นี้ก็คือตัวอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ใดก็ตามยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะเป็นที่พึ่งแล้ว ภูตผีปีศาจเขาให้ความเคารพ หลวงปู่หล้าท่านสอนเด็กชายอินทร์ในสมัยนั้นนะ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว ให้ภาวนาพุทโธ ยึดพุทโธเข้าไว้เป็นหลักนะ ถ้าคนมีพุทโธแล้วพวกอมนุษย์ พวกผีปีศาจกลัวทั้งนั้น

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “ผีชั่ว กลัวพุทโธ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖








•#เสียงร้องประหลาด
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม

คนถามอาตมาถึงเรื่อง เสียงประหลาดที่ท่านเจ้าเมืองปราจีนบุรี (นายประมวล รุจนเสรี)
ได้ยินเมื่อคืนวันที่ ๙ เม.ย. ๓๔ นั้นว่าเป็นเสียงอะไรแน่

จะเล่าให้ฟังสั้นๆ ว่า แถวย่านบ้านนี้เป็นบ้านโดนสาป ตอนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จยกทัพกลับจากเชียงใหม่
ล่องไปสู่กรุงศรีอยุธยา ไปทางเรือ

ตรงนี้เป็นสถานที่เมืองพรหมนคร มีเจ้าเมืองครองนครนี้ พระองค์ทรงแวะเข้ามาถามย่านบ้านนี้ว่า พม่ามีเหลือแถวนี้บ้างไหม

พม่าอยู่หลังวัดนี้เยอะ สร้างวัดอยู่ที่นี่ หลังวัดอัมพวันเขาเรียกว่าวัดชีป่า สร้างหันหน้าโบสถ์ไปทางตะวันตก
พม่ายังอยู่ที่นี่อีกกลุ่มหนึ่ง ยังกลับเมืองไม่หมด คนบ้านนี้เพ็ดทูลว่าไม่มีพม่า ท่านบอกว่า อย่าโกหกเรานะ
ถ้าโกหกเราแล้วเอาดีไม่ได้ เลยไม่เสด็จแวะ เสด็จไปวัดสระเกศ เลยไชโยไปหน่อย อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
สมเด็จพระนเรศวรทรงสระพระเกศาที่นั่น จึงชื่อวัดสระเกศมาจนทุกวันนี้

มีหลวงพ่อองค์หนึ่งชื่อ หลวงพ่อโต๊ะ เป็นอุปัชฌาย์ ท่านอายุมากหลายปีแล้วในสมัยนั้น (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) ท่านขุดในฐานโบสถ์เก่า
เพื่อจะสร้างโบสถ์ใหม่ ได้พระรูปสมเด็จพระนเรศวรเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ ไม่ทราบว่าใครสร้างตั้งแต่สมัยใด อาตมายังเคยไปเห็น บอกว่า
"หลวงพ่อ ขอให้ผมไม่ได้เหรอนี่" ท่านบอกว่า "คุณอย่าเอาเลย ผมจะเอาไว้ถวายในหลวง"

โอ้โฮ ! เนื้อดีจัง เป็นเนื้อสัมฤทธิ์เป็นพระรูปสมเด็จพระนเรศวร รูปลักษณะคล้ายกับที่ผู้ว่าฯ (นายประมวล รุจนเสรี) สร้างเป็นเหรียญ
แต่พระองค์ยืนถือดาบ ตอนออกสงคราม ไม่ทราบใครสร้างไว้

ในปีรุ่งขึ้น ในหลวงเสด็จวัดสระเกศ หลวงพ่อโต๊ะก็ถวายพระรูปสมเด็จพระนเรศวรแด่ในหลวงไป เลยเสียงร้องประหลาดที่วัดนี้มีเสมอนะ
จะเล่าเรื่องแพทย์หญิงบุญเยี่ยม มานั่งเจริญกรรมฐาน ๗ วัน ที่กุฏิใต้ ทางโยมไปทานอาหารกัน เป็นกุฏิหลังเล็ก ๆ มีถนนเดิน ไฟสว่าง
ตี ๔ อาตมาลงโบสถ์ สวดมนต์สอนพระนวกะในระยะเข้าพรรษา ณ โอกาสนั้น แพทย์หญิงบุญเยี่ยมก็ออกเดินจงกรม นั่งกรรมฐาน
วันหนึ่งที่หน้ากุฏิไฟสว่างอย่างนี้ มีภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้ามาหา แล้วกล่าวว่า

"โยม ขอเจริญพร" แพทย์หญิงบุญเยี่ยมก็มองไปที่หน้ากุฏิ บอกว่า "พระคุณเจ้าอยู่วัดไหนคะ อยู่วัดนี้หรือเปล่าคะ
ทำไม่จีวรขาดหมดนี่" พระภิกษุองค์นั้นตอบว่า

"อาตมาชื่อพระเฟื่อง"

"อาตมาอยู่ที่นี่ ได้ถึงแก่มรณภาพไป ๑๕ ปีแล้ว"

"มาทำไมเล่าคะ"

"มาขอส่วนบุญ ช่วยแบ่งบุญให้อาตมาด้วยเถอะ" แล้วเล่าประวัติให้ฟังว่า

"อาตมาก่อนมาบวชนี้เป็นจ่าตำรวจอยู่นครราชสีมาแล้วลาออกมาบวช บ้านอาตมาอยู่ใต้วัดอัมพวันนี้ ขอส่วนบุญได้ไหม?"

ขอเจริญพร เพื่อทราบเสียตอนนี้ว่าผู้ที่มีบุญวาสนา มักจะมีผู้มาขอส่วนบุญอย่างนี้
บางที่จะได้ยินเสียงร้องครวญครางขอบุญกุศลให้ช่วยเขาหน่อย มันไม่ได้ยินทุกคนหรอก

แล้วแพทย์หญิงบุญเยี่ยม ก็บอกว่า "พระคุณเจ้าดิฉันจะแผ่เมตตาถวายกุศลให้" นี่แหละคนมีบุญวาสนา
บ้างจะมีผู้มาขอส่วนบุญ พระก็เป็นเปรตได้นะ

อาตมาออกจากโบสถ์ยังไม่สว่างดีแลย ประมาณตีห้าครึ่ง แพทย์หญิงบุญเยี่ยมมาค่อยที่หน้ากุฏิแล้วบอกว่า

"หลวงพ่อ ดิฉันจะถามอะไรสักหน่อย"

"ถามอะไรล่ะ มาทำไม ยังมืดอยู่ ยังไม่สว่าง ไม่ได้นั่งกรรมฐานหรือ"

"เมื่อสักครู่ ตอนตี ๔ ดิฉันออกมานั่งที่หน้ากุฏิกรรมฐาน มีพระองค์หนึ่งมาขอส่วนบุญ และพระองค์นั้นบอกว่าชื่อเฟื่อง มีไหมคะ"

อาตมาก็บอกว่า "มี ตายไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว"

แพทย์หญิงบุญเยี่ยมบอก "โอ้โฮ ! ขนหัวลุกเลย" พระเฟื่องเป็นเปรตอยู่ที่วัดนี้ เดี๋ยวนี้ยังอยู่นะ ทำไมถึงเป็นเปรต
ตอนบวชเป็นพระภิกษุอยู่วัดนี้ ไม่เคยทำกรรมฐาน สอนให้ก็ไม่เอา หัวดื้อหัวรั้น
เวลาเย็นเข้าบ้านทุกวัน บ้านอยู่ใต้วัดนี้ บอกได้ไม่กลัวหรอก

มีพระองค์หนึ่งชื่อหลวงตาอ้อน ชอบปลูกต้นน้อยหน่าปลูกไว้เยอะ ปลูกไว้ถวายพระ ไม่ได้เอาไปไหน
ทำสวนน้อยหน่าไว้เยอะแยะ มีน้อยหน่าสุกแล้วก็ถวายพระกันเท่านั้นเอง เป็นของสงฆ์

หลวงตาเฟื่องก็แน่เลย ลักของเขาไปเข้าบ้านทุกวันเอาโน่นไป เอานี่ไป ทำไมจะไม่เป็นเปรตเล่า เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในวัดนี้
ถ้าแพทย์หญิงบุญเยี่ยมเคยรู้จักพระเฟื่อง เคยมาที่นี่ อาตมาจะไม่เชื่อเรื่องนี้ นี่เขาไม่รู้จักเลยนะ บอกเป็นตุเป็นตะหมด
เลยบอกแพทย์หญิงบุญเยี่ยมไปว่า "โยม แผ่ส่วนกุศล ทำกรรมฐานเข้า" ทำกรรมฐานนี่ช่วยเหลือเปรตได้ดีมาก
ก็แผ่ส่วนกุศล ให้สมประสงค์ไปซื้อผ้ามาถวายสังฆทานให้ พอวันที่เจ็ดจะกลับ เวลาเดียวกัน หลวงตาเฟื่องห่มผ้าสวยมาแล้ว

"โยม ขออนุโมทนา ขอบพระคุณมาก บัดนี้ได้รับส่วนกุศลแล้ว" ก็เรียบร้อยไป และ "สัพพี" ให้ด้วย นึกว่าพระเปรตจะยถาสัพพีไม่ได้
แพทย์หญิงบุญเยี่ยมก็สาธุ เสร็จแล้วก็รีบมาหาอาตมาบอกว่า "หลวงพ่อ หลวงตาเฟื่องมาอีกแล้ว" นึกว่าจะมาขอส่วนบุญอีก แต่เปล่าไม่ได้มาขอ
มา "ยถา" ให้ และ จีวรที่เคยขาด เป็นจีวรใหม่หมด นี่เห็นไหม

เสียงร้องครวญคราง นี่มีมานานแล้ว มีโยมที่เป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งอยู่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มานอนพักกุฏิใต้
กุฏิสอนพระอภิธรรมหลังริมน่ะ พัก ๒ คน เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน แต่ก็เป็นเวลา ๔-๕ ปีมาแล้ว

กุฏินั้นแปลก บางทีโยมจะไปเขาก็เปิดไฟรับ ปิดไฟได้ เปิดไฟได้ อาตมาก็ให้ไปดูว่าคัตเอาท์อาจจะมีจิ้งจกเข้าไปต่อแล้วไฟช็อตไปติดได้
ให้ไปเปิดดูให้หมด ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย ก็เปลี่ยนคัตเอาท์ใหม่ ทำใหม่ ก็ยังเปิดไฟได้ ดังที่กล่าวนี้

ศาตราจารย์นั่นก็นอนหลับ สวดมนต์ ไหว้พระ แผ่เมตตาเจริญกรรมฐาน พอสมควรแก่เวลาก็นอนหลับ มีเสียงคราง เหมือนอย่าง เสียงประหลาด
ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ยิน ที่เล่าให้อาตมาฟังเป็นเสียงอันเดียวกัน มาร้องครวญครางอยู่ข้างหูศาสตราจารย์ก็ลุกปลุกเพื่อนอาจารย์ที่มาด้วยกันให้ลุกฟัง
อาจารย์นั่นก็ตื่นขึ้นมางัวเงียอาจจะไม่ได้ยิน เอ๊ะได้ยินคนเดียว ลืมถามท่านผู้ว่าฯ ไปว่า ที่ท่านนอนมีใครได้ยินด้วยไหม
ถามท่านศึกษาเกษม (นายเกษม หน่วยคอน) ก็บอกว่าไม่ได้ยินเลย เมื่อคืนนี้ท่านศึกษามานอนบนศาลา บอกว่าผมมานอนกับพระดีกว่า เพราะเจ้าเมืองกลับแล้ว

ที่เจ้าเมืองเล่าให้อาตมาฟัง ได้ยินเสียงครวญครางคล้ายๆ ว่า เกิดทุกข์อย่างแรง มาขอความช่วยเหลือฉะนั้น ศาสตราจารย์ก็แผ่เมตตาให้
เสียงร้องโหยหวนคล้ายๆ คนมีทุกข์อย่างแรงมาขอความช่วยเหลือนั้น แต่ยังมีจิตวิญญาณที่ติดค้างจากที่ประหารชีวิตอยู่อีกมากมาย
โทษทัณฑ์ที่ฆ่าเขา ๗ ชั่วโคตร และยังมีเวรกรรมดุร้าย โดนทำโทษ เช่น อสุรกาย เป็นต้นอสุรกายยังมีในวัดนี้อีกมากหลาย โดยอย่ากลัวก็แล้วกัน
ไม่ใช่ผีตาโบ๋ ไม่ต้องไปกลัว ออกมาเป็นคนอย่างนี้ ไม่น่ากลัวหรอก เหมือนนายวิโรจน์ที่ออกมารายงานตัวที่หอประชุมออกมาสวยๆ ไม่ใช่ตาโบ๋
ถ้าผีตาโบ๋นั่น ผีโทรศัพท์ ผีลิเกเอาหน้ากากสวมบางทีใครมานั่งกรรมฐานขี้เกียจลุก เดี๋ยวมาปลุกให้ได้ ที่นี่มีคนปลุก ไม่ต้องกลัวหรอก
แต่นี่เราก็ไม่สามารถจะทายได้ ว่าเสียงอัศจรรย์ดลบันดาลนี้เป็นเสียงใคร คงเป็นเสียงที่ขอความช่วยเหลือ

อาตมาก็เล่าเรื่องพระนเรศวร ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกลับมาว่าตรงกับเหตุผล ท่านจึงขอธูปไปจุดบอกเล่าตรงโน้น บอกว่าขอให้พ้นคำสาปเถอะ
อันนี้ขอเจริญพรว่า ผู้ใดมีบุญวาสนาสูง มักจะได้ยินเสียงมาร้องขอความช่วยเหลือ ถ้าเราไม่มีบุญกุศลพอ ก็ไม่มีใครมาร้องของความช่วยเหลือแต่ประการใด
ก็เข้าในหลักนี้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถจะค้นเดาว่า เสียงนั้นคือของใคร อันนี้จะไม่ขอบอกในที่ประชุมนี้ มีตัวอย่างอยู่หลายราย

หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 5
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม






#ดูหัวใจเจ้าของนั่นซิ

อย่าไปดูหัวใจคนอื่น ไปตำหนิคนนั้น ไปเกลียดคนนี้ ไปชังคนนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เข้าเนื้อเจ้าของทั้งนั้น

#ดูเจ้าของมันบกพร่องตรงไหน

ดูเจ้าของ ซ่อมเจ้าของลงไปให้เต็มที่แล้ว พอแล้ว เท่านั้นพอ

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน









#อาจารย์เจี๊ยะนี้_พ่อแม่ครูจารย์รักมาก_เมตตามาก

เพราะท่านเป็นลูกจีน นิสัยท่านบ๊งเบ๊ง ใส่กันเรื่อยกับพ่อแม่ครูจารย์ นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อกับลูกนะคุยกัน

พอทางนี้ผิด พ่อแม่ครูจารย์ก็บ๊งเบ๊งขึ้น ทางนั้นก็เถียง ซัดกัน เราเดินจงกรมอยู่ข้างในจนตัวสั่น ทางนั้นฟาดกันเปรี้ยงๆ มันอะไรน้า ผู้กลัวก็กลัวอยู่แล้ว คนไหนมันอาจหาญไปสู้กับพ่อแม่ครูจารย์

สักเดี๋ยวลงมา พอเงียบๆ เราก็ออกไป เสียงตะกี้นี้บ๊งเบ๊งๆ กับพ่อแม่ครูจารย์มีอะไรกัน ก็เย็บจีวรผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ พูดดีอยู่นะ เย็บจีวรผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ

#อย่างนั้นละท่านพูด อาจารย์เจี๊ยะไม่ได้มีว่าตัวดีนะ ความดีก็อยู่กับท่านตามเดิม เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ท่านพูดเท่านั้น ฟังเสียงบ๊งเบ๊งๆ อยู่ศาลาเล็กๆ เราเดินจงกรมอยู่ในป่า เสียงดุกันอะไรก็ได้ยินหมด นั่นละพ่อแม่กับลูก อาจารย์เจี๊ยะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเหมือนพ่อกับลูกนะ บทเวลาจะขึ้นปึ๋งปั๋งใส่กัน สักเดี๋ยวไปด้วยกันเงียบเลย เวลาลงมา แล้วเสียงอะไรบ๊งเบ๊งๆ ตะกี้นี้ ไปว่าอะไรท่านให้ท่านสับเอาล่ะ เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ไม่ได้ว่าตัวดีนะ เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ขบขันดี

อาจารย์เจี๊ยะนี้องค์หนึ่งเป็นคนตรงไปตรงมา กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊งๆ แต่ภายในละเอียดมาก ดูว่าท่านเคยทำทองมา ภายในละเอียดมาก ทำข้อวัตรปฏิบัตินี้ใครจะไปละเอียดเท่าอาจารย์เจี๊ยะวะ เป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียวเท่านี้ องค์เหล่านั้นไม่ไปเกี่ยวข้อง มีแต่ท่านองค์เดียวทำละเอียด เคลื่อนนิดหนึ่งไม่ได้นะของที่ท่านจัดไว้ทำไว้ บ๊งเบ๊งขึ้นเลย ใครมาทำนี่ เหอๆ ขึ้นเลย ท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น นี่ท่านก็เสียไปแล้ว ท่านบอกตรงๆ เลย อาจารย์ที่อยู่บนหัวใจผมนี้มีสององค์ว่างั้นนะ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง ท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครๆ ง่ายนะ

พูดต่อหน้าเลย อาจารย์อยู่บนหัวใจผมมีสององค์ คือท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านลงแล้วลงจริงๆ นะ คือเราจะเด็ดจะเดี่ยวขนาดไหนเป็นธรรมล้วนๆ ท่านฟังตามนั้น ท่านยอมรับๆ

เพราะฉะนั้นท่านถึงบอก ท่านเคารพพระอยู่สององค์นะ มีท่านอาจารย์มหาบัวกับท่านอาจารย์มั่นอยู่บนหัวใจ นอกนั้นท่านบอกว่าท่านไม่ลงใครง่ายๆ ท่านว่า ท่านก็พูดตรงๆ นี่ท่านก็เสียเสียแล้ว ละเอียดมากท่านอาจารย์เจี๊ยะ ข้อวัตรปฏิบัติละเอียดที่สุด กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊งๆ แต่เวลาเข้าภายในนี้ทำงานละเอียดนี้ท่านละเอียดมากที่สุด"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO