นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 5:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การอบรมจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 14 ส.ค. 2020 9:43 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
#หลวงปู่มั่น_เตือนสติหลวงปู่พรหม

หลวงปู่พรหมท่านมีศรัทธา ความเพียร
แก่กล้ามาก เวลาท่านทำอะไร ท่านจะไม่
กลัวตาย มีนิสัยเด็ดขาดมาก ยิ่งได้มาพบ
และอยู่ปฏิบัติธรรมใกล้ชิดหลวงปู่มั่นสม
ความปรารถนาแล้ว ท่านถือว่าได้มาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ผู้เลิศ แตกฉานในทางธรรม
ท่านก็ยิ่งมีกำลังใจที่จะเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมชนิดมอบกายถวายชีวิตทีเดียว

ช่วงแรกๆ หลวงปู่ตั้งใจทุ่มเทความเพียร
โดย ถือเพียงอิริยบถ ๓ คือ ยืน เดิน และ
นั่ง เว้นการนอน ไม่ยอมให้หลังแตะพื้น
ตลอดช่วงเข้าพรรษา

เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ แบบเอา
ชีวิตเข้าแลก ด้วยถือคติธรรมคำสอนของ
หลวงปู่มั่นที่ว่า “ธรรมอยู่ฟากตาย" ถ้าไม่
รอดตายก็ไม่เห็นธรรม เพราะการเสี่ยงต่อ
ชีวิตจิตใจอันเกี่ยวกับความเป็นความตาย
นั้น ผู้มีจิตใจมุ่งมั่นต่ออรรถธรรมแดนหลุด
พ้น เป็นหลักยึดของพระผู้ปฏิบัติพระ
"กรรมฐานจริงๆ”

แม้แต่พื้นกุฏิ หลวงปู่พรหมก็ต้องการให้
รื้อออก เพื่อจะได้ไม่ต้องนอน ท่านว่าถ้า
อยากจะนอน ก็ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นมาถึงเชียงใหม่ให้ลำบาก จะหลับจะนอนที่ไหน
ก็ได้

#หลวงปู่มั่นได้กล่าวให้สติท่านว่า

“ท่านพรหม อย่าไปทำอย่างนั้น จะทำให้
เป็นทุกข์เดือดร้อนแก่หมู่คณะ เพราะสังขาร
จะต้องพักผ่อนนอนหลับ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยจะทำให้ลำบากแก่หมู่คณะ.... ในการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นนั้ อุปสรรคต่างๆ ย่อมได้พบอยู่เสมอ ดังครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ ถ้าแม้จิต
ใจไม่แน่วแน่มั่นคงจริงๆ ก็คงจะทำไม่ได้

บางคราวผู้อดหลับอดนอนมากๆ สูญประสาท เสียจริตไปก็มี บ้างก็เดินชนต้นไม้ใบไม้ใบหญ้าให้วุ่นวาย หรือไม่เวลาออกบิณฑบาตเที่ยวตะครุบผู้คนก็มี เพราะเดินหลับใน เกิดอาการตึงเครียด ไม่สามารถดำรงสติตนเองได้

อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ
ให้ปฏิบัติเพิ่มสติกำลังให้แก่กล้าจริงๆ จึง
จะทำได้ เมื่อถึงคราวเร่งความเพียรก็ย่อม
จะได้พบความสำเร็จโดยไม่ยาก”

หลวงปู่มั่น แนะนำหลวงปู่พรหมให้เดิน
จงกรมและนั่งสมาธิให้มาก เพื่อฝึกจิตเสีย
ก่อน เมื่อกำลังจิตแก่กล้าแล้ว จึงค่อยเร่ง
ความเพียรอย่างหนักหน่วงตามความตั้งใจ
ของท่าน ผลย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

หลวงปู่พรหม เชื่อคำสอนของครูอาจารย์
ท่านมาเร่งความเพียรขึ้นอุกฤษฏ์ในพรรษา
ปี พ.ศ.๒๔๘๐ เมื่อครั้งพักจำพรรษากับ
หลวงปู่มั่น ที่วัดพระธาตุจอมแจ้ง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

พระลูกศิษย์ของท่านเล่าว่า “หลวงปู่พรหม
ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น
๓-๔ พรรษา ท่านมีความเพียรมากเวลาเข้าพรรษาท่าเดินจงกรม ดินลึกลงไป ๓ นิ้วโป้ง
ไม่นอน ๓ เดือน บรรลุถึงพระอนาคามี”

#หลวงปู่พรหม_จิรปุญฺโญ
#ที่มาหลวงปู่พรม_จิรปุญฺโญ
วัดประสิทธิธรรม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี












เรื่อง "กายอันนี้เป็นมูลมรดกจากบิดามารดา"

นะ เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา

“ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นาม ว่า “กลละ” คือน้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อย เจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ” คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือเป็นแท่ง และ เปสี คือ ชั้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑

ส่วนธาตุ “พ” คือลม “ธ” คือไฟนั้น เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็น "ธาตุอาศัย" ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม

ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้ว ก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดาเป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดา จะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิม ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง

ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่า
ไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่า นอบน้อมนั้นเป็นการแปล เพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตน ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ

นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม” เอาสระโอ จากตัว “ม” มาใส่ตัว “น” แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจ เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้

มโน คือใจนี้ เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่
จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา

ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือมหาฐานนี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก นโม แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมบัติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด"

(คัดบางส่วนจากหนังสือ "มุตโตทัย")
คติธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต










"..อย่าลืมคุณของพ่อ-แม่ เพราะร่างกายทุกคนที่ประกอบขึ้นมา ก็อาศัยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จากพ่อจากแม่จึงมีตัวตน ท่านเลื้ยงดูปูเสื่อ ให้ข้าวให้น้ำ ให้ศึกษาเล่าเรียน ให้มรดก ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา

สิ่งที่เราจะตอบแทนคือเป็นคนดีแก่วงศ์ตระกูล ฉะนั้นท่านจึงให้เคารพพ่อแม่ผู้ให้บังเกิด จึงจะเจริญในภพนี้และภพหน้า

ผู้ไม่เคารพพ่อแม่นำร่างกายของตนไปทำชั่วช้าเสียหาย เหมือนกับเราเหยียบย่ำ ข้ามหัวพ่อแม่ เพราะร่างกายเรานี้ ได้มาจากพ่อ จากแม่ เราต้องเคารพเพื่อไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมอันหนักแก่ตน.."

คติธรรม
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร










“คืนทุกอย่างให้ธรรมชาติไป”

...การปฎิบัติธรรมนี้ ไม่ได้ต้องการจะ
ไปเปลี่ยนธรรมชาติ
ต้องการจะดับความทุกข์
ที่เกิดจากความหลงของเราไปมองว่า..
ธรรมชาติเป็นของเราเท่านั้นเอง

.
ให้เราคืนทุกอย่างให้เป็นของธรรมชาติไป
คืนเงินทอง คืนทรัพย์สมบัติ
ข้าวของเงินทอง คืนสามีภรรยา
คืนบุตรธิดา คืนร่างกายของเรา
ให้กับธรรมชาติเขาไป

“แล้วเราจะไม่ทุกข์”.
.....................................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








#ภาวนาละกิเลส

ทุกขัง อริยสัจจัง ทุกข์มาตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย ตายแล้วถ้าจิตนี้ยังหลงไหลอยู่มันก็มาเกิดอีก เอาให้ไม่มาเกิด ละกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้มันหมดสิ้นไป เหลือแต่จิตใจที่บริสุทธิ์หลุดพ้นออกจากกิเลส ไม่หากิเลสใหม่เข้ามา ละกิเลสเก่าแก่ออกไปให้หมดสิ้น ตั้งใจลงไป ทำอะไรให้มีความตั้งใจ เรียกว่า สัจจะ ความจริงใจ อธิษฐานใจลงไป กิเลสกาม วัตถุกาม อย่าได้หวั่นไหวหลงไหลไป รวมกำลังตั้งมั่นลงไปในจิตใจจริงๆ วันไหน คืนไหน เดือนใด ปีใด ก็ตั้งใจภาวนาละกิเลสในหัวใจของตัวเองทั้งนั้นแหละ

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร









#การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ

"คือ จิตไม่ขุ่นมัว จิดผ่องใส จิตเบิกบาน
จะยืน เดิน นอน นั่ง ก็มีความสุข
ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่สังคมใดๆ
ก็องอาจกล้าหาญ การทำความเพียร
เมื่อสมาธิเกิดขึ้น​ จะไม่มีความหวั่นไหว
ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้ง
ทางโลกทั้งทางธรรม จากนั้นก็เป็น
ปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อปัญญา
เกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ได้เป็นประโยชน์
จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำ..
ทางธรรมก็สำเร็จ... "

พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนอบรม
ให้เกิดให้มีเบื้องต้นตั้งแต่ "ศีล"...

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย









"..รูป​ร่างกาย​ธาตุ​ขันธ์​
ของเรา เป็น​มูล​มรดก​
จาก​บิดา​มารดา​
ร่างกาย​เราเกิด​มา​จาก
ส่วนหนึ่ง​ของ​พ่อ​กับ​แม่​

ถ้า​เอาร่างกาย​นี้สร้าง​บุญ​
พ่อแม่​ก็​ได้​บุญ​
ถ้าใช้​ร่างกายไปทำบาป​
พ่อแม่​ก็​จะได้รับทุกข์​
รับบาปไปด้วย​

เหตุ​ปัจจุบัน​
เป็น​ผลในอนาคต​

ปัจจุบัน​ที่เรา​เป็น​
ก็คือผลจากอดีต.."

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​อ​ว้า​น​ เข​มโก








"..ร่างกาย​ทุก​คน​
อาศัย​ธาตุ ดิน​ น้ำ​ ลม​ ไฟ​
จาก​พ่อ​และ​แม่​จึง​มีตัวตน​

ท่าน​เลี้ยง​ดูปูเสื่อ
ให้​น้ำให้อาหาร​
ให้ศึกษา​เล่าเรียน​ ให้​มรดก​
ให้​ทุกสิ่งทุกอย่าง​แก่​เรา​

สิ่งที่​เราจะตอบ​แทน​
คือเป็นคนดีของพ่อแม่.."

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​บุญ​มา​ คม​ฺ​ภีรธมฺโม









"ความดีนั้น เราต้องทำอยู่เสมอ
ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต
ให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต
มันจึงจะเห็นผลของความดี

ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล
ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้ว ให้ไปรับศีล
เช่นนี้ เป็นการกระทำที่ ผิดทั้งหมด

เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา
ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่
ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้
เพราะตนเองเคยทำมา จนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ









“อย่าไปบ้ากับชีวิตให้มาก
เพราะมันเป็นสิ่งสมมุติ

เพราะชีวิตมันไม่มีจริง มันเป็นเพียง
การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
จงทำหน้าที่ให้ดี โดยไม่มีความทุกข์
ให้สงบ เย็น และเป็นประโยชน์

เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง
เราต้องคืนให้กลับสู่ธรรมชาติดังเดิม
แม้แต่ร่างกายที่เราเฝ้าดูแลก็ตาม”

ท่านพุทธทาสภิกขุ









"โลก ไม่มีดี ไม่มีเลวในตัวของมันเอง
มองโลกให้เป็นกลาง จึงจะเห็นความจริง

ความเลว หรือความดีของสิ่งใดๆ
อยู่ที่ใจไปแยกแยะกำหนด

เมื่อใดที่จิตว่าง จึงจะได้เห็นโลกทั้งหลาย
ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง"

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต








#การภาวนา

ไม่ใช่เพียงการกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ใช่แค่การภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่างเดียว

#การภาวนาเป็นการแก้อารมณ์

อุบายอันไหนเป็นวิธีการที่จะแก้อารมณ์ วิธีการอย่างไรที่จะเป็นวิธีการแก้กิเลส การกระทำอย่างนั้นเป็นการภาวนาทั้งนั้น

#จึงให้แก้เราอยู่เสมอ

เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนให้แก้เรา แก้กิเลส ความอยากเรื่องอาหารของเรา มันต้องแก้ด้วยการพิจารณาอาหาร ให้มันรู้จักให้มันเห็นว่าความจริงของอาหารเขาเป็นอย่างไร

ที่โลกสมมุติว่าเป็นอาหารอันนั้นๆ มีค่าสูงอย่างนั้นๆ มีความเอร็ดอร่อยอย่างนั้นๆ กินเข้าไปผ่านลำคอเข้าไปแล้วมันมีรสชาติไหม กินเข้าไปผ่านลิ้นแล้วเอามือล้วงคอให้มันออกมา แล้วจะเป็นอย่างไร จะมีความประณีตตกค้างอยู่หรือเปล่า มันก็ของทิ้งดีๆ นี่

#พิจารณาร่างกายของเรา

ผมตัดออกไป ขนโกนออกไป เล็บตัดออกไป ฟันถอนออกไป หนังก็เหมือนกันลอกออกไป แล้วผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่ออกไปนั้นเป็นคนหรือเป็นของทิ้ง

#ของทิ้งทั้งนั้น_ก็ว่าเป็นเรา

กิเลสมันไม่ใช่ของเล่นนะ มันดื้อด้าน มันเห็นชัดๆ มันก็ยังว่าของเรา มันดื้อด้าน มันไม่ฟังเหตุฟังผล มันไม่ยอมรับความจริง นี่ มันของทิ้งทั้งนั้น ของทิ้งของตายที่ร่างกายของเรา เราตาย

#ตายแล้วก็เป็นของทิ้ง
#เป็นของทิ้งทั้งหมด.

..หลวงปู่แบน ธนากโร..









"..อย่าลืมคุณของพ่อ-แม่ เพราะร่างกายทุกคนที่ประกอบขึ้นมา ก็อาศัยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จากพ่อจากแม่จึงมีตัวตน ท่านเลื้ยงดูปูเสื่อ ให้ข้าวให้น้ำ ให้ศึกษาเล่าเรียน ให้มรดก ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา
สิ่งที่เราจะตอบแทนคือเป็นคนดีแก่วงศ์ตระกูล ฉะนั้นท่านจึงให้เคารพพ่อแม่ผู้ให้บังเกิด จึงจะเจริญในภพนี้และภพหน้า
ผู้ไม่เคารพพ่อแม่นำร่างกายของตนไปทำชั่วช้าเสียหาย เหมือนกับเราเหยียบย่ำ ข้ามหัวพ่อแม่ เพราะร่างกายเรานี้ ได้มาจากพ่อ จากแม่ เราต้องเคารพเพื่อไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมอันหนักแก่ตน.."

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร











#มีผีมาเล่าให้ฟัง !!
#กรรมจากการด่าพ่อด่าแม่
ต้องชดใช้เป็น ๑๐,๐๐๐ๆ ปี‼

กรรมที่ลูกกับพ่อกับแม่นี้นะ พ่อแม่ด่าลูกนี่ด่าได้เพราะพ่อแม่ด่าลูกนี่อยากจะให้ลูกดีนะ แต่ถ้าลูกด่าพ่อแม่นี่ ถึงพ่อแม่จะทำผิดเป็นบางครั้ง ที่เรามองเห็น แต่เราไปพูดคำเดียวนี่...บาปแล้วนะ บาปเลย (กรรมหนัก) ถ้าด่าพ่อคำเดียวตายไปหน้าฝั่งนี้ตกหมึก น้ำหนองไหลเยิ้มลง แต่ข้างนี้ดีๆอยู่

แต่ถ้าด่าแม่อีก...หมดทั้งสองหน้า
หน้าสวยๆ ขาวๆ งามๆนี่ปื๊ดเลย คันละทีนี่ คันแต่เกาไม่ได้ น้ำเหลืองมันไหล ไหลอาบลงตามแก้มนี่ เปื่อยตลอดชีวิต จนกว่าจะหมดกรรมนี้...

“ โอ้ย !! เป็น ๑๐,๐๐๐ๆ ปี ”

โทษด่าพ่อด่าแม่นี่ไม่ใช่ธรรมดาเด้ !!
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงได้ตักเตื่อนไว้...
“ผู้มีอุปการคุณนี่ ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่เทิดทูนไว้ที่สูง”

เราเป็นลูกนี่ต้องตอบแทนบุญคุณ ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีน่ะ ธรรมสองอย่างนี้พระพุทธเจ้าว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก ไม่ใช่ธรรมดาเด้ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก ทำไมถึงว่าหาได้ยากนี่ ลูกที่จะรักพ่อรักแม่เท่ากันนี่ก็ยาก บางคนรักแต่พ่อบางคนรักแต่แม่ใช่ไหมละ แล้วลูกๆหลายๆคนนี่เป็น ๑๐ คนนี้ จะรักพ่อรักแม่เสมอกันนี่ มีไหม......ยาก!!

บางครอบครัวนี่ มีคนเดียวรักพ่อรักแม่ บางครอบครัวไม่มีสักคนเลย ปล่อยพ่อแม่ทิ่งเลยก็มี นี้แหละมันถึงเป็นวิบากกรรม มันถึงเป็นบุคคลที่หาได้ยาก แล้วก็พ่อแม่ที่จะรักลูกเสมอกันนี่...พ่อจะรักลูกคนนั้น แม่จะรักลูกคนนั้น มึงรักคนนั้นกูรักคนนี้ บางทีไม่รักทั้งหมดเลยก็มี นี้แหละบุพการียังรักลูกไม่เท่ากัน ลูก ๑๐ คนนี่ อาจจะรักแค่คนเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็ยการยาก พระพุทธเจ้าว่ายาก แค่สองคำนี้นะ บุคคลที่หาได้ยากสองอย่างนี้นะ บุพการีบุคคลผู้ทำอุปการะแต่ก่อนนี้ จะรักลูกสม่ำเสมอกันนี่...ยาก

กตัญญูกตเวที บุคคลคุณูปการะที่จะตอบแทนคุณบิดามารดาของตนเองสม่ำเสมอเท่ากันนี้ยาก นี้ ๒ คำของพระพุทธเจ้านี้ถือว่ายากแล้ว แต่พวกเรานี่อย่าให้มันยาก

อย่าให้มันเป็นเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอย่างที่พระพุทธเจ้าว่านี้มันเป็นบาปนะ มันเป็นบาปกับเรา ถ้าเราไม่เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่านี้...โอ้ย! ทางไปพระนิพพานอยู่ที่ตรงนี้ ทางที่เข้าอริยมรรค อริยผลนี่อยู่ที่ตรงนี้นะ ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นที่ไกล

พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพระโพธิสัตว์ที่จะได้มาเกิดเป็นมหากษัตริย์ครั้งแรกนี่ เป็นคนขอทานเด้ เป็นคนขอทานมาก่อนเด้ แล้วเลี้ยงดูบิดามารดาของตัวเองนี่ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก ไร่นาก็ไม่มี ไปรับจ้างมาเลี้ยงพ่อแม่จนเฒ่าแก่ชรามา พอตายก็เผาซากศพ ตัวเองก็ไปบวชเป็นดาบส รักษาอุโบสถศีลตลอดชีวิต ตายจากภพนั้นไปเป็นท้าวสักกะเทวราช เป็นหัวหน้าเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

พอสิ้นบุญจากบนสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เป็นพระราชามหากษัตริย์ ได้สร้างบารมีเต็มเปี่ยมมากขึ้นไปอีกทีนี่ นี้แหละพระเจ้า ๑๐ ชาติอยู่ในนี้น่ะ ต่อจากนั้นก็ได้เป็นพระราชามหากษัตริย์มาถึง ๑๐ ชาติน่ะ จนถึงเป็นพระเวสสันดร และจนถึงได้มาเป็น "พระสิทธัตถะราชกุมารน่ะ" (เป็นภพๆชาติมา)

“ นี้แหละอานิสงส์เต็ม ”

แล้วปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้า นี้คือความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างแบบอย่างให้กับพวกเรา ไม่ใช่เป็นของว่าเล่นเด้ !!

บางคนก็อาจจะคิดว่า " พ่อกูไม่แบ่งสมบัติให้ รักแต่พี่ชาย น้องสาวไม่สนใจเลย แม่ก็รักแต่พี่ชาย"
(บางคนโกรธ มาฟ้องหลวงปู่เด้)

หลวงปู่ : โอ้ย...อย่าไปคิดแบบนั้น เดียวมันเป็นบาป (ทนไม่ได้ก็ร้องไห้ เพราะตัวเองนี่เคยคิดอย่างนั้นมา)

แต่หลวงปู่ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น เราได้สมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าพ่อกับแม่ไม่รักเรา...น้ำขันเดียวกดหน้าใส่นั้นนะ ตายตั้งแต่คลอดใหม่ๆแล้ว เราได้แล้วสมบัติของพ่อของแม่นะ อาการ ๓๒ ได้มาแล้ว นั้นแหละเราทำตัวให้ดี ตั้งใจเก็บหอมรอมริด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ สะสมไปเรื่อยๆมันก็เป็นก้อนเป็นกำขึ้นมาเอง แต่ทำดีกับพ่อกับแม่ด้วย บุญกุศลมันก็จะหนุนให้เจริญขึ้นไปเองนะ ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มัวแต่คิดอย่างนั้น มีแต่โศรกเศร้า จิตไม่ดี สติปัญญาก็ไม่เกิด ทำอะไรมันก็ไม่เจริญรุ่งเรื่อง ก็จะตกต่ำอยู่ตลอดเวลา

นี้แหละไม่อยากให้คิดอย่างนั้น ถึงแม้มันไม่มีอะไร ก็ให้คิดว่าบุญวาสนาบารมีของเราในชาติปางก่อน เราไม่ได้ทำอะไรเอาไว้ เราไม่ได้สร้างกุศลเอาไว้ ชาตินี้เรามารู้มาเห็น ถึงว่าไม่มีเราก็จะทำดีให้ถึงที่สุดต่อผู้มีพระคุณของเราให้คิดอย่างนี้ ไม่ได้อะไรก็ขอให้ได้อุปัฏฐากอุปถัมค์

“ ตายไปแล้วชาติหน้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้มาเกิดตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้อีก แล้วก็ปราถนาถึงธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม ได้พบพระศาสนา ได้พบพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้เป็นครูอาจารย์ของเรา จะได้นำทางเราไปในทางที่ถูก ”

นี้คือความคิดของหลวงปู่ที่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ทุกๆคน ไม่อยากจะให้คิดเข้าข้างตัวเอง ที่คิดไปในทางที่เกิดความโลภ ไม่ให้อยากไปคิดอย่างนั้น

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
( เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาเสร็จครับ)











#วันนี้พี่น้องทั้งหลายโปรดทราบ_เราเป็นลูกชาวพุทธ_ให้มีกำหนดกฎเกณฑ์บังคับตัวเอง

เช่นวันนี้เข้าพรรษาถึงวันออกพรรษา เราจะมีข้อกติกาบังคับตัวเองเพื่อการกุศลอย่างไรบ้างสำหรับตัวเรา ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เข้าพรรษาสามเดือนนี้ควรจะได้อะไรเป็นที่ระลึก เป็นความสัตย์ความจริงบังคับตัวเองแล้วเป็นบุญกุศลขึ้นมาแก่พวกเรา วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาแล้วละ ให้ต่างคนต่างมีกฎเกณฑ์บังคับตนเอง ในพรรษานี้เราจะทำข้อบังคับตนเองเพื่อบุญเพื่อกุศลอย่างไรบ้างให้พากันไปคิดนะ
.
#การทำบุญให้ทานเป็นพื้นฐาน

ก็คือทานบารมี อย่างน้อยให้ได้ใส่บาตรพระวันละองค์ก็ยังดี แล้วมีคำสัตย์คำจริง คนที่เคยปล่อยตัวเป็นโกโรโกโสกินเหล้าเมาสุราทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นของสังคมติเตียนคือสังคมผู้ดี ตำหนิติเตียนก็ควรงดเว้น การงดเว้นเพื่อรักษาเจ้าของไม่ใช่เพื่อการทำลายตัวเอง ให้พากันมีข้อวัตรปฏิบัติบังคับตัวเอง เวลาจะหลับจะนอนมันจะยากแสนยากลำบากขนาดไหนก็ขอให้ไหว้พระสวดมนต์ จะภาวนาให้ได้สักห้านาทีก็ยังดี
.
#การภาวนา

คือการอบรมจิตใจ ที่มันวอกแวกคลอนแคลน หาความสัตย์ความจริงกับใจไม่ได้ ต้องเอาธรรมเข้าบังคับให้มีกฎมีเกณฑ์ เวลาจะหลับจะนอนไหว้พระสวดมนต์ตามแต่กำลังของเราได้มากน้อยเพียงไร แล้วให้นั่งภาวนา นั่งภาวนาจะนั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิอะไรก็ได้นะ แต่จิตนั้นให้เที่ยงตรงต่อคำบริกรรมของตน เช่นภาวนาพุทโธก็ให้จิตอยู่กับพุทโธ มีสติสตังบังคับจิตใจในเวลานั้น นี่เรียกว่าการอบรมจิต

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เนื่องในวันเข้าพรรษา
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO