นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 19 เม.ย. 2024 3:19 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 11 ส.ค. 2020 1:02 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
#ความทุกข์ทางจิตใจของเรา

มันเกิดมาจากอารมณ์ความรัก ความหลง ความห่วง ความคิดถึง ความโลภ ความโกรธ ฯลฯ ของเราเอง

#อารมณ์ที่ไม่ดีของเรา

มันก็เกิดมาจากอวิชชา คือความโง่ทางจิตใจของเราเอง จิตใจของเรามันโง่ มันไม่ดี เพราะมันยังมี ราคะ โทสะ โมหะอยู่

#เพราะมันยังมีความโลภโกรธหลงอยู่

เมื่อจิตใจยังโง่อยู่ ยังมีอารมณ์อยู่ ความทุกข์ทางจิตใจ จึงมีอยู่เรื่อยๆ

#เพราะฉะนั้น_ยาแก้ทุกข์คือ_ธรรม

จะต้องเน้นย้ำ เน้นย้ำภาวนา เพื่อดับทุกข์ ดับความเศร้าโศก ที่จิตใจโดยตรง

#หลวงปู่ไม #อินทสิริ









#เตือนจิตตน

อันนี้เรื่องของโลกบังธรรม กรรมบังจิต จิตเห็นผิดเป็นถูกไปได้ ก็เพราะกรรมบังจิต

#จิตเห็นผิดเป็นถูก_ก็จะทำความดีได้ยาก

เพราะฉะนั้น จึงให้เราอาศัยขันติ คือความอดทน ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ เราต้องยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อให้พร้อมทั้งกาย วาจา จิต ให้ซื่อตรงต่อพระธรรมคือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง อย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่เคลื่อนไหวหรือเอนเอียง ไปตามอารมณ์ทั้งหลายทุกอย่าง

#ให้มีสติสัมปชัญญะ_อย่างมั่นคงหนักแน่น

ก็แล้วเวลาตาเห็นรูป
ก็รู้ว่ารูปกับสีเท่านั้น
แล้วก็ผ่านไปดับไปเท่านั้น

ถ้าหูได้ฟังเสียง
ก็รู้ว่าเสียง
แล้วก็ผ่านไปดับไปเท่านั้น

#แต่จิตก็อยู่เป็นปกติ

ไม่ไปยึดอะไรสักอย่างมาไว้เลย ก็เรียกว่าจิตว่าง ก็เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ถึงแก่นได้ ก็เรียกว่าเป็นกลางหรือใจกลางได้ ก็เรียกว่า เป็นผู้ถึงพระไตรสรณคมได้

เชื่อกรรม เชื่อผล จิตของตนเองแล้ว มันก็ไม่ติดข้องอยู่กับอะไรสักอย่างเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ก็ให้รู้เท่าเอาทัน กันไว้อยู่เสมอ จะเผลอสติไม่ได้เลย

#เพราะเรายังไม่ทันชำนิชำนาญพอ

เราก็ต้องเอาสตินี้แหละ เป็นเครื่องอบรมจิตของเรา ให้อยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อไม่ให้เผลอสติไปได้เลย ต้องกำหนดให้รู้อยู่ทุกระยะในการเคลื่อนไหวไปมา ก็ต้องให้มีสติควบคุมจิตของเราไว้ เพื่อไม่ให้มันออกไปรับ เอาสิ่งภายนอกเข้ามาไว้

#ก็มีแต่ตั้งใจทำความดีแล้วอยู่เสมอ

ไม่ให้เผลอสติไปได้เลย ก็เพราะเรายังไม่มีความรู้ ยังไม่รอบคอบ ก็เลยรู้ไม่เท่าไม่ทันกับกิเลสตัณหา ก็จิตยังไม่มั่นคงเหนียวแน่น เราก็ยังเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาให้รู้อยู่เรื่อยไป

#เผลอสตินิดเดียวก็ไม่ได้เลย

ก็เพราะเรายังไม่ชำนิชำนาญ

เราจะเข้าใจไปทีละขั้นละตอนได้ ก็เพราะเราตั้งใจเชื่อมั่นอย่างแท้จริงอยู่แล้ว จึงได้มีศรัทธาตั้งใจทำทาน รักษาศีล ภาวนาได้

ก็เพราะเราได้สังเกตดูเหตุและผลของเราแล้ว เป็นความจริงหมดทุกอย่าง ถ้าเราทำบุญไว้น้อยก็ได้รับผลน้อย ถ้าเราทำบุญไว้มากก็ได้รับผลมาก เราทำมาหากินก็คล่องไปหมดทุกอย่าง

#เพราะเราเป็นผู้มีความเชื่อมั่นไปตามสัมมาทิฏฐิ

ก็เป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้ว จึงได้ตั้งใจละเว้นออกจากกามได้ ก็คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ออกมาได้ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้นเอง

#ก็เพราะเราเป็นผู้ตั้งใจมั่นอยู่ในความสงบ

เอาพุทโธอบรมจิตของตนเอง ให้มันอยู่กับอารมณ์อันเดียวไปก่อน ไม่แส่ส่ายออกไปทางอดีตและอนาคต ให้รู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบันให้มั่นคงดีแล้ว จิตก็จะสงบไปถึงขณิกะ หรืออุปจาระหรืออัปปนาก็แล้วแต่

#อันนี้เป็นพลังของจิตหนุนปัญญา

เพื่อให้เฉลียวฉลาดแหลมคมแก่กล้าเด็ดเดี่ยว ขึ้นมาได้

ก็เพราะพลังของจิตหนุนปัญญา ให้คิดชอบ ให้พูดชอบ ทำชอบ เลี้ยงชีวิตของตนไปในทางที่ชอบ ไปตามความเพียรละชั่ว ทำแต่ทางดีขึ้นไป ให้มากขึ้นไป ให้ได้เรื่อย

#เพื่อให้มีสติระลึกนึกไปแต่ทางดีอยู่เรื่อยไป

ให้เราตั้งใจมั่นอยู่ในการคิดค้นหาเหตุผลของตนเองไป เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น

#เพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเฉพาะตัวของเราเองไปก่อน

และเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้ส่งจิตของตนเองออกไปภายนอก มันจะไปเก็บเอาอารมณ์ภายนอกเรื่อยไป

#ให้เราตั้งสติกำหนดจิตของตนเองเข้ามาอยู่แต่ภายในของตนเองนี้

เพื่อให้มันรู้เรื่องเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร เราก็จะได้รู้เห็นไปด้วยตนเองหมดทุกอย่าง จึงจะสิ้นความสงสัยไปทีละขั้นละตอน

#ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดทุกอย่างเราก็ต้องใช้ปัญญาของเรา_ให้มันแยกแจกออกดู

ให้มันเห็นแจ้งชัดขึ้นมา ในจิตของตนหมดทุกอย่าง มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดยินดี อยู่กับสิ่งเหล่านี้

เราเป็นผู้ตั้งใจดำริชอบออกจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันนี้ให้มันพ้นไปเสีย ก็เพราะว่าเราเป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น

#ก็เพราะว่ากามตัณหานี้

เหมือนกับเชือกผูกคอ ปอผูกศอก ปลอกมัดขา

ภวตัณหามีแต่เป็นห่วงหน้าห่วงหลังอยู่อย่างนั้นแหละ เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น ก็เห็นแต่เรื่องของทุกข์ทั้งหมด ถึงหามาได้ก็มีความทุกข์ขึ้นมา ถ้าตกหล่นเสียหายไปก็เกิดทุกข์ขึ้นมาอีก ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้เลยหมดทุกอย่าง

#เรื่องของโลกอันนี้ก็มีแต่เรื่อง_มีแต่เป็นหน้าที่ของกามหมดทุกอย่าง

ถ้าเรารู้เห็นอย่างนี้แล้ว ก็จงตั้งใจมาทำความดีไว้ เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของศีล ซื่อตรงต่อพระธรรมดีแล้ว

ธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ก็ให้พร้อมทั้งกาย วาจา ใจของเราทุกอย่างอยู่เสมอ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของตนเองก่อน

#ให้เราเอาพุทโธเข้ามาอบรมจิต

ให้มันเสมอไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้วจะเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปนาสมาธิก็แล้วแต่ อันนี้เป็นพลังของจิตให้อิ่มเอิบเบิกบาน มีปีติอย่างเต็มที่ เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้แก่กล้าอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาได้

#ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบ

จึงเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดได้ จึงได้ค้นหาเหตุหาผลของตนเอง เพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริงไปด้วยจิตของตนเองไปหมดทุกอย่าง

แล้วก็ให้เราใช้ปัญญาของเราออกสำรวจตรวจตราดูให้เข้ามาหาตัวตนของเรานี้ เองว่า

#นะ

ธาตุน้ำมีอยู่สิบสองนั้น มีลักษณะอย่างไรบ้าง ก็ให้รู้ถึงจิต ก็เพราะจิตเป็นผู้รับรู้หมดทุกอย่างแล้ว ทั้งเห็น

#โม

ธาตุดินมียี่สิบถ้วน ให้รู้ถึงจิตให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง

#ไฟ

มีสี่

#ลม

มีหก

ให้เราแยกแจกออกดู ให้มันเห็นตามความเป็นจริงหมดทุกอย่าง และให้เราใช้ปัญญาของเราแยกแจกออกดู ไปตามดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเป็นอย่างๆ ไปก่อน เพื่อจะให้มันรู้อยู่ในลักษณะของกาย ในการเคลื่อนไหวของจิตหมดทุกอย่าง

#แล้วจิตของเรา_จะได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาให้ชัดเจน_แก่จิตของตนหมดทุกอย่าง

นับแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารเก่า อาหารใหม่ พังผืด กะโหลกศีรษะ เยื่ออยู่ในสมอง ศีรษะ ดูไปให้จบยี่สิบอย่าง อันนี้เป็นส่วนของพ่อให้มาเป็นตัวตน

น้ำมีสิบสองก็เป็นส่วนของแม่ทั้งหมดให้เรามาเป็นตัวตน ให้เราดูไปจนจบสิบสองแล้ว

#ล้วนแล้วแต่เป็นของพ่อแม่ทั้งหมดทุกอย่าง

ของเราแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นบุญคุณของพ่อแม่นี้ ก็หนักถึงธรณี จะหาอันใดมาเทียบมิได้เลย

ถ้าเราบรรจบธาตุรวมกันเป็นก้อนธาตุทั้งสี่แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของอนิจจังแล้วทั้งหมด ก็มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปอยู่ทุกเวลานาทีอยู่ทุกระยะลมหายใจอยู่แล้ว

#แต่จิตของเรานั้นก็ยังมีอวิชชาตัณหาหุ้มห่ออยู่

ก็เลยหลงไปยึดถือเอารูปหรือ ก้อนอนิจจังนี้ไว้ มันก็เลยเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาทันทีเลย

ถ้าเวลาไหนธาตุทั้งสี่นั้นมันอยู่เป็นปรกติไม่เกิดแปรปรวนขึ้นมา อยู่เป็นปรกติดีอยู่ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมา แล้วก็มีแต่ความหัวเราะเพลิดเพลินกันไปเท่านั้น

ถ้าเกิดอุเบกขาเวทนาขึ้นอยู่เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ว่าอยู่เฉยๆ

#ให้เราใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณา_ให้มันดูแล้วดูอีกอยู่อย่างนั้นแหละ

มันก็มีแต่ของไม่เที่ยงอยู่ทั้งนั้นแหละ

ไม่ว่าภายในร่างกายหรือของภายนอกต่างๆ ก็เป็นของเปลี่ยนแปลงไปได้ มีแต่ของชำรุดทรุดโทรมลงไปอยู่ทุกระยะภายในตัวเองทั้งหมดอยู่แล้ว

#แต่จิตของเราไม่รู้

ผู้ยึดไว้ถือไว้ไม่รู้ ก็เพราะว่าเรายังไม่รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงของธรรมชาติทั้งภายในภาย นอกแล้ว จึงหลงเข้าไปยึดไปถือเอาไว้ว่าตัวตนเราเขา ทั้งภายในภายนอกก็เลยไม่รู้ปล่อยรู้วางไปได้เลย

#เพราะมันเป็นของประจำโลกอยู่แล้วทั้งภายในภายนอก

เมื่อไรเราจะรู้ปล่อย รู้วางให้โลกเขาไว้ตามเดิมของเขา

ถ้ามีตามันก็ไปติดไปข้องอยู่กับรูปกับสี ถ้ามีหูก็ไปข้องอยู่กับเสียง มีจมูกก็ไปติดไปข้องอยู่กับกลิ่น มีลิ้นก็ไปติดไปข้องอยู่กับรส มีกายก็ไปติดไปข้องอยู่กับเย็นร้อนอ่อนแข็ง มีใจก็ไปติดไปข้องอยู่กับอารมณ์ดีและอามรณ์ไม่ดี ทั้งอดีตและอนาคต

#อันนี้เป็นหน้าที่ของสัญญา

เป็นเจ้าบัญชีใหญ่ จดจำไปหมดทุกอย่าง สังขารก็เอามาปรุงแต่งกว้างขวางออกไป ก็ไม่จบไม่สิ้นลงไปได้เลย วิญญาณก็รู้ไปตามเรื่องเหล่านั้น อย่างไม่หยุดยั้ง

#อันนี้แหละเรียกว่า_วัฏจักร

หมุนอยู่ในกองธาตุ กองขันธ์ กองอายตนะ อยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละ จึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกสมมุติอันนั้นแหละ อย่างเอาตัวรอดออกไปไม่ได้เลย

จึงได้วนเวียนมาเอาของเก่า มาโลภ มาโกรธ มาหลงกันอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น เรียกว่าเดินไปตามทางมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นถูกกันไปเลย ไม่ว่าตนเองและคนอื่น

สังขาร มันไม่หยุดปรุงแต่งลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เพราะมันยังเพลิดเพลินเจริญใจ อยู่กับของไม่เที่ยงอยู่เรื่อยไป ก็เพราะมันหลงเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นของเหม็นว่าเป็นของหอม

#มันก็มาติดมาข้อง มายึดมาถือไว้อยู่อย่างนี้แหละ

การปฏิบัติธรรมจึงไม่ถึงธรรม คือของจริงได้เลย ถ้ามีตามันก็ไปติดข้องอยู่กับรูปกับสี มันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ มันจึงไม่ถึงพระธรรมของจริง

เพราะฉะนั้น จึงไปถึงแต่ของปลอมของหลอกลวง แล้วก็เลยหลงหมุนอยู่ในหน้าที่ของกามอยู่เรื่อยไป จนถึงวันตาย

#ถ้าตายแล้วก็มาเกิดอีก

ก็มาหลงเอาแต่ของเก่านี้อีก ก็มาโลภ มาโกรธหลงอีกอยู่อย่างนี้ และก็มายึดมาถือกันอีกอย่างไม่จบไม่สิ้นได้เลย

เรื่องของวัฏจักร มันก็หมุนกันอยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละ อย่างไม่จบไม่สิ้นไปได้เลย เรื่องของมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบอยู่อย่างนี้แหละ ก็มีแต่เรื่องยึดเรื่องถือกันเอาไว้ทั้งนั้นเลย

#ก็เพราะความไม่รู้ถึงเหตุและผลของบุญและบาป

จึงได้หลงมัวเมาอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตของเราไปทางสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเห็นชอบแล้ว จิตสังขารมันก็หยุดปรุงแต่งได้ เพราะมันเห็นเป็นหน้าที่ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมดแล้ว

จิตของเราก็มีความว่างเปล่าไปหมด มันก็หยุดปรุงหยุดแต่งลงไปสู่ของทั้งหมด แล้วมันก็เห็นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนี้แหละ

ถ้าเราได้มาเกิดอีก ก็มาเอาของเก่าอันนี้อีก

ก็เพราะฉะนั้น จึงให้เราหัดปล่อยหัดวางออกไปไว้แต่เดี๋ยวนี้ไป ให้เราใช้ปัญญาสังเกตกิเลสตัณหาของตนเองอยู่บ่อยๆ ไป เพื่อให้มันชำนิชำนาญไว้ ก่อนแก่ก่อนเจ็บก่อนตายนี้แหละ

เพื่อไม่ให้มันหลง ไปตามเรื่องของโลกอีกต่อไป มันจะพาเรานี้หลงวนเวียนอยู่ในโลกสมมุติอันนี้อีกต่อไป อย่างไม่จบสิ้นไปได้เลย

ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เรานี้ใช้ปัญญาของเรามีอยู่เป็นพื้นฐานมาแต่เก่าก่อน นั้น คือ สัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเห็นชอบแล้ว จึงเป็นสัมมาสังกัปปะ จึงดำริออกจากกามมาได้

#ให้มีสติให้ปัญญาสอนจิตของตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้มันเพลินไปตามอารมณ์ต่างๆ มีทั้งชอบไม่ชอบหลายสิ่งหลายอย่างหลายประการต่างๆ นานากัน

ถ้าเราได้ใช้ปัญญาของเรา สำรวจตรวจตราดูแล้ว ก็พร้อมทั้งเหตุและผล ทั้งของตนเองและคนอื่น อย่างรอบครอบดีแล้ว ก็เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด ไม่มีอะไรจะมั่นคงจะดำรงอยู่ได้สักอย่างเดียวเลย

ถ้าเราได้พิจารณาไปพอสมควรแล้วก็หยุดพักผ่อน เอาพุทโธอบรมจิต

เพื่อให้จิตได้รวมลงอยู่กับ พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วถ้าจิตของเราก็จะได้สงบลงไปเป็นสมาธิ ขั้นไหนก็แล้วแต่จะเป็นขณิกะหรืออุปจาระ หรืออัปปนาก็แล้วแต่

อันนี้มันเป็นเพราะพลังจิต หรือเป็นอาการของจิต คือความสงบของจิตเป็นสมาธิ แล้วจะมีความอิ่มเอิบเบิกบานขึ้น มีกำลังกาย กำลังใจ ก็มีความสามารถอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมา เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

ถ้าเราใช้ปัญญาให้สำรวจดูแล้ว ได้รู้แท้เห็นจริงหมดทุกอย่าง แล้วปัญญามันจะตัดสินลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเขา ก็จบเรื่องทุกอย่าง ก็เพียงแต่อาศัยกันไปเป็นวันๆ เท่านั้น

เราตายแล้ว ก็เป็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียวเลย เดี๋ยวก็จากกันไป ไม่จากตายก็จากเป็นกันเท่านั้น ไม่แน่นอนไม่ว่าภายในกาย หรือนอกกายเหมือนกันหมดทุกอย่าง มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น เราได้ใช้ปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติธรรมดาแล้ว จิตสังขารก็หยุดปรุงหยุดแต่ง

ไม่มีสิ่งใดจะมั่นคงถาวร อยู่ในโลกอันนี้สักอย่างเดียวเลย มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปสู่สภาพเดิมของเขาตามธรรมชาติ เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับเป็นอยู่อย่างนั้น และไม่มีอะไรจะมั่นคงอยู่กับที่ไปได้เลย ก็มีแต่จะทรุดลงไปทุกระยะ

ไม่ว่าภายนอกภายใน ให้เราใช้ปัญญา ให้พินิจพิจารณาให้มากขึ้น ถ้าไปเห็นคนแก่ ก็ให้น้อมเข้ามาหาเรา ว่าเราก็เหมือนกันอย่างนี้หนอ หนีไปไหนก็ไม่พ้นเป็นอย่างนี้ไปได้ เยียวยาแล้วก็แก่จริงอย่างนี้หนอ เราจะหนีให้พ้นไปไม่ได้ ถ้าเราไปเห็นคนเจ็บ ก็ให้พิจารณาว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเราก็ต้องเจ็บอย่าง เดียวกันนี้ และหนีไปไหนไม่พ้นเป็นอย่างนี้ๆ ไปได้เลย ถ้าเราไปเห็นคนตายก็ให้น้อมเข้ามาหาเรา ในวันหนึ่งเราต้องตายอย่างนี้แน่

เราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น ไม่ว่าสัตว์บุคคลตัวตนเขาเรา ถ้าเราได้พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความสังเวชสลดใจของตนเองขึ้นมาในใจของตนเอง

ถ้าผู้พิจารณาอยู่บ่อยๆ แล้วจะมีความแยบคายเบื่อหน่ายขึ้นมา อยากจะออกจากห่วงของกามนี้ไปเสียให้พ้นได้อย่างแท้จริง ตามสติปัญญาเห็นชอบมาก่อนนั้น

และพิจารณาอยู่บ่อยๆ ถ้าไปเห็นสัตว์ตาย ต่างก็ใช้ปัญญาของตนเองว่า ตนกับสัตว์ก็จะต้องตายเหมือนกัน และก็ลงไปเป็นดินตามเดิม ถ้าตายลงไปแล้วก็ไปเป็นดินตามเดิม

ธรรมดาเกิดมาแล้วก็ดับไป ถ้าเราเกิดมาแล้วก็กลับลงไปเป็นดิน ก็ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้ มีแต่เสื่อมลงไปสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด

จึงได้เรียกว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ก็ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวเป็นของเราเลย ก็เหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น จะไปสู่ทุคติหรือสุคติเท่านั้น เป็นที่ไปสำเร็จได้ด้วยบุญกรรมนำไปตกแต่งให้ไปได้

ถ้าเราได้พินิจพิจารณาแล้วอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วนดีแล้ว อย่างแจ้งชัดไปด้วยปัญญาเห็นชอบมาแล้ว เราก็ตั้งใจมั่นอยู่ในหลักปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เผลอสติ

ให้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไหว เอนเอียงไปตามอารมณ์ อารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ปรุงไม่แต่งอะไร ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาได้ค้นคิดหาเหตุหาผลดีแล้วอย่างรอบคอบถี่ถ้วนถาวร มันก็ไม่ปรุงแต่งอะไรขึ้นมาอีก มันก็รวมลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด ตัวเราก็จะเป็นไปเพื่ออยู่เท่านั้น ไม่มีอะไรจะเอาไปได้สักอย่างเดียว ก็ยินยอมพร้อมใจ

โลกนี้ทุกอย่าง ทั้งร่างกาย ข้าวของเงินทองทุกอย่าง ก็มอบไว้กับโลกนี้หมด ทุกอย่าง ของภายนอกนับแต่ข้าวของเงินทองทุกอย่าง ก็มอบไว้กับโลกอันนี้ไว้แล้ว

เหลือแต่จิตกับผู้รู้อยู่ เป็นกลาง ไม่เอนเอียงแส่ส่ายไปมา รู้อยู่ ก็รู้อยู่กับหลักปัจจุบัน ไม่ใช่เก็บเอามาปรุงแต่ง รู้แล้วก็ปล่อยไปวางไป มันก็ดับไปเองเท่านั้น มันเบื่อหน่าย คายออกมาหมดแล้ว กับของไม่เที่ยงอันนี้

ถ้าเราใช้ปัญญาของเรา ให้สำรวจตรวจตราดูแล้ว ได้รู้เห็นตามปัญญาเห็นชอบมาแล้ว เป็นพื้นฐานของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาแล้ว จึงก้าวขึ้นไปเป็นสัมมาสังกัปปะ จึงตั้งใจดำริออกจากหน้าที่ของกามไปเสียให้พ้น

ก็เพราะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงมาก่อนแล้ว ก็เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด เพราะมันมีแต่เรื่องจะทุกข์อยู่เท่าถึงวันตาย

หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในโลกอันนี้ ไม่ว่าภายนอกภายใน มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ก็เรื่องอื่น ก็เกิดมาอีกอยู่อย่างนี้ และเรื่องของโลกไม่มีอะไรจะแน่นอนสักอย่าง

แล้วมันก็มั่นใจ อยากออกจากหน้าที่ของกาม ไปตามที่ปัญญาเห็นชอบนั้น เพื่อให้มันถูกต้องตามหลักของพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว มันก็มีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันกัน กับเครื่องสัมผัสทั้งหลาย มันก็ผ่านเราไปได้

มันไม่มาข้องอยู่กับจิตของเรา ก็เรียกว่าผู้รู้แท้เห็นจริง ในสัจธรรมทั้งหลายอย่างรอบคอบดีแล้ว ก็เรียกว่า ผู้ปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมอย่างแท้จริง แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแท้จริง

ก็เพราะเรา เป็นผู้มีความตั้งใจได้มั่น ไปในทางที่ชอบอยู่แล้ว คิดก็คิดไปในทางชอบ คิดมีเหตุมีผล ก็คิดเป็นบุญกุศลของตนและคนอื่น ไปอยู่ในที่ชอบไป เพื่อให้มีเมตตากรุณาต่อกันและกันไป พอได้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย

ที่มา : หนังสือทางพ้นทุกข์ โดย คุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย









ความคิดเกิดขึ้น. ถ้าเรา. ไม่ตามมันไป. มันก็ดับ.

/หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม







" อย่าไปคิดว่าเวลาเราแก่
หรือเวลาเจ็บไข้ ได้ป่วย
หรือใกล้ๆจะแตกจะตาย
แล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้น
ก็เป็นอันว่าคิดผิด

เพราะเวลาอยู่สบายนี้แหละ
เป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่ม
ภาวนาให้ได้ ให้ถึง "

โอวาทธรรม
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







" บางคนบอกว่า
เมื่อเราจะตาย
ต้องรักษาสติไว้
ไม่คิดถึงกรรมชั่ว
ความข้อนี้เป็นความ
ประมาทของเขาเอง
เขาคิดเดาเอาเฉยๆ
มันจะรักษาได้อย่างไร
ในเมื่อมันไม่มีสติ

มีกรรมนิมิต เป็นเครื่อง
ชักจูงให้เป็นไปเอง ในการ
ที่ปล่อยให้เป็นไปเอง ไม่
สามารถจะกลับมาแก้ตัวได้อีก

ฉะนั้น ทำเสียเดี๋ยวนี้
ตั้งแต่เป็นมนุษย์อยู่ และ
เมื่อถึงคราวจะตายนั้นแล้ว
มันเป็นเองหรอก
ทำดีมาก ทำชั่วมาก
มันก็เป็นไปตามเรื่องที่ทำ
เอาไว้ มันเป็นเอง
เกิดเองของมันต่างหาก "

โอวาทธรรม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี







" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
ของทุกอย่างในโลกนี้
เป็นของสมมุติทั้งสิ้น

ถ้าเราเอาชนะตัวเอง
มันก็ชนะทั้งตัวเอง
ชนะทั้งคนอื่น
ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป
เสียง กลิ่น รส ทั้งโผฏฐัพพะ
เป็นอันว่าชนะทั้งหมด

แต่มนุษย์ในโลกนี้
ไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญา
ว่าของทุกอย่างในโลกนี้
ตัวคนนั้นแหละ
เป็นผู้ไปยึดไปติดทั้งสิ้น
แล้วก็มาอาลัยอาวรณ์
กับตัวยึดตัวติดอันนี้

ถ้าบุคคลใดพิจารณา
ด้วยปัญญา และนำคำสอน
ของพระพุทธองค์
ไปประพฤติปฏิบัติ
ก็จะไม่หลง
กับตัวยึดตัวติดอันนี้

ผู้ใดทำ ผู้นั้นเห็นเอง "

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี








...เราจักต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นไป

..... ความโศกเศร้าเสียใจ ย่อมนำความทุกข์มาให้หมู่มนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

จริงดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ...ความโศกเศร้าย่อมเกิดจากของที่เรารัก ความทุกข์ย่อมเกิดจากของที่เรารัก.

"หลวงปู่ชา สุภทฺโท"






"โลก เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด
ปัญหาที่เข้ามา คือบทเรียน
มารทั้งหลาย คือครูของเรา"

หลวงปู่หา สุภโร






"ความชั่ว ไม่มีในที่ลับ ที่แจ้ง
เราไปทำในที่ลับ ทำความชั่ว
มันก็บาปอยู่นั่นเท่าเดิม
เราไปทำอยู่ในที่แจ้ง ที่คนเห็น
มันก็บาปอยู่เท่าเดิม

คนกระทำความดี ทำอยู่ในที่ลับ
ไม่มีใครเห็นก็ดี กราบไหว้บูชา
ไหว้พระสวดมนต์ก็ดี รักษาศีลก็ดี
เจริญภาวนาก็ดี อยู่ในที่คนไม่เห็น
อยู่ในห้องใครไม่เห็นก็ดี

มันก็เป็นความดีอยู่นั้นแหละ
ความชั่วก็เช่นกัน ความดีก็เช่นกัน"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO