นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 5:44 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 26 เม.ย. 2020 7:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
ลูกถึงแม้จะออกจากท้องของเรา เป็นลูกของเรา แต่ก็เป็นลูก แต่เพียงร่างกาย คือเขาอาศัยร่างกายของพ่อของแม่เท่านั้นเอง แต่จิตใจของเขานั้นไม่ได้มาจากพ่อจากแม่ จิตใจของเขานั้น มาจากกรรมในอดีต

หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
ธรรมะบนเขา ๒ กันยายน ๒๕๔๓











#การปฏิบัติในเวลาบำเพ็ญเพื่อธรรมเบื้องสูง

ปกติที่ท่านอยู่ในป่าในเขาโดดเดี่ยวแต่ผู้เดียว ในเวลาบำเพ็ญเพื่อธรรมเบื้องสูง ท่านว่าท่านอยู่กับความเพียรทางใจแทบตลอดเวลา จะมีเวลาว่างเฉพาะเวลาหลับนอนเท่านั้น นอกนั้นเป็นความเพียรล้วน ๆ โดยมิได้กำหนดอิริยาบถใด ๆ เลย การพิจารณาธรรมภายในเพื่อถอดถอนกิเลสมีสติปัญญาเป็นเพื่อนสอง คือ ท่านพูดคุยโต้ตอบกับกิเลสด้วยสติปัญญา มีความมุ่งมั่นเพื่อแดนพ้นทุกข์เป็นสื่อชวนให้คุยกับสิ่งเหล่านั้น แต่มิได้พูดคุยด้วยปากเหมือนเราคุยกันหลายคน หากแต่พูดคุยด้วยการคิด การไตร่ตรองการโต้ตอบกับกิเลสภายในด้วยสติปัญญา กิเลสผู้คอยหาช่องหาทางออกตัวจะออกทางใดช่องใด หรือตบต่อยผูกมัดท่านด้วยกลอุบายใด ท่านก็ใช้สติปัญญาตามต้อนตบตีขยี้ขยำกิเลสโดยอุบายต่าง ๆ จนเอาชนะไปได้เป็นพัก ๆ

#จุดใดที่ท่านทราบว่ากิเลสยังเหนือกว่าอยู่ ก็พยายามส่งเสริมอาวุธ คือ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ให้มีกำลังกล้าขึ้นโดยลำดับ จนกว่าจะเหนือกว่ากำลังของกิเลสที่เป็นฝ่ายข้าศึก จนเอาชนะไปได้โดยตลอดถึงขั้นโลกธาตุหวั่นไหวภายในใจ ขณะเจ้าผู้ครองวัฏจิตถูกทำลายลงด้วยมรรคญาณ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว

นี่เป็นวิธีดำเนินความเพียรท่าน ในขั้นสุดท้าย คือ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา ท่านมิได้กำหนดเวลา แต่ถือเอาความเพียรเพื่อชัยชนะเป็นที่ตั้งไปตลอดสาย มีสติปัญญาเป็นเครื่องดำเนิน พอพ้นจากดงหนาป่าทึบไปได้แล้ว ท่านว่าเครื่องมือเข้าสู่สงครามคือสติปัญญาประเภทนั้น ย่อมหมดปัญหาไปเอง เหลือแต่สติปัญญาที่ใช้อยู่ประจำขันธ์เท่านั้น เวลาต้องการใช้เพื่อคิดอรรถคิดธรรมลึกตื้นหยาบละเอียด หรือธุระอย่างอื่นก็นำมาใช้เป็นคราว ๆ ไป พอสิ้นเรื่องแล้วก็ระงับไปในที่นั้นเอง ไม่มีการเตรียมรุกเตรียมรบกับอะไรดังที่เคยเป็นมา

#ถ้าไม่มีข้ออรรถข้อธรรมมาสัมผัสจิตพอจะให้คิดอ่านไตร่ตรองไปตาม ก็อยู่ไปเหมือนคนไม่มีสติปัญญา หรือเหมือนคนโง่แบบไม่เอาเรื่องเอาถ่านกับอะไรที่เคยเกี่ยวข้องกันมาอย่างชุลมุนวุ่นวายนั่นเลย

#ปรากฏมีแต่ความสงบสุขเด่นอยู่ในใจประเภท_อกาลิโก เท่านั้น ไม่มีอะไรมายุ่งเกี่ยว ถ้าอยู่ลำพังใจที่สงบราบคาบจากสิ่งทั้งหลาย ไม่คิดไปถึงเรื่องเคยมี เคยเป็น ที่อยู่ตามธรรมชาติของเขาทั่วไตรโลกธาตุ ก็เป็นเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ประหนึ่งดับไปพร้อมกับกิเลสโดยสิ้นเชิง

เวลามีหมู่คณะเข้าไปอาศัยอบรมด้วย ก็มีการประชุมให้โอวาทสั่งสอน คอยตักเตือนว่ากล่าวในเวลาที่เห็นว่ารายใดไม่สู้งามตางามใจ หรือทราบเรื่องของใครในทางจิตตภาวนา โดยการแสดงภาพนิมิตของผู้นั้นให้ปรากฏเป็นความไม่ดีไม่งามก็ดี โดยการรู้ขณะจิตที่คิดไปนอกลู่นอกทางก็ดี ก็ต้องแสดงอุบายเป็นเชิงเปรียบเปรยให้เจ้าตัวรู้ เพื่อทำความสำรวมระวังต่อไป

#คัดลอกจากหนังสือประวัติ
#ท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ
#โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว_ญาณสัมปันโน
#แห่งวัดป่าบ้านตาด_จังหวัดอุดรธานี










" การบำเพ็ญจิตตภาวนา อย่ามุ่งแต่ให้ใจสงบ อย่าไปพอใจให้ใจสงบอย่างเดียวถ้าหากว่าพอใจ ก็ให้พอใจในการกระทำให้มาก กระทำให้มากเท่าไหร่ อันนั้นคือความถูกต้อง ถ้าหากว่าไปพอใจแต่ความสงบอย่างเดียว เราจะได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ เพราะใจของเรานี่ จะสงบตลอด ตลอดกาลไปไม่มี

มันเหมือนกับการเดินทาง อย่างเนี้ย จะเดินไปนี่ไม่ให้มีแดด เดินไปไม่ให้มีฝนนี่ มันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเจอแดดบ้าง เจอฝนบ้าง เหมือนกับการลงเรือไปในลำน้ำอย่างนั้นน่ะ จะให้ทะเลมันเรียบอย่างที่เราต้องการเป็นไปไม่ได้
มันจะต้องมีคลื่นมีลม มีคลื่นมีลมของเขาอย่างนั้น

บางทีคลื่นลมก็มาก ลอยสูงใหญ่ บางทีคลื่นลมก็น้อย บางทีทะเลก็เรียบ นี่ ใจของเราทำเหมือนเรือ คลื่นจะเรียบ เราก็อยู่เหนือน้ำ คลื่นจะน้อย คลื่นจะใหญ่ เราก็อยู่เหนือคลื่น เหนือน้ำ นั้น ไปติดอยู่พอใจแต่ในความสงบน้ำนิ่ง

เวลาน้ำไม่นิ่งนั่นน่ะ เราจะโดนคลื่น แล้วจะต้องโดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพอใจในการอยู่เหนือน้ำอยู่เสมอ เหนือความสงบ แล้วความไม่สงบมา เราก็อยู่เหนือ เราไม่ติดความสงบ

ความไม่สงบเกิดขึ้น เราก็ไม่ไปติด ในเมื่อเราไม่ติด แล้วเราจะไปเดือดร้อน ไปเป็นทุกข์ เพราะความไม่สงบของใจได้อย่างไร คำว่าสังขารต้องเป็นสังขาร

พระพุทธเจ้าท่านไม่แต่งสังขาร ไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้รู้สังขาร

คำว่าแต่งสังขารก็หมายความว่า ทะเลไม่ให้มีคลื่นเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สามารถที่จะไปแต่งทะเลให้เรียบได้ เพียงแต่ให้รู้ทะเล ให้รู้สังขารเท่านั้น

พอใจแต่ความสงบ ก็จะเจอสิ่งที่ไม่พอใจ สงบ ไม่สงบ ไม่สน ทำให้ยิ่งอยู่เสมอ เราไม่ได้ทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อละ ทำเพื่อปล่อยวาง ทำเพื่อสลัดทิ้ง ดีก็ไม่เอา จะเอาทำไม เอาแล้วหนักทั้งนั้น เป็นภาระทั้งนั้น "

พระอาจารย์แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร











...ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ที่เป็น..”ยารักษาโรคใจ”นี้
.
คือธรรมโอสถนี้
ก็เป็นแบบ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค
แต่ไม่คิดเงินเลย ..”ฟรี เป็นทาน”
.
เป็นธรรมทาน เพราะว่าออกมา
จากจิตพระทัยอันบริสุทธิ์ของเจ้าของยา
เจ้าของยาคือ..พระพุทธเจ้า
“ผู้ทรงตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ”
.
ได้ทรงค้นพบธรรมะอันประเสริฐ
ที่จะเอามารักษาโรคของใจ
ให้หายขาด ..หายอย่างถาวร
ที่ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่สามารถที่จะทำได้.
...............................
ธรรมะหน้ากุฏิ
14 / 4 / 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี











...ยกตัวอย่าง อยู่คนเดียวนี้

ถึงแม้จะทุกข์ ก็ยังทุกข์น้อยกว่าเวลา

ไปมีแฟน มีครอบครัว มีลูกมีเต้า

มันจะเป็นทุกข์ที่ ทวีคูณกว่า

ความทุกข์ที่เกิดจากความเหงา

ความที่ไม่มีเพื่อน ความว้าเหว่

แต่พอไปมีแฟนมีครอบครัวขึ้นมานี้

โอ๊ย ไม่รู้เรื่องอะไรเข้ามา

ปวดหัวไปตั้งแต่เช้าจนเย็น

"อันนี้ต้องใช้ปัญญาสอนใจ"

ให้เห็นถึงผลที่จะตามมา

ถ้าไปทำตามความอยากแล้วก็จะ

ทำให้สกัดหรือหยุดความอยากได้

"ถ้ามีอุเบกขา"

ถ้าไม่มีอุเบกขาจากรูปฌานขั้นที่ ๔

จะสู้ไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าทุกข์ก็

เอาวะ มันเป็นของอนาคต

ตอนนี้สุขก่อนก็แล้วกัน ดีกว่าเหงา

ดีกว่าอยู่คนเดียววะ

ตอนนี้ขอให้มีแฟนก่อนเถิด แล้วจะ

ทุกข์กับแฟนทีหลังค่อยว่ากันใหม่

แล้วพอถึงเวลานั้น ก็มาร้องห่มร้องไห้

เศร้าโศกเสียใจ .."รู้อย่างนี้กูไม่มีดีกว่า"

นั่นแหละเพราะไม่มีฌาน ๔

"ไม่มีอุเบกขา ไม่มีปัญญา"ที่จะ

เห็นภาพอนาคตที่จะตามมา.
.......................................

ธรรมะหน้ากุฏิ

22 / 4 / 2563

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี












#กฏแห่งกรรมเป็นอริยสัจขั้นสูง

"การโมโหจนลืมตัวนั้นโง่หรือฉลาด
เบียดเบียนตนเองทำร้ายตนเองหรือ
เปล่า​ เมื่อรู้ว่าโง่แล้ว ทีหลังอย่าทำ
ให้คิดไว้เสมอว่า​ กรรมใครกรรมมัน
กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ​ หากเราไม่เคยทำกรรมนี้ไว้ก่อนในอดีต​ วิบากกรรมนี้ก็
ไม่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน"

"หากพวกเจ้าเข้าใจกฎของกรรม
อันเป็นอริยสัจขั้นสูง ซึ่งเที่ยงเสมอ
และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย ก็จงหยุด
ต่อกรรมลงแค่นี้​ยอมรับนับถือกฎ
ของกรรม สร้างอโหสิกรรมให้เกิด
ขึ้นแก่จิต สร้างอภัยทานให้เกิดขึ้น
แก่จิต.. "

#ธรรมโอวาทหลวงปู่ตื้อ_อจลธัมโม











#ใจก็เปรียบเหมือนเครื่องยนต์กลไกของรถ #หากใช้งานมากไปเกินกำลัง #ก็พังได้ไม่ต่างกัน รถยนต์เราต้องเช็คได้ ได้ดูแลรักษาประจำเดือนประจำปี ต้องได้ซ่อมได้เสริมอยู่ตลอด ในการใช้งาน ส่วนใจนี่ เราได้เช็คได้ซ่อมได้ดูแลบ้างไหม คิด พูด ทำ สิ่งดีๆ ให้ใจได้สงบสุข บ้างไหม หรือคิดแต่สิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามทิ่มแทงจิตใจตนและผู้อื่น อย่าประมาทมองข้ามเด็ดขาดเรื่องของใจนี่ อะไรจะเสียให้เสียไป อย่าให้ใจเสีย ถ้าใจเสียใจหมดกำลังแล้ว มันจะลำบากไปหมด ต้องรักษาใจไว้ให้มั่นคงอย่าให้น๊อคให้พังได้ รถยนต์เสียยังซ่อม ยังซื้อใหม่ได้ ใจเสียหาซื้อที่ไหน ใจวิกลจริต ใจด้าน ใจบอด นี่ล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งนั้น อย่ามองข้าม อย่าพลาดเรื่องใจปล่อยไปจนเกิดวิกฤติ ถึงขีดจำกัด ตัดช่องน้อยแต่พอตัวก็มีมาก เพราะใจขาดการดูแล บำรุงเอาใจใส่ ให้รีบแก้ไขเสีย หาโอกาสสละแบ่งปันเรียกว่า ให้เป็นทาน หมั่นสวดมนต์ไหว้พระภาวนา เพื่อเป็นการบำรุงเสริมสร้างจิตใจของตนให้เข้มแข็งมั่นคงด้วยความดี สะสมไปเรื่อยทุกวันๆ เมื่อบุญกุศลบรรจุเต็มใจแล้ว จะยืนเดิน นั่งนอน ย่อมมีความสุข ความสงบสบาย อยู่ตลอดเวลา เพราะมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ นี่จิตเมื่อถึงธรรม ก็หมดปัญหา อย่างนี้

โอวาทธรรม พระอาจารย์รังสรรค์
25 เมษายน 2563












สตินี่เป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือเป็นคุณธรรมที่มีอุปการะมาก เห็นไหมที่เราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ทุกท่านมีแต่พูดถึงสติ มีสติ แต่ตามความรู้สึกของชาวบ้านว่ามีสติ เวลาไปเยี่ยมไข้เขามีสติรู้ตัวหรือเปล่า ถ้าเขารู้ตัวอยู่ เธอยังไม่เป็นไรหรอก เขามีสติอยู่ รู้คนโน้นคนนี้อยู่ จำได้อยู่ ถ้าชาวบ้านก็เข้าใจอย่างนั้นเข้าใจแค่นั้น แต่ถ้านักปฏิบัติธรรม สติคือความรู้ตัวต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนไม่ขาดช่วง รู้ตัวทั่วพร้อม ทำยังไงสติเราจะสมบูรณ์ เราก็มาฝึก ฝึกสติ การฝึกสติก็รู้ตัวระลึกได้อยู่ว่าขณะนี้เราเป็นอะไรเราอยู่อิริยาบถอะไรยืนหรือเดินหรือนั่งหรือนอน กำหนดรู้ตัว มีสติระลึกได้อยู่ สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่สติสัมปชัญญะเนี่ยไปด้วยกัน ถ้าขาดสติแล้วใจมันก็หนี มันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนเรานั่งสมาธินั่งไปเรามันก็เผลอวิ่งกลับบ้าน สงสัยจะไม่ได้ใส่กุญแจห้องละมั้ง ใจก็ไปติดอยู่อย่างนั้น โทรศัพท์ไปถามคนโน้นคนนี้ให้ไปดูให้หน่อย สังขารความปรุงแต่งมันก็เสริมอยู่เรื่อย ดึงใจเรามันก็เหลือแต่กายอยู่นี่นั่งอยู่ศาลา แต่ว่าใจมันไปอยู่บ้าน หิวข้าวเดี๋ยวก็ร้านอาหารอันนั้นอันนี้มันอร่อยดี คิดถึงมันไป ข้าวราดแกงอะไรอร่อยต้มพะโล้หมู มันก็คงไป ทั้งๆที่กายมันก็นั่งอยู่นี่แหละแต่ว่าใจมันวิ่งกลับบ้าน

หลวงพ่อสมหมาย ปิยธัมโม










"..เราทุกคน เคยเกิด
เคยตายมานับภพนับชาติ
ไม่ถ้วน

เราเกิดมา ก็มาเห็นของเก่า
มาหลงของเก่า มายินดี
ของเก่านั่นแหละ

เป็นค่ายกล เป็นกับดัก
ของกิเลส ให้เรามีความ
เพลิดเพลิน มีความยินดี
ในวัตถุธาตุทั้งหลาย
ในทรัพย์สมบัติ
ในลาภยศสรรเสริญ

ถ้าเราหลงเผลอไปยินดี
มันก็ออกไม่ได้.."

โอวาทธรรม
จากพระอาจารย์ตั๋น ถิรจิตโต










" ขันธ์ ๕
"รูป" ก็ไม่ใช่ถาวร
แน่นอน แก่เเฒ่า ชำรุด
ทรุดโทรมไป เป็นลำดับ
ห้ามไม่ได้ บอกไม่ฟัง
ในผลที่สุด ก็ดับสลายหายไป

"เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ" เป็น นามธรรม
ก็ทำนองเดียวกัน เกิดขึ้น
เพราะ มีเหตุปัจจัย เมื่อ
เหตุปัจจัยไม่มี ก็หายไป
ก็เสื่อมสูญไปหมด

ในผลที่สุด ก็ไม่มีสิ่งใด
ที่แน่นอนถาวร เห็นขันธ์ ๕
เป็นของไม่แน่นอนถาวร
ถึงจะวางได้

"วาง" นั้นแหละ
คือ "ตัวอนัตตา" "

โอวาทธรรม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี










“จะทำผิดมาก หรือทำผิดน้อยมานั้น บ่สำคัญ
สำคัญที่ เมื่อเฮาทำแล้ว เฮาสำนึกความผิดตนเองบ่
แม้คนทำผิดมาร้อยครั้ง แต่สำนึกได้แล้วกลับใจ
ยังดีกว่าคนที่แสร้งทำดี แต่ใจแฝงไปด้วยความชั่ว”

หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต








"ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติธรรม
นั่งสมาธิเพื่อไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
แต่เพื่อสามารถคิดเฉพาะเรื่องที่ควรคิด
ในเวลาที่สมควรคิด"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ











"จิตคิดไปถึงอะไร จิตก็ไปเกิดในภพในภูมินั้น"

"จิตทีแรกดวงที่มันจะดับลงทีแรกนั่นแหละ ถ้าเคยกราบผีอยู่ประจำ ใจใกล้จะขาดธาตุจะแตกขันธ์จะดับจิตก็คิดไปถึงศาลพระภูมิ คิดไปถึงผี เมื่อใจขาดคาตรงนั้น ก็เรียกว่าไปอุบัติอีกภพ ไปเกิดภพเป็นผี พอเข้าใจไหมทีนี้.. คิดถึง ความคิดคืออารมณ์ ก่อนตายมันจะคิดไปถึงอะไร คิดไปถึงศาลพระภูมิ อารมณ์นั้นก็ไปดับที่ศาลพระภูมิ เรียกว่าเอาศาลพระภูมิเป็นภพเป็นที่เกิด เราก็ไปเกิดเป็นผีเฝ้าศาลพระภูมิอยู่ จึงไม่อยากให้ไปทำอย่างนั้น..

..ที่นี้ถ้าคิดไปถึงนิมิต แปลว่าจะจวนเจียนจะขาดธาตุจะแตกขันธ์จะดับ คิดไปถึงอารมณ์ใหน อย่างสมัยพุทธกาล พระคิดไปถึงผ้าจีวร คือตัดผ้าจีวรเสร็จใหม่ๆยังไม่ได้คลุมไม่ได้ใช้.. พอกลางคืนก็มาก็เลยปวดท้องเจ็บท้องตาย ใจขาดก็คิดถึงผ้าจีวร เกิดเป็นเลนก็อาศัยอยู่ผ้าจีวร เกิดเป็นสัตว์เดรฉาน..

..ถ้าเราคิด ความคิดนี้เรียกว่าภพ อารมณ์นี้เรียกว่าภพ เป็นที่เกิดเป็นที่ตั้งของจิต จิตของเราเปรียบเสมือนเมล็ดพืช อารมณ์เปรียบเสมือนเนื้อนา ไร่ สวน ไปตกอยู่ที่ใหน อารมณ์ไปตกอยู่ที่ผ้าจีวร ก็ไปเกิดที่ผ้าจีวร ถ้าเคยกราบเคยไหว้ผี อารมณ์ก็ไปเกิดถึงศาลพระภูมิ ก็ไปจุติขึ้นที่ศาลพระภูมิ ก็ไปเป็นผี อายุผีนานนะ ผีกว่าจะมาเกิดอีก อย่าพากันไปสร้างศาลพระภูมิ อย่าพากันไปกราบนะ..ถ้าคิดถึงพญานาค ก็ไปกราบพญานาค ตายไปก็ไปเกิดเป็นลูกพญานาค เป็นสัตว์เดรฉานนั้นล่ะภพเป็นที่เกิดเป็นที่ตั้งของจิตคิดไปถึงอะไรจิตก็ไปเกิดในภพนั้นภูมินั้น"...

โอวาทธรรม
หลวงตาศิริ อินฺทสิริ
วัดถ้ำผาแดงผานิมิต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO